ประจำเดือนไม่มา 1 เดือน จะท้องไหม เมนส์ไม่มากี่วันถึงท้อง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เมื่อคุณรู้สึกว่าประจำเดือนของคุณไม่มาถึง 1 เดือนแล้ว อาจทำให้คุณกังวลและสงสัยว่าเป็นเพราะสาเหตุใด ทั้งที่มีโอกาสที่จะเป็นการตั้งครรภ์ หรือเป็นสาเหตุอื่นที่ทำให้การมาของประจำเดือนของคุณนั้นเปลี่ยนแปลงไป วันนี้เราจะมาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันว่า ประจำเดือนไม่มา 1 เดือน จะท้องไหม เมนส์ไม่มากี่วันถึงท้อง

 

ประจำเดือนมาช้า เกิดจากสาเหตุอะไร

ประจำเดือนเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงสุขภาพโดยรวมของผู้หญิง รอบเดือนของประจำเดือนทั่วไปอยู่ที่ 21-35 วัน การที่ประจำเดือนมาตามปกติแสดงว่าร่างกายทำงานอย่างสมดุลและปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อประจำเดือนมาช้าหรือขาดหายไป อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ควรได้รับการตรวจสอบเพิ่มเติม ดังนั้นการที่ประจำเดือนมาช้า หมายถึงการที่ประจำเดือนมาหลังจากวันที่คาดหวังไว้ หากประจำเดือนมาช้ากว่า 35 วันหรือขาดหายไป 2-3 รอบติดต่อกัน นั่นถือว่าผิดปกติ โดยสาเหตุที่ประจำเดือนมาช้า มีดังต่อไปนี้ 

  • การตั้งครรภ์ สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของการที่ประจำเดือนมาช้าคือการตั้งครรภ์ หากคุณมีเพศสัมพันธ์และประจำเดือนขาด อาจเป็นไปได้ว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ การทดสอบการตั้งครรภ์สามารถช่วยยืนยันได้ โดยสามารถทำได้ที่บ้านด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา ชุดทดสอบการตั้งครรภ์จะทำงานโดยตรวจหาฮอร์โมน hCG (human chorionic gonadotropin) ในปัสสาวะ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตขึ้นหลังจากการฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้วในมดลูก
  • การให้นมบุตร ฮอร์โมนโปรแลคตินที่ผลิตในระหว่างการให้นมบุตรจะส่งผลต่อการตกไข่และการมีประจำเดือน ทำให้ประจำเดือนมาช้าหรือขาดหายไปได้ 
  • ช่วงวัย ในช่วงวัยรุ่นหรือวัยใกล้หมดประจำเดือน รอบเดือนของประจำเดือนมักจะไม่สม่ำเสมอ การที่ร่างกายยังปรับตัวไม่เสร็จสมบูรณ์ในวัยรุ่น หรือการที่รังไข่เริ่มหยุดการทำงานในวัยใกล้หมดประจำเดือนสามารถทำให้ประจำเดือนมาช้าหรือขาดหายไปได้ 
  • ความเครียด ความเครียดสามารถส่งผลต่อฮอร์โมนเพศหญิงที่ควบคุมรอบเดือนของประจำเดือน เมื่อร่างกายต้องเผชิญกับความเครียดมากเกินไป การหลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการตกไข่อาจถูกยับยั้ง ทำให้ประจำเดือนมาช้าหรือขาดหาย 
  • น้ำหนักตัว น้ำหนักตัวที่มากหรือต่ำเกินไปสามารถส่งผลต่อการหลั่งฮอร์โมนเพศหญิงได้ ผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวน้อยเกินไปอาจไม่มีไขมันเพียงพอที่จะผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ในขณะที่ผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไปอาจมีการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนเกินไป ทำให้รอบเดือนของประจำเดือนผิดปกติ 
  • การออกกำลังกายหนัก นักกีฬาหรือคนที่ออกกำลังกายอย่างหนักอาจพบว่ารอบเดือนของตนขาดได้ เนื่องจากการใช้พลังงานมากและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การออกกำลังกายมากเกินไปอาจทำให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สำคัญต่อการมีรอบเดือน
  • โรคบางชนิด เช่น ไทรอยด์ผิดปกติ เบาหวาน ตับผิดปกติ หรือโรคซีดสามารถส่งผลต่อรอบเดือนของประจำเดือน โรคเหล่านี้อาจทำให้การหลั่งฮอร์โมนเพศหญิงผิดปกติ ทำให้ประจำเดือนมาช้าหรือขาดหายไป 
  • ยาบางชนิด ยาคุมกำเนิด ยาต้านซึมเศร้า และยาเคมีบำบัดบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อการมีประจำเดือน ยาเหล่านี้อาจทำให้การหลั่งฮอร์โมนเพศหญิงเปลี่ยนแปลงไป 
  • ภาวะผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ เช่น โรคพังผืดรังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ หรือเนื้องอกมดลูกสามารถทำให้รอบเดือนของประจำเดือนผิดปกติ ภาวะเหล่านี้อาจทำให้การตกไข่ไม่ปกติหรือทำให้มีเลือดออกผิดปกติ

