ภาวะครรภ์เป็นพิษ คือ ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่หญิงตั้งครรภ์อาจประสบได้ โดยสามารถจัดการได้หากตรวจพบและรักษาได้ทันเวลา การสังเกตอาการผิดปกติและฝากครรภ์อย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงและปกป้องทั้งแม่และลูกน้อยจากอันตรายที่คาดไม่ถึง บทความนี้จะช่วยให้คุณแม่เข้าใจ ภาวะครรภ์เป็นพิษ อย่างถ่องแท้พร้อมแนวทางดูแลตัวเอง
ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) คืออะไร?
ภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) คือภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ที่คุณแม่จะมี ความดันโลหิตสูง ร่วมกับตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ และบางครั้งอาการบวมฉับพลัน โดยภาวะนี้มักเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์หลังอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ และหากไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตทั้งต่อแม่และทารกในครรภ์
นักวิจัยบางรายพบว่า ทารกที่คลอดจากคุณแม่ครรภ์เป็นพิษอาจมีโอกาสเกิดโรคหัวใจในวัยผู้ใหญ่สูงกว่าปกติ! (อ้างอิงจาก American Heart Association)
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของ ภาวะครรภ์เป็นพิษ
สาเหตุที่แท้จริงของครรภ์เป็นพิษ ยังไม่แน่ชัด แต่เชื่อว่ามีหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน หรือหลอดเลือดในรก
ปัจจัยเสี่ยงหลัก ที่เพิ่มโอกาสเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ ได้แก่:
-
- ตั้งครรภ์ครั้งแรก
- ครรภ์แฝด
- อายุ 35 ปีขึ้นไป
- เคยมีประวัติครรภ์เป็นพิษในอดีต
- โรคประจำตัว: ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน, ไต, โรคแพ้ภูมิตัวเอง
- มีกรรมพันธุ์ประวัติคนในครอบครัวเคยครรภ์เป็นพิษ
- ผู้มีภาวะอ้วน

อาการของภาวะครรภ์เป็นพิษ: สัญญาณที่คุณแม่ต้องสังเกต
อาการสำคัญที่ควรจับตามอง มีดังนี้
-
- ความดันโลหิตสูง (สูงเกิน 140/90 mmHg)
- โปรตีนในปัสสาวะ (Proteinuria)
- บวมฉับพลัน โดยเฉพาะที่ใบหน้าและมือ (ไม่ใช่แค่เท้าบวมปกติ)
- ปวดศีรษะรุนแรง ไม่หายแม้รับประทานยาแก้ปวด
- ตาพร่ามัว หรือเห็นแสงวูบวาบ
- เจ็บใต้ชายโครงขวา หรือเจ็บลิ้นปี่
- คลื่นไส้อาเจียนอย่างรุนแรง
- ปัสสาวะน้อยลง
เคล็ดลับ: หากเกิดบวมฉับพลันหรือผิดปกติที่ไม่ได้เกี่ยวกับเท้าเพียงอย่างเดียว ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที!
อาการครรภ์เป็นพิษในไตรมาสที่ 3 (โดยเฉพาะช่วง 7-8 เดือน)
หลายกรณีภาวะครรภ์เป็นพิษจะเริ่มแสดงอาการในช่วงไตรมาสที่ 3 โดยเฉพาะเดือนที่ 7 หรือ 8 เพราะเป็นช่วงที่ร่างกายและรกทำงานหนักสุด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและความต้องการเลือดเพิ่มขึ้นทำให้ภาวะนี้เกิดง่าย และมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงนี้
คุณแม่ต้องคอยสังเกตอาการเรียงตามช่วงเวลา เช่น ความดันโลหิตที่เริ่มสูงขึ้น บวมที่ใบหน้า ปัสสาวะลดลง ตาพร่ามัว หรือเจ็บบริเวณชายโครงขวา
ผลกระทบของภาวะครรภ์เป็นพิษต่อแม่และลูก
หาก ไม่ได้รับการรักษา อย่างเหมาะสม ภาวะครรภ์เป็นพิษอาจส่งผลกระทบหนัก
-
- คุณแม่อาจ ชัก ตับวาย ไตวาย
- มีโอกาสสมองบวม เลือดออกในสมอง
- ทารกในครรภ์โตช้า หรือคลอดก่อนกำหนด
- น้ำในปอด เกล็ดเลือดต่ำ ภาวะเม็ดเลือดแตก
มีงานวิจัยพบว่าคุณแม่ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษรุนแรง อาจต้องให้คลอดก่อนกำหนดถึง 30% และทารกอาจมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อแรกคลอด
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์ทันที? (สัญญาณฉุกเฉิน)
ควรไปโรงพยาบาลทันที หากพบอาการดังนี้:
-
