เรียกได้ว่าเป็นคำถามที่คุณแม่หลังคลอดหลายคนสงสัยว่า หลังคลอดลูกแล้ว น้ำคาวปลาหมดตอนไหน กี่วัน น้ำคาวปลา ถึงจะหมด แล้วน้ำคาวปลาสีแบบไหนถึงจะเรียกว่าผิดปกติ วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับน้ำคาวปลามาแม่ ๆ แล้ว ไปดูกันเลย
น้ำคาวปลาคืออะไร?
หลังคลอด คุณแม่จะมีของเหลวที่เรียกว่า น้ำคาวปลา ไหลออกมาจากช่องคลอด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติค่ะ
น้ำคาวปลาคือเลือดปนน้ำเหลืองที่ประกอบไปด้วยเลือด น้ำคร่ำ และสิ่งที่ค้างอยู่ในโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมา โดยเป็นสิ่งที่ถูกขับออกมาจากแผลในมดลูก บริเวณที่รกเคยเกาะอยู่ค่ะ
ลักษณะของน้ำคาวปลา
- ปริมาณ: โดยทั่วไปคุณแม่ที่คลอดธรรมชาติจะมีน้ำคาวปลาออกมามากกว่าคุณแม่ที่ผ่าคลอด เพราะคุณหมอจะทำความสะอาดมดลูกหลังการผ่าตัด
- กลิ่น: ปกติน้ำคาวปลาจะมีกลิ่นคล้ายประจำเดือน หรือไม่มีกลิ่นเหม็น
บทความที่เกี่ยวข้อง : น้ำคาวปลาที่มีลักษณะผิดปกติเป็นอย่างไร?
น้ำคาวปลากี่วันถึงจะหมด น้ำคาวปลาหมดตอนไหน
ตลอดระยะเวลาที่แม่ท้องมีน้ำคาวปลาออกมา น้ําคาวปลาจะมีปริมาณทั้งหมดประมาณ 200-500 มิลลิลิตร และปริมาณน้ำคาวปลาจะค่อย ๆ ลดลง และหมดไป เมื่อแผลในโพรงมดลูกซ่อมแซมปิดสนิท โดยทั่วไปจะใช้เวลา 3-4 สัปดาห์หลังคลอด น้ำคาวปลาก็จะหมดไป แต่ยังมีแม่ท้องบางรายที่อาจมีน้ำคาวปลานานไปถึง 6 สัปดาห์หลังคลอด
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ได้อธิบายถึงระยะปกติของ “น้ำคาวปลา” แบ่งออกเป็น 3 ระยะ
- น้ำคาวปลาแดง (lochia rubra) มีลักษณะสีแดงช้ำ ๆ คล้ำ ๆ เพราะประกอบด้วยเลือด เมือก และเศษรก โดยออกมาตั้งแต่วันแรกหลังคลอดแล้วออกอยู่นาน 3-5 วัน
- น้ำคาวปลาเหลืองใส (lochia serosa) ที่ออกต่อจากน้ำคาวปลาแดงไปจนถึงประมาณวันที่ 10 หลังคลอด โดยจะเริ่มจางลงและมีการเปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลหรือชมพูแล้วค่อย ๆ กลายเป็นเหลืองใส
- น้ำคาวปลาขาว (lochia alba) ออกต่อจากน้ำคาวปลาเหลืองใสไปอีกจนถึง 6 สัปดาห์หลังคลอด จะมีสีเหลืองขุ่นจนออกไปทางขาว และปริมาณน้ำคาวปลาจะค่อย ๆ ลดลงจนแห้งสนิท
ทีนี้ในระหว่างที่คุณแม่มีน้ำคาวปลาไหลออกก็สามารถใส่ผ้าอนามัยเหมือนยามช่วงที่ประจำเดือนมา โดยหมั่นเปลี่ยนบ่อย ๆ เพื่อจะได้ไม่อับชื้น สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ แต่ไม่ควรแช่น้ำ หรือว่ายน้ำในช่วงที่มีน้ำคาวปลาออก เพราะอาจทำให้มีน้ำเข้าไปโพรงมดลูก และเกิดการติดเชื้อ
บทความที่เกี่ยวข้อง : 10 ข้อควรรู้ก่อนใช้ ผ้าอนามัย เพื่อสุขภาพจุดซ่อนเร้นที่ดีของผู้หญิง
สัญญาณที่ควรระวัง
แม้จะเป็นเรื่องปกติ แต่คุณแม่ควรสังเกตน้ำคาวปลาอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ:
- น้ำคาวปลามีกลิ่นเหม็น
- น้ำคาวปลามีสีแดงเข้มขึ้น
- มีไข้
- ปวดท้อง
น้ำคาวปลาที่ผิดปกติอาจเป็นอันตรายได้ ดังนั้นการสังเกตและปรึกษาแพทย์เมื่อมีข้อสงสัยจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ
ยาขับน้ำคาวปลา ควรกินไหม
