ปัญหาที่เป็นกังวลยอดฮิตสำหรับคุณแม่ผ่าคลอดนอกจากเรื่องของลูกน้อยแล้ว อีกเรื่องที่คุณแม่หลายท่านให้ความสนใจเป็นอย่างมากคือเรื่องของการดูแลแผลผ่าคลอด เพราะการผ่าคลอดนั้นเป็นการเปิดหน้าท้องซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรืออักเสบได้ตลอดเวลา และอีกหนึ่งความเป็นกังวลคือเรื่องของการใช้ไหมในการเย็บแผล วันนี้เราจะทำคุณแม่ที่กำลังจะผ่าคลอดมาทำความรู้จักกับไหมต่าง ๆ ที่ใช้ในการเย็นแผลผ่าคลอด พร้อมตอบคำถาม ไหมละลายหลังคลอดกี่วันหาย ฝีแผลเย็บดูแลอย่างไร
ไหมละลาย คือ
ไหมละลาย (Absorbable Sutures) คือ เส้นไหมที่สามารถละลายหรือสลายตัวได้เองตามธรรมชาติภายในร่างกายของมนุษย์ นิยมใช้ในการเย็บปิดแผลผ่าตัดหรือแผลอื่น ๆ โดยไม่ต้องกลับมาตัดไหม ซึ่งไหมละลายมีทั้งแบบที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น คอลลาเจนจากลำไส้แกะหรือวัว และแบบที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งนิยมใช้กันมากกว่าในปัจจุบัน เนื่องจากมีความระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อน้อยกว่า ทำให้สะดวกและลดความเจ็บปวดในกระบวนการรักษาแผล ไหมละลายมีการใช้งานอย่างกว้างขวางในวงการแพทย์ โดยเฉพาะในสาขาศัลยกรรมและการเย็บแผลในเนื้อเยื่อภายใน
บทความที่น่าสนใจ: รู้ก่อนพร้อมก่อน 5 สิ่งที่แม่ท้องทุกคนต้องรู้ก่อนผ่าคลอด และ เทคนิคดูแลแผลผ่าคลอดให้สวยเนียน
ประเภทของไหมละลาย
ไหมละลาย เป็นวัสดุเย็บแผลที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องเอาออกหลังการเย็บแผล เมื่อเวลาผ่านไป ไหมละลายจะถูกย่อยสลายโดยกระบวนการธรรมชาติในร่างกาย ปกติจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์ถึงเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมละลายและตำแหน่งที่ใช้เย็บแผล มีหลายประเภทของไหมละลายที่ใช้ในวงการแพทย์ แต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน ดังนี้
ไหมละลายที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ
- ไหม Catgut: ทำจากลำไส้แกะหรือวัว ละลายได้เร็วใน 60-70 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลในช่องปาก เยื่อบุช่องปาก ปลายนิ้ว และเนื้อเยื่อใต้เล็บ
- ไหม Silk: ทำจากเส้นไหม ละลายได้ช้ากว่าไหม Catgut ประมาณ 80-120 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลทั่วไป
ไหมละลายสังเคราะห์
- ไหม Vicryl (polyglactin 910): ละลายได้หมดใน 60-90 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลทั่วไป
- ไหม Vicryl Rapide: ละลายได้หมดภายใน 42 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลผิวหนัง
- ไหม Monocryl (Poliglecaprone 25): ละลายได้หมดภายใน 21 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลผิวหนังและเยื่อบุตา
- ไหม PDS (polydioxanone): ละลายได้หมดภายใน 180-240 วัน เหมาะสำหรับเย็บแผลที่ต้องการความแข็งแรงนาน เช่น เย็บกล้ามเนื้อ
นอกจากนี้ ยังมีไหมละลายสังเคราะห์ชนิดอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ละชนิดมีคุณสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกันไป แพทย์จะเลือกใช้ไหมละลายชนิดที่เหมาะสมกับแผลและผู้ป่วยแต่ละราย
ความแตกต่างระหว่างไหมธรรมดา กับ ไหมละลาย
ไหมธรรมดา | ไหมละลาย | |
วัสดุ | ไหมสังเคราะห์ (Polyester, Nylon) หรือ ใยธรรมชาติ (Silk, Cotton) |
ไหมสังเคราะห์ที่ย่อยสลายได้เอง (PDO, PCL)
|
ระยะเวลาการอยู่ใต้ผิวหนัง | 6-12 เดือน | 2-6 เดือน |
การตัดไหม | จำเป็นต้องตัดไหมออก |
ไม่จำเป็นต้องตัดไหม ร่างกายจะดูดซึมไหมเอง
|
อาการระคายเคือง | อาจเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนังได้บ้าง |
ระคายเคืองต่อผิวหนังน้อยกว่า
|
แผลเป็น | มีโอกาสเกิดแผลเป็นเล็กน้อย |
