มีผลวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ สมอง และ การนอนหลับ ของเด็ก ๆ จำนวนมาก ที่แสดงให้เห็นว่า สมองของลูกสามารถพัฒนาได้ แม้ในขณะ นอนหลับ ได้แก่
- ในช่วงอายุ 3 ปีแรกของชีวิต เด็ก ๆ ล้วนใช้เวลากว่า 50 % ไปกับ การนอน
- สมองของเด็กจะเพิ่มขนาดขึ้นเป็น 2 เท่าจากช่วงแรกเกิด เมื่ออายุได้ 1 ปี และเมื่ออายุ 9 ปี สมองของเด็กจะมีขนาดประมาณ 95% ของสมองผู้ใหญ่
- ในแต่ละวัน เด็กเล็กสมองใช้พลังงาน 60% และเด็กโตสมองใช้พลังงาน 40% ของพลังงานที่ได้รับมาทั้งหมด สำหรับเซลล์ประสาท 100,000 ล้านเซลล์ในสมอง โดย 2 ใน 3 ของพลังงาน ใช้ในการเชื่อมต่อ และสื่อสารระหว่างเซลล์ประสาท
- การนอนหลับ เป็นการเปิดโอกาสให้สมองได้ทบทวนข้อมูลที่ได้รับมาทั้งวัน และเปลี่ยนเป็นความทรงจำ พร้อมนำกลับมาใช้ใหม่
- การนอนที่มีคุณภาพ จะช่วยให้เพิ่มประสิทธิภาพของสมอง และการเรียนรู้ได้ดียิ่งขึ้น
กลไกความสัมพันธ์ของ “การนอน” กับ “การทำงานของสมอง” ในระหว่างลูกหลับสนิท
ช่วงอายุ 1 – 3 ปี เป็นวัยที่มีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เด็ก ๆ จะใช้เวลาในช่วงกลางวันเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ รอบตัวอย่างไม่รู้เบื่อ และช่วงกลางคืน ในระหว่างหลับสนิท สมองจะทำการโอนย้ายข้อมูลที่เรียนรู้มาตลอดวัน จาก หน่วยความจำระยะสั้น (Short Term Memory) ไปยัง หน่วยความจำระยะยาว (Long Term Memory) ซึ่งเป็นสมองส่วนที่สามารถบรรจุข้อมูลที่รับรู้มาตลอดชีวิตได้มากกว่า 3 ล้านชั่วโมง
กระบวนการถ่ายโอนข้อมูลของ หน่วยความจำระยะสั้น (Short Term Memory) ซึ่งเป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นใหม่ทุกวัน เกิดขึ้นในสมองส่วนที่เรียกว่า ฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ด้วยพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้ข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมดในแต่ละวัน จำเป็นต้องถูกคัดเลือก จัดสรร จัดระเบียบ และย้ายไปจัดเก็บเพื่อรอการเรียกกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง ในส่วนที่เรียกว่า ความทรงจำระยะยาว (Long Term Memory) ทั้งนี้เพื่อให้ หน่วยความจำระยะสั้น มีพื้นที่ว่างเพียงพอสำหรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ ในวันรุ่งขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ในทางกลับกัน หากเด็ก ๆ นอนหลับยาก นอนดึก นอนหลับไม่สนิท ตื่นบ่อย นอนกรน นอนผวา หรือหยุดหายใจขณะหลับ ถือเป็นการนอนหลับไม่มีคุณภาพ ซึ่งส่งผลกระทบต่อกระบวนการถ่ายโอนข้อมูลภายในสมอง รวมทั้งยังมีผลกระทบต่อร่างกาย เช่น รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยหน่าย ไม่อยากเรียนรู้ หงุดหงิดง่าย งอแง และไม่มีสมาธิ รวมถึงทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง เนื่องจากพักผ่อนไม่เพียงพออีกด้วย
นอนหลับ แบบไหน ช่วยให้สมองพัฒนาได้เต็มที่ ?