ทั้งนี้หากประจำเดือนของคุณมาช้า ควรดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม และจัดการความเครียด หากประจำเดือนมาช้าติดต่อกันหลายรอบหรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เช่น ปวดท้องอย่างรุนแรงหรือมีเลือดออกผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม

บทความที่น่าสนใจ: เนื้องอกรังไข่ สัญญาณโรคมะเร็งรังไข่ที่ผู้หญิงต้องระวัง

 

 

ประจำเดือนไม่มา 1 เดือน จะท้องไหม

ประจำเดือนไม่มาหนึ่งเดือนเป็นอาการที่บ่งบอกได้ว่าคุณอาจจะตั้งครรภ์ แต่ก็มีหลายสาเหตุอื่นที่อาจทำให้ประจำเดือนขาดได้ เช่น ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เพื่อความแน่ใจ คุณสามารถทำการทดสอบการตั้งครรภ์ด้วยชุดทดสอบที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยา หรือไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ชัด หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสุขภาพ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสม

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เมนส์ไม่มากี่วันถึงท้อง

การคำนวณว่า “เมนส์ไม่มากี่วันถึงท้อง” นั้น ไม่สามารถทำได้แน่ชัด เพราะว่าโอกาสในการตั้งครรภ์นั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนวันที่ประจำเดือนไม่มาเพียงอย่างเดียว โดยปัจจัยสำคัญ ๆ ที่มีผลต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ ได้แก่

  • ระยะเวลาของรอบเดือน: โดยทั่วไป รอบเดือนของผู้หญิงจะอยู่ที่ 21-35 วัน แต่ละคนอาจมีระยะเวลาที่แตกต่างกัน การตกไข่จะเกิดขึ้นประมาณ 14 วันก่อนประจำเดือนครั้งถัดไป ดังนั้น หากคุณมีรอบเดือนสั้น โอกาสในการตั้งครรภ์ก็อาจจะน้อยลง
  • ระยะเวลาของการตกไข่: ไข่จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 12-24 ชั่วโมง ในขณะที่อสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายผู้หญิงได้นานถึง 5 วัน
  • คุณภาพของไข่และอสุจิ: สุขภาพที่ดี ฮอร์โมนที่สมดุล และสารอาหารที่ครบถ้วน ล้วนส่งผลต่อคุณภาพของไข่และอสุจิ

สัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งทางร่างกายและจิตใจของผู้หญิง ซึ่งสามารถสังเกตได้จากหลายสัญญาณและอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ในการอธิบายให้ละเอียดมากขึ้น เราสามารถแบ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังตั้งครรภ์ออกเป็นหลายสัญญาณได้ ดังนี้

  • การขาดประจำเดือน 

การขาดประจำเดือนเป็นสัญญาณแรกที่บ่งบอกว่าผู้หญิงอาจกำลังตั้งครรภ์ หากประจำเดือนมาช้าเกินไปหรือไม่มาเลยในรอบเดือนที่คาดหวัง อาจเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าอาจเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น แต่การขาดประจำเดือนยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้ เช่น ความเครียด การออกกำลังกายหนัก หรือการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว 

  • คลื่นไส้และอาเจียน (Morning Sickness)

คลื่นไส้และอาเจียนเป็นอาการที่พบได้บ่อยในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วงเช้า แม้ว่าชื่อจะเรียกว่า แพ้ท้อง Morning Sickness แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งวัน อาการนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย 

  • เต้านมขยายและเจ็บ 

ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ ฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิงจะทำให้เต้านมขยายขึ้นและใหญ่ขึ้นเพื่อพร้อมใช้สำหรับการให้นมในอนาคตของทารกที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์ การขยายของเต้านมนี้อาจทำให้เจ็บหรือรู้สึกตึงได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อในเต้านมเริ่มมีการผลิตน้ำนมขึ้น สำหรับบางคนอาจเห็นเส้นเลือดที่เต้านมชัดเจนขึ้น และหัวนมอาจมีสีเข้มขึ้นเนื่องจากการเพิ่มขนาดของหลอดเลือดที่เชื่อมต่อกับเต้านมนั่นเอง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • ปัสสาวะบ่อย 

