ประสบการณ์ผ่าคลอด ผ่าคลอดเป็นยังไง เรื่องที่ตัวดิฉันเองก็ยังไม่เคยเจอ ทั้ง ๆ ที่เตรียมใจคลอดโดยวิธีธรรมชาติ และก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าไม่สามารถคลอดเองได้…
ผ่าคลอดเป็นยังไง แม่ขอแชร์ ประสบการณ์ผ่าคลอด อย่างละเอียด!!
ตลอดที่ได้รับการดูแลจากคุณหมอช่วงฝากท้อง 9 เดือน คุณหมอบอกว่าร่างกายสมบูรณ์ปกติดี แต่เด็กดูตัวใหญ่อาจจะคลอดลูกลำบากนิดนึง ดิฉันเลยเตรียมใจเบ่งคลอดลูกเต็มที่ ชนิดที่ว่าถึงไหนถึงกัน แต่พออาทิตย์สุดท้าย คุณหมอถามว่า “คุณแม่ไม่ปวดท้องเลยหรอ ปกติบางรายเขาคลอดไปแล้ว เพราะว่าถึงเวลาที่ควรจะคลอดแล้วนะครับ ปากมดลูกคุณแม่ก็ยังไม่เปิด สงสัยว่าจะต้องใช้การผ่าคลอดนะครับ หรือหากคุณแม่จะรอให้ปวดท้องคลอดเองก็ได้นะครับ แต่ถึงตอนนั้นสุดท้ายแล้วก็อาจจะต้องผ่าคลอดหากเด็กยังไม่สามารถเคลื่อนตัวลงมาสู่ช่องคลอด”
ผ่าคลอดดีไหม
พอได้ฟังอย่างนี้ดิฉันก็เลยปรึกษาสามีและเลือกที่จะฉีดเร่งคลอดก่อน หากไม่เกิดปฏิกิริยาอะไรก็คงต้องผ่าคลอดจริง ๆ ซะแล้ว ยอมรับว่าเครียดนะคะ เพราะตั้งใจจะคลอดเอง ไม่อยากผ่าคลอด ไม่ใช่ว่ากลัวเจ็บ แต่กังวลไปก่อนแล้ว กลัวว่าร่างกายจะไม่ผลิตน้ำนมให้ลูกเพียงพอ เพราะจำได้ว่าตอนแม่คลอดน้อง แม่ของฉันก็ไม่มีน้ำนมให้น้องเลย
ระหว่างที่นอนรอให้น้ำเกลือเพื่อเร่งคลอดผ่านไปแล้วครึ่งวัน ทุกอย่างก็ยังเป็นปกติ คุณหมอเลยต้องเร่งน้ำเกลือจาก 80 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง เป็น 90 มิลลิลิตรต่อชั่วโมง ผ่านไปสักพักก็เริ่มรู้สึกเจ็บเตือน ปวดท้อง คุณหมอเข้ามาตรวจดูว่าปากช่องคลอดเปิดมากขึ้นไหม แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีวี่แววว่าจะคลอดเองได้ สรุปสุดท้ายเลยต้องผ่าคลอด
เมื่อถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด พยาบาลเปิดเพลงเพื่อให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็เตรียมร่างกายให้พร้อม ใช้วิธีบล๊อกหลังเพื่อให้เรายังรู้สึกตัวและเห็นหน้าลูก เพียงแต่ร่างกายตั้งแต่ช่วงท้องลงไปจะไม่รู้สึกอะไรนอกจากชา ดิฉันมองหาสามีว่าเมื่อไหร่จะเข้ามาสักที เพราะตอนนั้นต้องการเขามากที่สุด อยากให้เห็นหน้าลูกพร้อมกัน
เมื่อสามีเข้ามาในห้องผ่าตัดทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สามีเล่าให้ฟังว่าพอเข้าไปในห้องผ่าตัดและกุมมือฉันไว้ประมาณ 2 นาที คุณหมอก็กดท้องเหมือนพยายามคว้านหาลูกในท้องแล้วเริ่มเอาหัวเจ้าตัวเล็กโผล่ ขึ้นมาเป็นลำดับแรก จากนั้นก็ใช้อุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นโลหะขนาดใหญ่คล้ายช้อนช้อนตัวลูกออกมา ลูกส่งเสียงร้องนิดเดียวเอง จากนั้นพยาบาลก็พาลูกไปทำความสะอาดตัว แล้วพาลูกมาให้เราดู วินาทีแรกที่ได้เห็นหน้าลูก น้ำตามันก็ทะลักออกมาเองเหมือนกับสมองมันสั่งว่านี่แหละผลงานอันน่าทึ่งของเรา