การนอนหลับที่ช่วยให้สมองพัฒนา และถ่ายโอนข้อมูลได้ดีที่สุด เกิดขึ้นในช่วงที่เรียกว่า ระยะหลับลึก (Slow wave sleep) เป็นช่วงที่หลับสนิทมากที่สุด อุณหภูมิในร่างกายจะลดลง ความดันโลหิตลดลง และหัวใจเต้นช้าลงเหลือประมาณ 60 ครั้งต่อนาที ในขณะที่สมองทำการโอนย้ายข้อมูลนั้น ร่างกายก็จะหลั่ง โกรทฮอร์โมน (Growth hormone – GH) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เด็ก ๆ เจริญเติบโต มีพัฒนาการที่ดีไปพร้อม ๆ กัน
ชั่วโมงการนอนหลับที่เหมาะสมของเด็กแต่ละวัย จะแปรผันไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น เช่น
- ทารกแรกเกิด – 12 เดือน ต้องการการนอนหลับพักผ่อนต่อวันประมาณ 12 – 16 ชั่วโมง
- เด็กเล็กอายุ 1 – 2 ปี ควรนอนพักผ่อนให้ได้วันละ 11 – 14 ชั่วโมง
- เด็กอายุ 3 – 5 ปี ควรนอนพักผ่อนให้ได้วันละ 10 – 13 ชั่วโมง
- เด็กโตอายุ 6 – 12 ปี ควรนอนหลับให้ได้ 9 – 12 ชั่วโมง
ในกลุ่มของทารกแรกเกิด จะใช้เวลานอนเกิน 70% ของเวลาทั้งวัน และนอนวันละหลายรอบ เนื่องจากไม่สามารถแยกแยะเวลากลางวัน หรือกลางคืนได้ ทำให้อาจใช้เวลานอนกลางวันได้นานหลายชั่วโมงพอ ๆ กับระยะเวลาการนอนหลับในตอนกลางคืน แต่เด็ก ๆ จะค่อย ๆ ลดชั่วโมงการนอนกลางวันลง และหลับในตอนกลางคืนได้นานขึ้น เมื่ออายุได้ 4 – 6 เดือนขึ้นไป
ดังนั้น สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำคือการปลูกฝังให้ลูก ๆ มี พฤติกรรมการนอนที่ดี ตั้งแต่วัยเด็ก เช่น เข้านอนและตื่นเป็นเวลาเดียวกันทุกวัน งดกิจกรรมที่ทำให้นอนหลับยาก สร้างบรรยากาศในห้องให้เอื้อต่อการนอนมากที่สุด หากลูกมีพฤติกรรมไม่ยอมนอน หรือนอนหลับยาก คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องค้นหาปัจจัยที่ทำให้เด็กไม่ยอมหลับ และแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ตรงจุดโดยเร็วที่สุด เช่น พาเข้านอน เปิดเพลงสร้างบรรยากาศให้ง่วงนอน เล่านิทาน หรือให้ดื่มนมอุ่น ๆ ที่มีสารแอล-ทริปโตเฟน ช่วยให้ลูกนอนหลับได้ดีขึ้น เป็นต้น
ทำความรู้จัก แอล-ทริปโตเฟน (L-Tryptophan) สารอาหารที่ช่วยให้ลูกนอนหลับอย่างมีคุณภาพ
แอล-ทริปโตเฟน (L-Tryptophan) เป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่ช่วยให้นอนหลับสนิท และมีคุณภาพ เป็นสารอาหารซึ่งร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น พบได้ใน เนื้อสัตว์ ผลิตภัณฑ์จากนม โปรตีนจากถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าวไม่ขัดสี ปลาทะเล ไข่ รวมทั้งในผลไม้บางชนิด เช่น กล้วย กีวี แคนตาลูป สับปะรด และแตงโม
เมื่อเด็ก ๆ ทานอาหารที่มีสารแอล-ทริปโตเฟนเข้าไป สมองจะทำการเปลี่ยนสารแอล-ทริปโตเฟน เป็น เซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็น สารสื่อประสาทตั้งต้น ในระบบประสาทส่วนกลาง ทำหน้าที่สร้าง ฮอร์โมนเมลาโทนิน (Melatonin) ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และนอนหลับได้ดี
หากคุณแม่พบว่าเด็ก ๆ นอนหลับยาก สามารถให้ลูกดื่มนมที่มีแอล-ทริปโตเฟน (L-Tryptophan) ก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่าย หลับสบาย และหลับสนิท เนื่องจาก แอล-ทริปโตเฟน (L-Tryptophan) มีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับอย่างมีคุณภาพ ทำให้สมองสามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในนมยังมีสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพสมอง เช่น DHA และสฟิงโกไมอีลิน ที่ช่วยสร้างปลอกไมอีลิน ส่งเสริมการเชื่อมโยงการทำงานของเซลล์ประสาท ทำให้ส่งสัญญาณได้เร็วกว่า ช่วยให้เด็ก ๆ คิดเร็ว เรียนรู้ไว
การที่คุณพ่อคุณแม่ให้ความสำคัญกับสมองลูกทั้งในยามหลับและตื่น นอกจากจะช่วยให้สมองพัฒนาได้เต็มศักยภาพแล้ว การมีสมองที่ดี ยังเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยเสริมสร้างทักษะพื้นฐานสู่การเรียนรู้นอกกรอบในอนาคตได้อีกด้วย
สำหรับคุณแม่คนไหนที่ต้องการให้ลูกน้อยเติบโตได้อย่างสมวัยและมีพัฒนาการที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุ 1 ขวบขึ้นไป คุณแม่สามารถเสริมพัฒนาการทางด้านสมองและร่างกายให้ลูกน้อยได้ง่ายๆ โดยรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเสริมด้วยนมกล่องสำหรับเด็ก 1 ขวบ เพื่อพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยในช่วงขวบปีแรก
ทำความรู้จัก สารแอล-ทริปโตเฟน เพิ่มเติม คลิกที่นี่
ข้อมูลอ้างอิง
- DK. กฤติกา ชินพันธ์ แปล. (2564) สารานุกรมความรู้ ร่างกายมนุษย์. นานมีบุ๊คส์, 38-42 และ 68-75.
- https://th.rajanukul.go.th/preview-3501.html
- https://www.sikarin.com/doctor-articles/การนอนหลับ-กลไกสำคัญพัฒนาการเรียนรู้ของลูกน้อย
- https://www.bangkokinternationalhospital.com/th/health-articles/health-tips/how-to-get-quality-sleep
- https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/service-knowledge-article-info.php?id=456
- Gilmore JH, et al. Nat Rev Neurosci. 2018 Feb 16; 19(3): 123–137.
- Jiang F, et al. Ann Nutr Metab. 2019;75 Suppl 1:44-54.
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!