ไหมละลายหลังคลอดกี่วันหาย แผลฝีเย็บดูแลอย่างไร

ผ่าคลอดแบบใช้ไหมละลาย ไหมละลายหลังคลอดกี่วันหาย ควรดูแลฝีเย็บอย่างไรให้แผลสวย ไม่ทิ้งรอยผ่าที่น่ากลัวหรือบวมนูน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ปัญหาที่เป็นกังวลยอดฮิตสำหรับคุณแม่ผ่าคลอดนอกจากเรื่องของลูกน้อยแล้ว อีกเรื่องที่คุณแม่หลายท่านให้ความสนใจเป็นอย่างมากคือเรื่องของการดูแลแผลผ่าคลอด เพราะการผ่าคลอดนั้นเป็นการเปิดหน้าท้องซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออักเสบได้ตลอดเวลา และอีกหนึ่งความเป็นกังวลคือเรื่องของการใช้ไหมในการเย็บแผล วันนี้เราจะพาคุณแม่ที่กำลังจะผ่าคลอดมาทำความรู้จักกับไหมต่าง ๆ ที่ใช้ในการเย็นแผลผ่าคลอด พร้อมตอบคำถาม ไหมละลายหลังคลอดกี่วันหาย ฝีแผลเย็บดูแลอย่างไร

 

ไหมละลาย คือ

ไหมละลาย (Absorbable Sutures) คือ เส้นไหมที่สามารถละลายหรือสลายตัวได้เองตามธรรมชาติภายในร่างกายของมนุษย์ นิยมใช้ในการเย็บปิดแผลผ่าตัดหรือแผลอื่น ๆ โดยไม่ต้องกลับมาตัดไหม ซึ่งไหมละลายมีทั้งแบบที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น คอลลาเจนจากลำไส้แกะหรือวัว และแบบที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งนิยมใช้กันมากกว่าในปัจจุบัน เนื่องจากมีความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อน้อยกว่า ทำให้สะดวกและลดความเจ็บปวดในกระบวนการรักษาแผล ไหมละลายมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ โดยเฉพาะในสาขาศัลยกรรมและการเย็บแผลในเนื้อเยื่อภายใน

บทความที่น่าสนใจ: รู้ก่อนพร้อมก่อน 5 สิ่งที่แม่ท้องทุกคนต้องรู้ก่อนผ่าคลอด และ เทคนิคดูแลแผลผ่าคลอดให้สวยเนียน

 

 

ประเภทของไหมละลาย

ไหมละลาย เป็นวัสดุเย็บแผลที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องเอาออกหลังการเย็บแผล เมื่อเวลาผ่านไป ไหมละลายจะถูกย่อยสลายโดยกระบวนการธรรมชาติในร่างกาย ปกติจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์ถึงเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมละลายและตำแหน่งที่ใช้เย็บแผล มีหลายประเภทของไหมละลายที่ใช้ในวงการแพทย์ แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ไหมละลายที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ

  • ไหม Catgut: ทำจากลำไส้แกะหรือวัว ละลายได้เร็วใน 60-70 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลในช่องปาก เยื่อบุช่องปาก ปลายนิ้ว และเนื้อเยื่อใต้เล็บ
  • ไหม Silk: ทำจากเส้นไหม ละลายได้ช้ากว่าไหม Catgut ประมาณ 80-120 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลทั่วไป

 

ไหมละลายสังเคราะห์

  • ไหม Vicryl (polyglactin 910): ละลายได้หมดใน 60-90 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลทั่วไป
  • ไหม Vicryl Rapide: ละลายได้หมดภายใน 42 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลผิวหนัง
  • ไหม Monocryl (Poliglecaprone 25): ละลายได้หมดภายใน 21 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลผิวหนังและเยื่อบุตา
  • ไหม PDS (polydioxanone): ละลายได้หมดภายใน 180-240 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลที่ต้องการความแข็งแรงนาน เช่น เย็บกล้ามเนื้อ

นอกจากนี้ ยังมีไหมละลายสังเคราะห์ชนิดอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไป แพทย์จะเลือกใช้ไหมละลายชนิดที่เหมาะสมกับแผลและผู้ป่วยแต่ละราย

 

