การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ หลาย ๆ ครอบครัวเริ่มสอนให้ลูกอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่ลูกอายุยังน้อย หรือไม่ก็ส่งลูกไปเรียนเตรียมอนุบาลหรือเรียนพิเศษตั้งแต่เนิ่น ๆ วันนี้ เราจะพาคุณแม่มาทำความรู้จักกับ สะเต็มศึกษา ว่าเกี่ยวกับการศึกษายังไง และเกี่ยวข้องกับเด็ก ๆ ยังไงบ้าง ถ้าพร้อมแล้วมาอ่านไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ
สะเต็มศึกษา (STEM Education) คืออะไร STEM คืออะไร
หลายคนอาจไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสิ่งนี้มาก่อน แต่ความจริงแล้วสะเต็มศึกษา ถือว่าเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวเรามาก ๆ สะเต็มศึกษา (STEM Education) คือ การบูรณาการด้านการศึกษา ที่นำความรู้ทั้ง 4 ศาสตร์มาผสมผสานกัน เพื่อใช้ในการเรียนการสอนเด็กนักเรียน ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) การสร้างสรรค์นวัตกรรม (Engineering) และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) ซึ่งหลักการของ STEM จะยึดแนวคิดทั้ง 5 ข้อ ได้แก่
- ครูเน้นการบูรณาการการเรียนการสอน
- ครูต้องมีส่วนช่วยให้นักเรียนเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาที่กำลังเรียนกับเนื้อหาที่ได้เรียนไปแล้ว
- โรงเรียนเน้นการพัฒนาทักษะที่สำคัญในศตวรรษที่ 21
- สอนแบบท้าทายความคิดของเด็กนักเรียน
- ครูต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้แสดงความคิดเห็นและทำความเข้าใจกับเนื้อหาที่เรียน
บทความที่เกี่ยวข้อง : 5 โรงเรียนเนอสเซอรี่ที่ดีที่สุด ในกรุงเทพฯ พร้อมค่าเทอม
จับตา!!! สะเต็มศึกษาพัฒนาเด็กไทยตั้งแต่วัยอนุบาล
อย่างที่ได้ทราบกันไปแล้ว ว่าสะเต็มศึกษา เป็นการบูรณาการระหว่างวิชาเรียนทั้ง 4 วิชา ซึ่งนอกจากนี้ก็ไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่ระดับประถมศึกษาไปจนถึงมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เด็กเล็กวัยอนุบาล ก็สามารถเรียนแบบสะเต็มศึกษาได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่อาจจะมีวิธีการสอนที่แตกต่างไปบ้างตามอายุของเด็ก ๆ เรามาดูกันดีกว่า ว่าในแต่ละวิชา มีรูปแบบการเรียนการสอนแบบไหนกันบ้าง
1. วิทยาศาสตร์ (Science)
Science หรือ วิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์ที่เน้นศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติรอบ ๆ ตัว มีแนวทางในการเรียนรู้ ดังนี้
- โดยปกติแล้ว เด็กอนุบาล จะมีความช่างสงสัย ชอบถามคำถามตลอดเวลา แต่ว่าสำหรับเด็กอนุบาล เราไม่ได้เน้นว่าเด็กต้องรู้เกี่ยวกับทุกสิ่งรอบตัว
- สิ่งที่ต้องบรรลุให้ได้ คือ สอนให้เด็กมีทักษะการสังเกต รู้จักสำรวจ ทดลอง คาดคะเน และตั้งสมมติฐาน
- วิทยาศาสตร์ มีส่วนในการช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนรู้จักคิดและแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ คิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล รวมทั้งคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และมีทักษะที่สำคัญในการสืบค้นข้อมูล
2. เทคโนโลยี (Technology)
Technology หรือ เทคโนโลยี เป็นทักษะการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในการสร้างและการคิด มีแนวทางในการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้
