เคล็ดลับการเลี้ยงลูกอย่างญี่ปุ่น เลี้ยงยังไงให้เก่ง ฉลาด สุขภาพดี และได้ผลชัวร์!!

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เคล็ดลับการเลี้ยงลูกอย่างญี่ปุ่น เลี้ยงยังไงดี

เคล็ดลับการเลี้ยงลูกอย่างญี่ปุ่น พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูก และฝึกลูกยังไง ให้เป็นเก่ง ฉลาด น่ารัก เติบโตอย่างสมวัย และที่สำคัญต้องมีสุขภาพดีด้วย ซึ่งทางวารสารทางการแพทย์ The Lancet ได้เปิดเผยว่า เด็กญี่ปุ่นมีโอกาสที่จะมีชีวิตยืนยาวและสุขภาพดีที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับเด็กจากประเทศอื่นด้วยน่ะ แล้วพ่อแม่ต้องทำยังไงบ้าง มาดูกันเลยค่ะ

1. มีความสุขบนโต๊ะอาหาร

แม่ๆ คงจะเคยรูปกล่องอาหารญี่ปุ่น ที่เหล่าแม่บ้านมักจะใส่ไอเดียลงในจานข้าวของลูกน้อย ไม่ว่าจะมีสีสันที่สดใส ภาพการ์ตูนที่น่ารัก เด็กๆ ชื่นชอบ แถมยังอุดมไปด้วยประโยชน์อีกมากมาย แน่นอนว่าการกินอาหารดีๆ ที่ถูกปากถูกใจเด็กนั้น จะทำให้เด็กๆ อยากกินอาหารขยะน้อยลง ทำให้ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมากมาย ทั้งโรคอ้วน โรคเบาหวานเด็ก หรือโรคอื่นๆ ตามมา

แม่ๆ หลายคนคงบ่นว่า ไม่มีเวลาทำให้ลูกขนาดนั้น แถมมยังไม่ถนัดด้วย จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องทำเป็นภาพการ์ตูนที่น่ารัก แต่แค่คุณแม่เลือกวัตถุดิบมาประกอบอาหารให้มีหลายสีสัน จัดจานให้สวยงามขึ้นอีกหน่อย ทำอาหารที่ทำจากพืชผัก ธัญพืชให้มากขึ้น และลดการกินอาหารแปรรูป รวมถึงไม่ทำอาหารที่มีรสหวานจัดและเค็มให้น้อยลง แค่นี้สุขภาพของลูกน้อยก็จะดีเอง

2. ปล่อยให้กินขนมบ้าง

ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องของขนมและของหวานอร่อยๆมากมาย แต่เด็กๆที่นั่นกลับไม่มีปัญหาเรื่องอยากกินขนมมากกว่ากินข้าว ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า พ่อแม่ยอมให้เด็กๆ ได้กินขนมและของหวานบ้างเป็นบางโอกาสในปริมาณที่เหมาะสม จะไม่เข้มงวดมากเกินไป ทำให้ลูกๆ สามารถกินข้าวได้ได้เต็มที่ ไม่มีปัญหาเรื่องลูกไม่กินข้าว

เคล็ดลับการเลี้ยงลูกอย่างญี่ปุ่น

3. ลองอาหารที่หลากหลาก

ความชอบหรือไม่ชอบอาหารของเด็กๆ นั้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ซึ่งพ่อแม่สามารถปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีให้เด็กๆ ได้ด้วยการให้พวกเขาได้เห็นตัวเลือกที่หลากหลาย ยิ่งถ้าเด็กได้เห็นหรือชิมอาหารใหม่ๆ ที่หลากหลายและดีต่อสุขภาพมากเท่าไหร่ เขาก็จะได้กินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น

แต่ไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าเด็กๆ จะส่ายหัวดิกเมื่อคุณชวนเขากินอาหารเมนูใหม่ๆ เป็นครั้งแรก เพราะเด็กๆ ต้องได้เห็นหรือชิมอาหารใหม่ๆ อย่างน้อย 12 ครั้งเขาถึงบอกได้ว่าชอบมันไหม คุณจึงไม่ควรยอมแพ้เมื่อลูกปฏิเสธไม่ยอมกินตั้งแต่ครั้งแรก แต่ควรชวนเขาอยู่เรื่อยๆ ต่อให้เป็นคำเล็กๆก็ตามทีโดยไม่กดดัน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