ความแตกต่างระหว่างไหมธรรมดา กับ ไหมละลาย

ไหมธรรมดา ไหมละลาย
วัสดุ ไหมสังเคราะห์ (Polyester, Nylon) หรือ ใยธรรมชาติ (Silk, Cotton)
ไหมสังเคราะห์ที่ย่อยสลายได้เอง (PDO, PCL)
ระยะเวลาการอยู่ใต้ผิวหนัง 6-12 เดือน 2-6 เดือน
การตัดไหม จำเป็นต้องตัดไหมออก
ไม่จำเป็นต้องตัดไหม ร่างกายจะดูดซึมไหมเอง
อาการระคายเคือง อาจเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังได้บ้าง
ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่า
แผลเป็น มีโอกาสเกิดแผลเป็นเล็กน้อย
มีโอกาสเกิดแผลเป็นน้อยมาก
การใช้งาน เหมาะกับการเย็บแผลทั่วไป ศัลยกรรมตกแต่งบางชนิด
เหมาะกับการเย็บแผลใต้ผิวหนังที่ต้องการให้ไหมละลายเองโดยไม่ต้องตัดไหม เช่น เย็บกล้ามเนื้อ เยื่อบุโพรงมดลูก
ข้อดี แข็งแรง ทนทาน เก็บรักษาง่าย ราคาถูก
สะดวก ไม่ต้องกลับมาตัดไหม แผลเป็นน้อย
ข้อเสีย อาจเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ต้องการการตัดไหม
ระยะเวลาการอยู่ใต้ผิวหนังสั้นกว่า ราคาแพงกว่า

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

ปัจจัยที่พิจารณาในการเลือกใช้ไหมในการผ่าคลอด

การเลือกใช้ไหมในการผ่าคลอดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากการเลือกใช้ไหมที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เพิ่มความแข็งแรงของแผล และส่งเสริมการหายของแผลที่รวดเร็วขึ้น ปัจจัยที่พิจารณาในการเลือกใช้ไหมในการผ่าคลอดมีดังนี้

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ชนิดของไหม (Suture Material)

  • ไหมละลาย (Absorbable Sutures): ใช้ในกรณีที่ต้องการให้ไหมถูกดูดซึมโดยร่างกาย เช่น การเย็บในชั้นภายใน เช่น ไหม Vicryl หรือ Monocryl 
  • ไหมไม่ละลาย (Non-Absorbable Sutures): ใช้ในกรณีที่ต้องการความคงทนในการเย็บ เช่น การเย็บผิวหนังชั้นนอก เช่น ไหม Nylon หรือ Prolene

 

ทำไมหมอเลือกใช้ “ไหมละลาย” เย็บแผลผ่าคลอด?

คุณแม่อาจสงสัยว่าทำไมคุณหมอถึงเลือกใช้ไหมละลายเย็บแผลผ่าคลอด แทนที่จะใช้ไหมแบบต้องมาตัดออกทีหลัง จริง ๆ แล้วไหมละลายมีข้อดีหลายอย่าง ดังนี้

  • ไม่ต้องกลับไปตัดไหม เพราะไหมละลายจะค่อย ๆ สลายตัวไปเองในร่างกาย ไม่ต้องเปิดแผลซ้ำเพื่อตัดไหม ลดขั้นตอน ลดความเจ็บ
  • ลดความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ เพราะไม่มีการเปิดแผลซ้ำให้เชื้อโรคเข้าไปได้
  • แผลเรียบ หายไวขึ้น ไหมละลายช่วยให้แผลสมานตัวดีและสวยขึ้น ลดโอกาสเกิดแผลเป็นชัด ๆ
  • หมาะกับแผลบริเวณหน้าท้อง อย่างแผลผ่าคลอด เพราะตำแหน่งนี้อาจไม่สะดวกในการตัดไหม หมอเลยเลือกวิธีที่ดูแลง่ายและปลอดภัยที่สุด

การใช้ไหมละลายช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องกังวลเรื่องการตัดไหม แถมยังช่วยให้แผลผ่าคลอดหายสวยขึ้นด้วยค่ะ

 

บทความที่น่าสนใจ: แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด รักษาอย่างไร? วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายเร็ว

 

 

ผ่าคลอดใช้ไหมละลายหรือไหมธรรมดา

ในการผ่าตัดคลอด (Caesarean section) การเลือกใช้ไหมเย็บแผลมีความสำคัญอย่างมากต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วย ความแข็งแรงของแผล และการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน โดยทั่วไปแล้ว มีการใช้ทั้งไหมละลายและไหมธรรมดาในขั้นตอนต่าง ๆ ของการผ่าคลอด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของแผลและความต้องการเฉพาะของผู้ป่วย

 