รศ.พญ.สายฝน ชวาลไพบูลย์ ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงการดื่มยาดอง หรือยาขับน้ำคาวปลาหลังคลอดไว้ว่า มีคนจำนวนมากเชื่อกันว่า น้ำคาวปลา คือ ของเสียที่ต้องขับออกมาให้มาก ๆ ทำให้มีแม่หลังคลอดหลายคน เกิดอาการตกเลือดจากการกินยาขับน้ำคาวปลา บางรายถึงกับหมดสติ ต้องให้เลือดช่วยชีวิตกันเลยทีเดียว
เพราะฉะนั้น ไม่ควรที่จะไปพยายามขับน้ำคาวปลาให้ออกมาเยอะ ๆ เพราะนอกจากจะเสียเลือดเพิ่มโดยไม่จำเป็นแล้ว บรรดายาขับน้ำคาวปลา หรือยาดองทั้งหลาย มักมีแอลกอฮอล์ผสม ซึ่งจะผ่านออกมาในน้ำนมได้ เมื่อลูกดูดนมแม่ก็จะส่งผลเสียต่อลูกน้อยอีกด้วย
วิธีขับน้ำคาวปลาหลังคลอด
- ให้นมลูกอย่างสม่ำเสมอ พยายามให้นมบุตรทันทีหลังคลอด และให้บ่อยครั้งเท่าที่ทารกต้องการค่ะ
- นวดคลึงหน้าท้องเบา ๆใช้ฝ่ามือนวดวนเบาๆ เป็นวงกลมจากด้านบนลงล่าง หรือใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ หลังคลอด หรือเมื่อคุณแม่รู้สึกว่ามดลูกยังนิ่มอยู่ ทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ โดยเฉพาะช่วงที่พักผ่อนอยู่
- ประคบสมุนไพร/กระเป๋าน้ำร้อน ช่วยบรรเทาอาการปวดเกร็ง และส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต ซึ่งอาจช่วยในการขับน้ำคาวปลา อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลก่อนทำเสมอ
- เดินและเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเหมาะสม เริ่มลุกเดินช้าๆ ตั้งแต่ช่วงแรกหลังคลอดเท่าที่ร่างกายไหว ไม่หักโหมจนเกินไป
- เข้าห้องน้ำปัสสาวะสม่ำเสมอ พยายามเข้าห้องน้ำปัสสาวะทุก 2-3 ชั่วโมง แม้จะยังไม่รู้สึกปวดก็ตาม
- พักผ่อนให้เพียงพอ หาโอกาสพักผ่อนงีบหลับเมื่อทารกหลับ และขอความช่วยเหลือจากคนในครอบครัวเพื่อช่วยดูแลทารกบ้าง
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นอาหารที่มีโปรตีนสูง วิตามิน แร่ธาตุ และดื่มน้ำให้เพียงพอ
ข้อควรระวัง ห้าม! สวนยา หรือสอดใส่อะไรในช่องคลอด ช่วงหลังคลอดปากมดลูกจะยังเปิดอยู่ การสวนยาหรือสอดใส่อะไรก็ตามเข้าไปในช่องคลอด อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในโพรงมดลูกได้
น้ำคาวปลาหมดประจำเดือนมาเลยไหม
ประจำเดือนไม่จำเป็นต้องมาทันทีหลังจากน้ำคาวปลาหมดค่ะ ช่วงเวลาที่ประจำเดือนหลังคลอดจะกลับมาอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย โดยเฉพาะคุณแม่ให้นมบุตร
- คุณแม่ที่ให้นมบุตรอย่างเดียว: โดยส่วนใหญ่ประจำเดือนมักจะยังไม่มาตราบใดที่คุณแม่ยังให้นมบุตรอย่างสม่ำเสมอและเต็มที่ เพราะการให้นมบุตรจะไปยับยั้งการตกไข่ ซึ่งอาจทำให้ประจำเดือนไม่มานานหลายเดือน หรือจนกว่าจะเริ่มลดปริมาณการให้นมลงค่ะ อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะคุมกำเนิดได้ 100% การตกไข่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนประจำเดือนจะกลับมาค่ะ
- คุณแม่ที่ไม่ได้ให้นมบุตร หรือให้นมบุตรร่วมกับให้ลูกกินนมชง: ประจำเดือนมักจะกลับมาเร็วกว่า โดยเฉลี่ยประมาณ 4-8 สัปดาห์หลังคลอดค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
คุณรู้ไหม 24 ชั่วโมงแรงหลังคลอดที่โรงพยาบาล ทารกต้องเจอกับอะไรบ้าง
แผลฝีเย็บหลังคลอด ทำอย่างไรให้หายเร็ว ไม่ฉีก ไม่ติดเชื้อ
ยาขับน้ำคาวปลา หลังคลอด ยาสตรีหลังคลอดกินขับน้ำคาวปลาแทนการอยู่ไฟได้ไหม
ที่มา : mediqueandobyaf.wordpress, mamastory