มีโอกาสเกิดแผลเป็นน้อยมาก
|
การใช้งาน | เหมาะกับการเย็บแผลทั่วไป ศัลยกรรมตกแต่งบางชนิด |
เหมาะกับการเย็บแผลใต้ผิวหนังที่ต้องการให้ไหมละลายเองโดยไม่ต้องตัดไหม เช่น เย็บกล้ามเนื้อ เยื่อบุโพรงมดลูก
|
ข้อดี | แข็งแรง ทนทาน เก็บรักษาง่าย ราคาถูก |
สะดวก ไม่ต้องกลับมาตัดไหม แผลเป็นน้อย
|
ข้อเสีย | อาจเกิดอาการระคายเคืองต่อผิวหนัง ต้องการการตัดไหม |
ระยะเวลาการอยู่ใต้ผิวหนังสั้นกว่า ราคาแพงกว่า
|
ปัจจัยที่พิจารณาในการเลือกใช้ไหมในการผ่าคลอด
การเลือกใช้ไหมในการผ่าคลอดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เนื่องจากการเลือกใช้ไหมที่เหมาะสมสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เพิ่มความแข็งแรงของแผล และส่งเสริมการหายของแผลที่รวดเร็วขึ้น ปัจจัยที่พิจารณาในการเลือกใช้ไหมในการผ่าคลอดมีดังนี้
ชนิดของไหม (Suture Material)
- ไหมละลาย (Absorbable Sutures): ใช้ในกรณีที่ต้องการให้ไหมถูกดูดซึมโดยร่างกาย เช่น การเย็บในชั้นภายใน เช่น ไหม Vicryl หรือ Monocryl
- ไหมไม่ละลาย (Non-Absorbable Sutures): ใช้ในกรณีที่ต้องการความคงทนในการเย็บ เช่น การเย็บผิวหนังชั้นนอก เช่น ไหม Nylon หรือ Prolene
ขนาดของไหม (Suture Size)
การเลือกขนาดของไหมต้องพิจารณาตามบริเวณและชั้นเนื้อเยื่อที่ทำการเย็บ ขนาดของไหมที่เหมาะสมจะช่วยให้การเย็บแข็งแรงและลดการระคายเคือง ขนาดไหมมีตั้งแต่ 10-0 (เล็กมาก) ถึง 7 (ใหญ่)
คุณสมบัติของไหม
- ความแข็งแรง (Tensile Strength): ความสามารถของไหมในการรับแรงดึงโดยไม่ขาด เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แผลยึดติดกันอย่างแข็งแรง
- ความยืดหยุ่น (Elasticity): ไหมที่มีความยืดหยุ่นจะช่วยให้การเย็บสามารถปรับตัวตามการเคลื่อนไหวของเนื้อเยื่อ ลดการระคายเคืองและป้องกันการขาดของไหม
- การตอบสนองต่อเนื้อเยื่อ (Tissue Reactivity): ไหมบางชนิดอาจทำให้เกิดการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันหรือการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อมากกว่าชนิดอื่น ๆ การเลือกไหมที่มีการตอบสนองต่อเนื้อเยื่อที่ต่ำจะช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและการอักเสบ
ประเภทของการเย็บ (Suturing Techniques)
การเย็บมีหลายวิธี เช่น การเย็บแบบต่อเนื่อง (Continuous Suturing) หรือการเย็บแบบแยกปม (Interrupted Suturing) การเลือกวิธีการเย็บและไหมที่เหมาะสมจะช่วยให้การเย็บมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน
การพิจารณาปัจจัยเหล่านี้อย่างรอบคอบจะช่วยให้การผ่าตัดคลอดมีความปลอดภัยและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ เพิ่มความแข็งแรงของแผล และส่งเสริมการหายของแผลที่รวดเร็วและไม่มีภาวะแทรกซ้อน
บทความที่น่าสนใจ: แผลเป็นนูนหลังผ่าคลอด รักษาอย่างไร? วิธีดูแลแผลผ่าคลอดให้หายเร็ว
ผ่าคลอดใช้ไหมละลายหรือไหมธรรมดา
ในการผ่าตัดคลอด (Caesarean section) การเลือกใช้ไหมเย็บแผลมีความสำคัญอย่างมากต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วย ความแข็งแรงของแผล และการลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน โดยทั่วไปแล้ว มีการใช้ทั้งไหมละลายและไหมธรรมดาในขั้นตอนต่าง ๆ ของการผ่าคลอด ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของแผลและความต้องการเฉพาะของผู้ป่วย
การใช้ไหมละลายในการผ่าคลอด
- ชั้นกล้ามเนื้อและเยื่อบุมดลูก: มักใช้ไหมละลายเพื่อเย็บแผลภายใน เนื่องจากไม่ต้องการการตัดไหมออกในภายหลัง ไหมละลายจะถูกย่อยสลายและดูดซึมโดยร่างกายไปเอง ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและความไม่สะดวกในการต้องมาตัดไหม
- ชั้นใต้ผิวหนัง: ไหมละลายยังสามารถใช้เย็บชั้นใต้ผิวหนังเพื่อลดแรงตึงของแผลและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