การใช้ไหมละลายในการผ่าคลอด 

  • ชั้นกล้ามเนื้อและเยื่อบุมดลูก: มักใช้ไหมละลายเพื่อเย็บแผลภายใน เนื่องจากไม่ต้องการการตัดไหมออกในภายหลัง ไหมละลายจะถูกย่อยสลายและดูดซึมโดยร่างกายไปเอง ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและความไม่สะดวกในการต้องมาตัดไหม 
  • ชั้นใต้ผิวหนัง: ไหมละลายยังสามารถใช้เย็บชั้นใต้ผิวหนังเพื่อลดแรงตึงของแผลและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การใช้ไหมธรรมดาในการผ่าคลอด 

เนื้อเยื่อผิวหนังภายนอก: แพทย์บางท่านอาจเลือกใช้ไหมธรรมดา (ไหมไม่ละลาย) ในการเย็บผิวหนังภายนอก เนื่องจากไหมธรรมดามีความแข็งแรงและสามารถควบคุมการเย็บได้ดี นอกจากนี้ ไหมธรรมดามักจะมองเห็นได้ชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการติดตามผลการเย็บแผลและการตัดไหมออกในภายหลัง

ความแตกต่างระหว่าง แผลผ่าคลอดที่ใช้ไหมละลาย กับ แผลทั่วไป

แผลผ่าคลอดไหมละลาย

เป็นแผลผ่าตัดที่หมอเย็บไว้ตั้งแต่ในห้องผ่าตัด เช่น แผลผ่าคลอด หรือแผลจากการคลอดทางช่องคลอด

  • แผลมักเรียบ ขอบแผลสวย เพราะหมอควบคุมความสะอาดได้ดี
  • ใช้ไหมละลายที่ค่อย ๆ สลายไปเองในร่างกาย ไม่ต้องกลับไปตัดไหม
  • ช่วยให้แผลแนบสนิทกันได้ดี แผลหายเร็วขึ้น และดูเรียบเนียนกว่า

 

แผลทั่วไปที่ไม่ได้ใช้ไหมละลาย

มักเป็นแผลจากอุบัติเหตุ หรือแผลที่เกิดบนผิวหนัง เช่น แผลล้ม แผลถูกของมีคม

  • แผลอาจไม่เรียบเท่า เพราะไม่ได้เย็บในสภาพแวดล้อมปลอดเชื้อแบบห้องผ่าตัด
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่า
  • มักใช้ไหมไม่ละลาย เพราะต้องการแรงดึงที่มากกว่าในการปิดแผลให้แน่นหนา และไม่เสี่ยงไหมละลายขาดหลุดก่อนเวลา

 

 

ไหมละลายหลังคลอดกี่วันหาย

ไหมละลายหลังคลอด โดยทั่วไปจะใช้เวลา ประมาณ 7 วัน ในการละลายหมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาการละลายของไหมอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้ สุขภาพร่างกาย และการดูแลแผลของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว แผลฝีเย็บหลังคลอดจะหายสนิทภายใน 3-4 สัปดาห์ แม้ว่าไหมจะละลายหมดแล้วก็ตาม ในช่วงนี้คุณแม่ควรดูแลแผลอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดงร้อน ปวดมาก มีหนองไหล หรือมีกลิ่นเหม็นคาว

บทความที่น่าสนใจ: นานแค่ไหน กว่าแผลผ่าคลอดจะหาย ใช้เวลาเท่าไหร่ กว่าจะเป็นปกติ

 

ไหมละลายหลุดแล้ว แต่แผลยังปวด แผลอักเสบรึเปล่า สังเกตอย่างไร? 

โดยปกติแล้ว ไหมละลายที่เย็บแผลผ่าคลอดจะค่อย ๆ หลุดออกเองในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังคลอด แต่อาการปวดแผลบางครั้งยังอยู่ต่อได้อีกพักใหญ่ เนื่องจาก

 

  • การผ่าคลอดคือการผ่าผ่านเนื้อเยื่อหลายชั้น จนถึงมดลูก
  • ร่างกายต้องใช้เวลา 2-3 เดือน กว่าแผลข้างในจะฟื้นตัวเต็มที่

ดังนั้นคุณแม่บางคนยังรู้สึกตึง เจ็บ หรือปวดแผลบ้าง แม้ไหมละลายจะหลุดไปแล้ว ก็ยังถือว่า “ปกติ” อยู่ในช่วงพักฟื้นค่ะ

แต่! ถ้ามีอาการผิดปกติแบบนี้ ควรรีบพบคุณหมอนะคะ เพราะอาจเป็นสัญญาณของแผลอักเสบได้ 

  • แผลผ่าคลอดเริ่มบวม แดง หรือเจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • มีกลิ่นเหม็นจากแผล
  • มีหนอง เลือด หรือของเหลวไหลออกจากแผล
  • รู้สึกชาหรือรู้สึกแปลก ๆ ที่แผล
  • มีไข้สูง หนาวสั่น
  • หายใจลำบาก หรือรู้สึกเพลีย ซึมกว่าปกติ

บางกรณีไหมละลายหลุดเร็วเกินไป ทำให้แผลด้านในยังไม่ปิดสนิทดี เกิดการอักเสบข้างในได้

แผลผ่าคลอดไหมละลาย ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะหายสนิท?