4. เสิร์ฟอาหารแบบคนญี่ปุ่น

การกินอาหารนอกบ้านอาจทำให้เรากินอาหารมากเกินไปได้ เพราะปริมาณอาหารที่เสิร์ฟมานั้นเกินความต้องการของร่างกายไปมาก ดังนั้นเมื่อทำอาหารกินเองที่บ้าน ลองหันมาปรับปริมาณการกินให้เป็นปกติกันดีกว่าด้วยวิธีง่ายๆ คือเสิร์ฟอาหารในจานที่เล็กลงแบบที่คนญี่ปุ่นกินกัน นั่นคือใช้จานขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4-6 นิ้วกับชามเส้นผ่านศูนย์กลาง 3 นิ้ว ซึ่งมีความจุประมาณ 100-200 มิลลิลิตรแทน

5. ให้เด็กได้ออกแรงอย่างเต็มที่

จริงอยู่ที่การบอกให้เด็กๆ ยอมวางแท็บเบล็ตนั้นเป็นเรื่องยาก แต่เด็กๆ จำเป็นต้องได้ทำกิจกรรมที่ออกแรงพอประมาณอย่างน้อย 60 นาทีต่อวัน กุญแจสำคัญคือการทำให้มันเป็นเรื่องสนุก เช่น การชวนลูกเดินเล่นในหมู่บ้านแล้วแข่งกันว่าระหว่างที่เดินใครจะเจอดอกไม้สีขาวมากกว่ากัน หรือการปล่อยให้ลูกเล่นแบบฟรีเพลย์ในสนามเด็กเล่น ซึ่งเด็กญี่ปุ่นนั้นเดินหรือขี่จักรยานไปโรงเรียนในอัตราที่สูงมาก จึงทำให้พวกเขาได้ออกแรงและมีความเสี่ยงต่ำต่อการเป็นโรคอ้วน

เด็กๆ ถูกออกแบบมาให้วิ่ง กระโดด เคลื่อนไหว และเมื่อพวกเขาได้ทำทุกสิ่งที่ว่ามาแล้ว พวกเขาจะเรียนได้ดี มีความสุขและมีสมาธิมากขึ้น ซึ่งนิสัยนี้จะส่งผลให้พวกเขามีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีต่อไป

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เลี้ยงลูกอย่างญี่ปุ่น

6. พ่อแม่ลูกทำกิจกรรมร่วมกัน

ปลูกฝังการกินอยู่ที่ดีต่อสุขภาพให้ลูกตั้งแต่เล็กๆ ด้วยการทำอาหารมื้ออร่อยและดีต่อสุขภาพให้เด็กๆ เห็นเป็นตัวอย่างแทนที่จะกินอาหารนอกบ้านหรือสั่งอาหารมากินเป็นประจำ จากนั้นก็กินอาหารร่วมกันทั้งครอบครัวเพราะการชักชวนที่เป็นบวกของพ่อแม่ระหว่างการกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันนั้นช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนในเด็กได้ และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรชวนเด็กๆ ให้ช่วยทำอาหารด้วยเพราะเขาจะสนุกและอยากชิมฝีมือของตัวเอง

7. วางกฎระเบียบให้ลูก

พ่อแม่บางคนอึดอัดใจที่จะต้องใช้อำนาจกับลูก แต่เมื่อเป็นเรื่องการกินและการปลูกฝังนิสัยแล้ว พ่อแม่ญี่ปุ่นไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจเหนือลูกๆ (แต่ไม่ใช่ในแบบเผด็จการ) โดยวางกฏเกณฑ์หรือแนวทางที่ลูกควรทำตามโดยไม่ตอกย้ำคำว่า เพราะแม่/พ่อบอกให้ทำ นั่นจะทำให้เด็กๆ ไม่เชื่อใจพ่อแม่ได้ ในทางกลับกัน พวกเขาเลือกที่จะอธิบายว่าทำไมเด็กๆ ถึงควรทำเช่นนั้น เพื่อเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้พวกเขาโตขึ้นมาพร้อมกับการเปิดรับรสชาติ ความชอบ และปลูกฝังนิสัยที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตที่ยืนยาวและมีสุขภาพดีมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้ก็ตาม

ที่มา: hellomagazinethailand

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ:

แจกตารางอาหาร สำหรับทารกแรกเกิด – 5 ขวบ ลูกน้อยควรกินเท่าไหร่ใน 1 วัน

แม่รู้ไหม โรคกระเพาะอาหารอักเสบ เด็กๆ ก็เป็นได้

อาหารเด็ก6เดือน ตัวอย่างอาหารตามวัย ลูก6เดือนแล้วให้กินอะไรดี

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความโดย

Khunsiri