- ให้เด็ก ๆ รู้จักการตัด ติด และต่อกระดาษให้เป็นรูปทรงที่ต้องการ และทุกอย่างนี้ ควรเน้นทำโดยเทคโนโลยีที่มีอยู่
- บทบาทของศาสตร์เทคโนโลยีในสะเต็มศึกษา จะช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะด้านการคิด การแก้ปัญหา และการคิดวิเคราะห์
- วิชานี้ช่วยให้เด็กมีนิสัยรอบคอบ ไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นในขณะทำกิจกรรมหรือเรียนอยู่
บทความที่เกี่ยวข้อง : ให้ลูก เรียนว่ายน้ำ ที่ไหนดี รวมโรงเรียนสอนว่ายน้ำเด็ก ราคาไม่แพง
3. วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering)
Engineering หรือ วิศวกรรมศาสตร์ มีแนวทางในเรียนรู้ ดังนี้
- วิศวกรรม หมายถึง การวางแผนเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
- ศาสตร์นี้ เป็นการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีมาประยุกต์ เพื่อออกแบบและสร้างสรรค์ผลงานหรือสิ่งที่เด็ก ๆ อยากทำ
- บทบาทของวิศวกรรมศาสตร์ในสะเต็มศึกษา คือ ช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ ได้ฝึกความคิดสร้างสรรค์ การคิดแก้ปัญหา และการคิดเป็นเหตุเป็นผล
- ศาสตร์นี้จะเป็นการฝึกนิสัยความเพียรและความรอบคอบของเด็ก
4. คณิตศาสตร์
Mathematics หรือ คณิตศาสตร์ มีแนวทางในการเรียนรู้ ดังต่อนี้
- เน้นเรียนรู้เกี่ยวกับการชั่ง ตวง หรือ วัดรูปร่าง จำนวน รูปทรง เรขาคณิต พีชคณิต รวมไปถึงการวิเคราะห์ข้อมูลและความน่าจะเป็นเบื้องต้น
- บทบาทของคณิตศาสตร์ในสะเต็มศึกษา คือ ช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ พัฒนาทักษะการคิด แก้ปัญหา และคิดเป็นเหตุเป็นผล
- ศาสตร์นี้ ยังช่วยพัฒนาทักษะการคิดสร้างสรรค์ และทักษะการสื่อสารและการนำเสนอให้เด็ก ๆ อีกด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง : เรียนเต้นที่ไหนดี รวมโรงเรียนสอนเต้นในกทม ผู้ใหญ่เรียนได้เด็กเรียนดี
คุณครูฝากบอกเกี่ยวกับสะเต็มศึกษา …
คุณครูวิวรรณ สารปรีชา ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลกุ๊กไก่ ได้พูดถึงถึงสิ่งที่สำคัญในการเรียนรู้แบบสะเต็มว่า คุณครูเองต้องรู้จักตั้งคำถามให้เป็น เพื่อช่วยกระตุ้นให้เด็กคิด ช่วยให้เด็กสนุก จนเกิดเป็นความคิดรวบยอดและเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คุณครูต้องรู้จักการรอคำตอบจากเด็ก รอให้เด็ก ๆ สืบค้นข้อมูล จนได้คำตอบที่เป็นผลสัมฤทธิ์
ซึ่งสิ่งที่เด็กไทยเรายังขาดอยู่เห็นจะเป็นทักษะการคิด วิเคราะห์ และสังเคราะห์ เพื่อเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว แต่หากเด็กอนุบาลได้ฝึกทักษะเหล่านี้ตั้งแต่เด็ก พวกเขาก็จะมีทักษะเบื้องต้น และสามารถนำเอาไปใช้ได้ตอนเข้าโรงเรียนประถม จวบไปจนถึงตอนที่เป็นผู้ใหญ่ … นอกจากนี้ เราไม่จำเป็นจะต้องสอนสะเต็มศึกษากับเด็ก ๆ เฉพาะตอนที่เด็กอยู่โรงเรียนเท่านั้น แต่เราสามารถฝึกฝนลูก ๆ ได้ตลอดเวลา ด้วยการให้เขาตั้งคำถาม หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้คอยชี้แนะ แค่เพียงเท่านี้ ก็เป็นการฝึกลูกตามแนวสะเต็มศึกษาแล้ว
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ทำไมระบบการศึกษาของฟินแลนด์ถึงดีที่สุดในโลก?
ไครสต์เชิร์ช เมืองการศึกษาแห่งใหม่สำหรับเด็กไทย
5 ของเล่น STEM ที่เหมาะสำหรับการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กวัยหัดเดิน
ที่มา : ducatoys, mgronline, stemedthailand, minorsmartkids
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!