เนื่องจากการที่มดลูกขยายตัวและกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ต้องการปัสสาวะบ่อยขึ้นในระยะแรกของการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นยังมีผลทำให้ระบบการขับถ่ายปัสสาวะเปลี่ยนแปลงไป 

  • ความเหนื่อยล้า 

การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในระยะแรกของการตั้งครรภ์มีผลต่อร่างกายและจิตใจของผู้หญิงได้อย่างมาก การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนนี้มักจะทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าและมีความอ่อนเพลียแบบไม่ธรรมดา อาจรู้สึกต้องการพักผ่อนมากขึ้นหรือต้องการนอนหลับที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับปกติ นอกจากนี้ยังอาจทำให้มีความไม่สะดวกในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การทำงานหรือการกระทำกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้นได้ด้วย

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

  • อารมณ์เปลี่ยนแปลง 

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายระหว่างการตั้งครรภ์สามารถทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ อาจรู้สึกมีอารมณ์แปรปรวนหรือมีความไวต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น บางครั้งอาจรู้สึกมีความสุขสุด ๆ หรือรู้สึกเศร้าหดหู่โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน 

  • ความรู้สึกอยากอาหารหรือไม่อยากอาหาร 

การเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกต่ออาหารอาจเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและสภาวะจิตใจที่ต่างกันไป ซึ่งมีผลต่อความต้องการและความพึงพอใจในอาหารของบุคคล ซึ่งความรู้สึกไม่อยากหรือไม่อยากอาหารนั้นสามารถเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

มีบทบาทสำคัญในการควบคุมและปรับสมดุลของระบบเผาผลาญอาหารและความต้องการทางอาหาร ในช่วงตั้งครรภ์ วัยเจริญเติบโต หรือสิ่งที่ทำให้ร่างกายเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเช่น ฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen, Progesterone) หรือฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) อาจส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงในความอยากอาหารของบุคคล 

  • สภาวะจิต

อารมณ์และสภาพจิตใจที่เปลี่ยนแปลง เช่น ความเครียด, ภาวะซึมเศร้า, หรือสภาวะอื่นที่ทำให้เสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมทางอาหาร บางครั้งอาจทำให้ผู้คนรู้สึกเบื่อหน่ายต่ออาหารที่เคยชอบหรืออาจเพิ่มความต้องการทางอาหารที่ไม่เคยมีมาก่อน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นปกติและมีความหลากหลายในบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล สิ่งสำคัญคือการรับรู้และการดูแลสุขภาพที่ดีเพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างเหมาะสม

  • ปวดท้องหรืออาการเกร็งเบา ๆ 

การปวดท้องหรือเกร็งเบา ๆ ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์เป็นอาการที่พบได้บ่อย มันเกิดขึ้นเนื่องจากการปรับเปลี่ยนทางร่างกายที่เกิดขึ้นเมื่อทารกเริ่มเจริญเติบโตในมดลูก ในช่วงเดือนแรกมดลูกจะเตรียมตัวเพื่อรับมือกับการเจริญเติบโตของทารกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นอาจจะรู้สึกปวดท้องหรือเกร็งเบา ๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับอาการมีประจำเดือนในบางครั้ง 

 

คำถามที่ว่า ประจำเดือนไม่มา 1 เดือน จะท้องไหม นั้นสามารถตอบได้อย่างไว ๆ ได้ว่า การท้องเป็นไปได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย สภาพจิตใจ รวมถึงพฤติกรรมที่นำไปสู่การตั้งครรภ์ ดังนั้นหากคุณต้องการทราบว่าคุณมีการตั้งครรภ์หรือไม่ ควรตรวจสอบด้วยที่ตรวจครรภ์ หรือเข้าพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยอาการดังกล่าว อย่างไรก็ตามหากคุณพบอาการผิดปกติควรพบแพทย์ในทันที 

 

ที่มา: verywellhealth.com, medicinenet.com, my.clevelandclinic.org

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

ประจำเดือนมาน้อย เรื่องอันตรายใกล้ตัวที่ห้ามปล่อยผ่าน

เป็นประจำเดือนสระผมได้ไหม? เรื่องที่สาว ๆ มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับการมีประจำเดือน

10 เหตุผลทำไมประจำเดือนไม่มา มีเหตุผลอะไรบ้างที่แม่ขาดประจำเดือน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

Siriluck Chanakit