นี่ลูกเราออกมาแล้วนะ พยาบาลถามว่า จะหอมแก้มลูกไหม แต่ฉันตอบไปว่าไม่เอาค่ะ ไม่มีแรง กลัวอุ้มลูกตอนนี้จะทำให้ลูกหล่นแล้วลูกเจ็บตัว จากนั้นสามีก็ต้องออกนอกห้องผ่าตัด ส่วนลูกก็ไปอยู่ในตู้ปรับอุณหภูมิเพื่อดูว่าตัวเหลืองไหม ส่วนดิฉัน วิสัญญีแพทย์มาให้ดมยาสลบและปล่อยให้คุณหมอเย็บแผล จากนั้นก็นอนพักฟื้นไปประมาณ 45 นาทีจนถึงรู้สึกตัวดีขึ้นมาอีกครั้ง
หลังผ่าคลอดอยู่ในโรงพยาบาลคุณหมอดูแลอย่างไร
- มีการวัดความดันและอุณหภูมิของร่างกายทุกชั่วโมงตลอดคืนแรก และมีการให้ยาผ่านทางสายน้ำเกลือ เรียกว่าคืนแรกแทบจะไม่ได้นอนเลยค่ะ เพราะเจ้าหน้าที่จะเข้าออกห้องพักตลอดทั้งคืน
- มีการสังเกตปริมาณเลือดที่ออกทางช่องคลอด และดูปริมาณปัสสาวะ พอผ่านไปสัก 9 ชั่วโมงถึงจะเอาสายส่วนปัสสาวะออก ดังนั้นช่วงเข้าห้องน้ำแรก ๆ จะเจ็บขัดเวลาปัสสาวะ ดิฉันใช้เวลาประมาณ 15 นาทีกว่าจะปัสสาวะเสร็จ เพราะมัวแต่ลุก ๆ นั่ง ๆ ไม่กล้าปัสสาวะเพราะเจ็บ ท้ายที่สุดต้องยอมทนเจ็บ น้ำตาแทบร่วงเลยค่ะ
- ต้องพยายามขยับร่างกายให้บ่อย โดยฉวยโอกาสระหว่างช่วงที่ขาหายชาแล้ว แต่ฤทธิ์ยาแก้ปวดยังมีต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ให้ขยับตัวบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการก่อตัวของพังผืดบริเวณแผล
- พอถอดสายน้ำเกลือแล้วพยายามลุกเดิน ช่วงแรก ๆ อาจจะมีอาการหน้ามืดได้หรือยังมีฤทธิ์ยาอยู่บ้าง ดังนั้น ค่อยลุกนั่งก่อนสักพักแล้วค่อย ๆ ลุกเดินนะคะ นอกจากนี้ควรมีคนอื่นหรือพยาบาลช่วยประคองเผื่อหน้ามืดจะได้ไม่เป็นอะไร
- ใช้ผ้ารัดหน้าท้อง เพื่อช่วยให้การขยับเขยื้อนตัวเป็นไปได้สะดวกขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้มดลูกไม่ลอยด้วย
- รับประทานอาหารอ่อน ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงอาการท้องอืด เพราะก่อนผ่าคลอดเราต้องงดน้ำ งดอาหาร ร่างกายของเราจึงต้องค่อย ๆ ปรับสภาพหลังจากหยุดพักระบบย่อยมา 1 วันเต็ม ๆ ไม่อย่างนั้นนอกจากจะเจ็บแผลแล้วยังมีอาการท้องอืด จุกเสียดยอดอกเพิ่มด้วย คงจะทรมานน่าดู อาหารมื้อแรกที่ทางโรงพยาบาลจัดให้ดิฉันคือ น้ำข้าวต้มและน้ำขิง
- อาบน้ำได้ตามปกตินะคะ สมัยก่อนเวลาผ่าคลอดแล้วไม่สามารถอาบน้ำได้ แต่ปัจจุบันนี้คุณหมอเย็บไหมละลาย และใช้พลาสเตอร์กันน้ำปิดแผลให้เพียงแต่ เวลาอาบน้ำไม่ต้องเน้นถูสบู่และทาครีมบริเวณที่ปิดแผลเท่านั้นเองค่ะ
นอกจากคุณหมอจะดูแลที่โรงพยาบาลแล้ว หลังกลับบ้านคุณแม่ก็ควรดูแลเพิ่มเติม อาจจะมีเจ็บแผลบ้างอย่างเวลาไอ จาม หรือเดินในช่วงแรก ๆ ยังไงก็ต้องอดทนแล้วก็พยายามดูแลแผลผ่าคลอดให้กระเทือนน้อยที่สุด ต่อจากนี้คุณแม่ท่านไหนที่กำลังเตรียมตัวผ่าคลอดคงจะได้เตรียมตัวกันถูกนะคะ
บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ :
สาวชาวม้ง วัย 17 คลอด ลูกชายแฝด 3 แม่ไม่มีน้ำนม เด็กต้องกินนมผง ขอรับบริจาคช่วยเหลือเรื่องนม
อาหารแม่หลังผ่าคลอด สารอาหารแบบไหนที่แม่หลังผ่าคลอดควรได้รับ?
10 เมนูอาหารคุณแม่หลังผ่าคลอด หลังผ่าคลอดกินอะไรได้บ้าง อะไรควรหลีกเลี่ยง