การใช้ไหมธรรมดาในการผ่าคลอด
เนื้อเยื่อผิวหนังภายนอก: แพทย์บางท่านอาจเลือกใช้ไหมธรรมดา (ไหมไม่ละลาย) ในการเย็บผิวหนังภายนอก เนื่องจากไหมธรรมดามีความแข็งแรงและสามารถควบคุมการเย็บได้ดี นอกจากนี้ ไหมธรรมดามักจะมองเห็นได้ชัดเจน ทำให้ง่ายต่อการติดตามผลการเย็บแผลและการตัดไหมออกในภายหลัง
ไหมละลายหลังคลอดกี่วันหาย
ไหมละลายหลังคลอด โดยทั่วไปจะใช้เวลา ประมาณ 7 วัน ในการละลายหมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาการละลายของไหมอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชนิดของไหมที่ใช้ สุขภาพร่างกาย และการดูแลแผลของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว แผลฝีเย็บหลังคลอดจะหายสนิทภายใน 3-4 สัปดาห์ แม้ว่าไหมจะละลายหมดแล้วก็ตาม ในช่วงนี้คุณแม่ควรดูแลแผลอย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และสังเกตอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดงร้อน ปวดมาก มีหนองไหล หรือมีกลิ่นเหม็นคาว
บทความที่น่าสนใจ: นานแค่ไหน กว่าแผลผ่าคลอดจะหาย ใช้เวลาเท่าไหร่ กว่าจะเป็นปกติ
ขั้นตอนการดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไว
การดูแลแผลผ่าคลอดให้หายไว เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้แผลหายและสมานตัวได้เร็วขึ้น โดยทั่วไปแล้ว แผลผ่าคลอดมักอยู่ในบริเวณที่อ่อนแอต่อการติดเชื้อ เพราะเป็นการผ่าตัดและมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายในร่างกายของผู้หญิงหลังคลอด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องดูแลแผลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันและรักษาการหายของแผลได้อย่างเหมาะสม โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- รักษาความสะอาด: หลังจากที่คลอดแล้ว แผลผ่าคลอดจะติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นการรักษาความสะอาดมีความสำคัญอย่างมาก ใช้น้ำอุ่นและสบู่ เพื่อชำระล้างร่างกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ระวังอย่าให้แผลโดนน้ำ หรือสามารถใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์ทาเบา ๆ ที่หน้าแผลเพื่อลดการติดเชื้อได้ และควรทำความสะอาดแผลทุกครั้งหลังจากที่มีการปัสสาวะหรืออุจจาระเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- รักษาความชุ่มชื้น: แผลผ่าคลอดควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชุ่มชื้นต่ำเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยที่แผลบ่อยครั้ง เพื่อรักษาความสะอาดและลดความชื้น ทำให้แผลหายไวขึ้น
- การรับประทานอาหารที่เหมาะสม: การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่ว และมีวิตามิน C และ E ที่สามารถช่วยในกระบวนการการฟื้นฟูแผลได้ดี
- ควบคุมอาการบวมและอักเสบ: ควรตรวจสอบและควบคุมอาการบวมและอักเสบที่แผลอย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อให้คำแนะนำในการรักษาเพิ่มเติม
- การใช้ผ้าพันแผล: ใช้ผ้าพันแผลเพื่อป้องกันแผลจากสิ่งสกปรกและฝุ่นหน้า และรักษาความสะอาดของแผล
- ความสะอาดและระวังการใช้ผ้าสะอาด: ควรสวมผ้าอนามัยที่สะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากฝุ่นหน้าและสิ่งสกปรกอื่น ๆ
ดังนั้นการดูแลแผลผ่าคลอดอย่างถูกต้องและอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้แผลหายไวและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีขึ้น หากมีอาการผิดปกติหรือข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม
ที่มา: nhs.uk, cgbabyclub.co.uk, webmd.com, enfababy.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่
ผ่าคลอด สระผมได้ไหม คำถามที่คุณแม่ผ่าคลอดอยากรู้
หลังผ่าตัดห้ามกินอะไร อาหารแสลง แม่ผ่าคลอดควรรู้