คุณแม่หลายคนสงสัยว่าแผลผ่าคลอดจะใช้เวลากี่วันถึงจะหายดี โดยเฉพาะเมื่อคุณหมอใช้ไหมละลาย ไม่ต้องกลับไปตัดไหมอีกแล้ว แล้วแบบนี้ แผลจะหายเมื่อไหร่?

  • แผลชั้นนอก ได้แก่ ผิวหนัง

แผลด้านนอกสุดที่มองเห็นได้ จะสมานตัวเร็วที่สุด โดยใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ก็จะเริ่มติดกันดีแล้ว

  • แผลชั้นใน ได้แก่ เนื้อเยื่อภายในที่หมอเย็บไว้

ตรงนี้จะหายช้ากว่า เพราะอยู่ลึกลงไป ต้องใช้เวลาประมาณ 2–4 สัปดาห์ กว่าเนื้อเยื่อข้างในจะเชื่อมกันดี

สีของแผลจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปตามการสมานตัว

  • ช่วงแรก แผลจะมีสีแดง
  • ต่อมา ค่อย ๆ กลายเป็นสีแดงอมม่วง
  • จากนั้น จะจางลงเป็นสีขาว
  • สุดท้าย สีผิวบริเวณแผลจะกลืนกับผิวคุณแม่ในช่วงประมาณ 6 เดือน

ขั้นตอนการดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไว

การดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไว เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แผลหายและสมานตัวได้เร็วขึ้น โดยทั่วไปแล้ว แผลผ่าคลอดมักอยู่ในบริเวณที่อ่อนแอต่อการติดเชื้อ เพราะเป็นการผ่าตัดและมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายในร่างกายของผู้หญิงหลังคลอด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดูแลแผลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันและรักษาการหายของแผลได้อย่างเหมาะสม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

  • รักษาความสะอาด: หลังจากที่คลอดแล้ว แผลผ่าคลอดจะติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นการรักษาความสะอาดมีความสำคัญอย่างมาก ใช้น้ำอุ่นและสบู่ เพื่อชำระล้างร่างกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ หรือสามารถใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทาเบา ๆ ที่หน้าแผลเพื่อลดการติดเชื้อได้ และควรทำความสะอาดแผลทุกครั้งหลังจากที่มีการปัสสาวะหรืออุจจาระเพื่อป้องกันการติดเชื้อ 
  • รักษาความชุ่มชื้น: แผลผ่าคลอดควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชุ่มชื้นต่ำเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยที่แผลบ่อยครั้ง เพื่อรักษาความสะอาดและลดความชื้น ทำให้แผลหายไวขึ้น 
  • การรับประทานอาหารที่เหมาะสม: การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และมีวิตามิน C และ E ที่สามารถช่วยในกระบวนการการฟื้นฟูแผลได้ดี 
  • ควบคุมอาการบวมและอักเสบ: ควรตรวจสอบและควบคุมอาการบวมและอักเสบที่แผลอย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้คำแนะนำในการรักษาเพิ่มเติม 
  • การใช้ผ้าพันแผล: ใช้ผ้าพันแผลเพื่อป้องกันแผลจากสิ่งสกปรกและฝุ่นหน้า และรักษาความสะอาดของแผล 
  • ความสะอาดและระวังการใช้ผ้าสะอาด: ควรสวมผ้าอนามัยที่สะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากฝุ่นหน้าและสิ่งสกปรกอื่น ๆ

 

ดังนั้นการดูแลแผลผ่าคลอดอย่างถูกต้องและอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้แผลหายไวและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีขึ้น หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม

 

ที่มา: nhs.uk, cgbabyclub.co.uk, webmd.com, enfababy.com, โรงพยาบาลศัลยกรรม SLC

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่

ผ่าคลอด สระผมได้ไหม คำถามที่คุณแม่ผ่าคลอดอยากรู้

หลังผ่าตัดห้ามกินอะไร อาหารแสลง แม่ผ่าคลอดควรรู้

บทความโดย

Siriluck Chanakit