- ความดันโลหิตสูงพร้อมอาการผิดปกติ
- ปวดหัวรุนแรงร่วมกับตามัว เห็นแสงวูบวาบ
- บวมผิดปกติที่มือหรือใบหน้า
- เจ็บชายโครงขวา, คลื่นไส้อาเจียนรุนแรง
- ปัสสาวะลดลงมาก
คุณแม่ไม่ควรปล่อยให้รอหรือหวังว่าจะหายเองนะคะ เพราะความรุนแรงสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและคาดไม่ถึงค่ะ

การวินิจฉัยและแนวทางการรักษาภาวะครรภ์เป็นพิษ
ขั้นตอนการวินิจฉัย:
-
- ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างต่อเนื่อง
- ตรวจหาปริมาณ โปรตีนในปัสสาวะ
- ตรวจเลือด และเช็คการทำงานของตับ ไต เกล็ดเลือด
แนวทางการรักษา:
-
- เฝ้าระวังใกล้ชิดโดยแพทย์
- ให้ ยาลดความดันโลหิต ตามเหมาะสม
- ให้ ยาป้องกันชัก กรณีรุนแรง
- รับการรักษาในโรงพยาบาลหากจำเป็น
- พิจารณาให้คลอด หากมีภาวะรุนแรงหรือทารกอยู่ในอันตราย
หลังคลอด คุณแม่ยังต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 24 ชั่วโมงแรก เพื่อป้องกันการชักหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ
สามารถป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษได้หรือไม่?
ถึงแม้จะป้องกันโดยตรงไม่ได้ทั้งหมด แต่สามารถลดความเสี่ยงได้โดย
- ฝากครรภ์และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
- ควบคุมโรคประจำตัวทั้งความดันโลหิต เบาหวาน และไต
- รับประทานอาหารครบห้าหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารเค็ม จัด
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ในกลุ่มเสี่ยง แพทย์อาจพิจารณา แอสไพรินปริมาณต่ำ ตั้งแต่ก่อน 16 สัปดาห์ (เฉพาะตามคำแนะนำแพทย์)
- ควบคุมน้ำหนัก ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
ภาวะครรภ์เป็นพิษ เป็นภาวะที่ต้องจับตามองเพราะมีอันตรายต่อแม่และลูก หากรู้จักสังเกตอาการ ฝากครรภ์สม่ำเสมอ และรีบปรึกษาแพทย์เมื่อมีสัญญาณผิดปกติ จะช่วยให้คุณแม่ผ่านพ้นช่วงตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ไม่ปล่อยให้เสียงเงียบนี้กลายเป็นภัยร้าย ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่ทุกคนค่ะ!
ภาวะครรภ์เป็นพิษคือภาวะแทรกซ้อนที่คุกคามความปลอดภัยของทั้งแม่และลูก รวมถึงมีหลากหลายอาการให้ต้องจับตา โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายที่อาการรุนแรงมักพบมากขึ้น การฝากครรภ์แต่เนิ่น ๆ ตรวจสุขภาพและสังเกตสัญญาณเตือนคือหัวใจสำคัญต่อการป้องกันและดูแลตัวเอง ขอคุณแม่ใส่ใจไม่ละเลยอาการผิดปกติ และปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อสงสัย เพราะการรักษาอย่างรวดเร็วจะช่วยชีวิตได้ทั้งแม่และลูก
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
แคลเซียม ป้องกันครรภ์เป็นพิษ ได้จริงไหม? คนท้องต้องกินแคลเซียมเท่าไหร่?
7 เคล็ดลับ ลดน้ำตาลในเลือด คนท้อง ให้คุณแม่ตรวจเบาหวานผ่านฉลุย!
ตรวจคัดกรองในไตรมาสที่ 3 ต้องตรวจอะไรบ้าง ดูแลครรภ์อย่างไร
แหล่งอ้างอิง
https://www.bangpakok3.com/care_blog/view/303
https://www.medumore.org/article/warning-signs-preeclampsia-that-mothers-should-aware-of
https://www.medparkhospital.com/disease-and-treatment/preeclampsia
https://www.nakornthon.com/article/detail/สารพันปัญหาภาวะครรภ์เป็นพิษ
https://www.samitivejhospitals.com/th/article/detail/preeclampsia-high-risk-pregnancy
https://www.phyathai.com/th/article/2615-ภาวะครรภ์เป็นพิษ_ควา
https://www.bpksamutprakan.com/care_blog/view/134
https://www.petcharavejhospital.com/en/Article/article_detail/preeclampsia-danger
https://bebornclinic.com/pregnancy-preeclampsia/
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!