ทำไงดี ? อยากให้ลูกเป็นดารา แต่ตัวเราเองก็คงไม่ใช่ คงไม่เส้นสายที่ไหนที่จะฝากลูกเข้าวงการได้แน่ แต่อย่าเพิ่งคิดไกลไป ถามลูกก่อนว่าลูกอยากเป็นไหม หากมั่นใจแล้วจึงค่อยหาทางช่วยฝึกลูก ทำอย่างมีขั้นตอน และใจเย็น ๆ คอยให้กำลังใจลูกเสมอ หากใครอยากให้ลูกไปเป็นดารานักแสดง ต้องอ่านบทความนี้
อยากให้ลูกเป็นดารา ต้องมั่นใจแล้วจริง ๆ
ผู้ปกครองต้องย้อนถามตัวเองหากความต้องการนั้นมาจากตัวของผู้ปกครอง ว่าทำไมจึงอยากให้เป็นโดยให้ตัดเหตุผลเรื่องเงินออกไปก่อน เพราะดาราหลายคนที่มีลูก ก็ไม่อยากให้ลูกเข้าวงการด้วยเหตุผลที่น่าสนใจ เช่น กลัวลูกจะกดดันมากเกินไปเมื่อเป็นคนสาธารณะ, เวลาพักผ่อนน้อยกว่าคนทั่วไป หรือความปลอดภัยรอบตัวของลูกหากมีชื่อเสียง เป็นต้น นอกจากนี้อย่าลืมที่จะถามลูกรักว่าอยากเป็นหรือไม่ด้วย หากลูกไม่ได้ถนัดด้านนี้ ไม่ได้สนใจ ก็ไม่ควรไปบังคับลูกเช่นกัน
ในทางตรงกันข้ามหากลูกรักเป็นคนที่แสดงความต้องการของตนเองออกมาเลย ว่าอยากเป็นดารา ผู้ปกครองต้องคุยกับลูกก่อนว่าเป็นอาชีพที่ได้เงินเยอะก็จริง แต่แลกมากับความกดดัน เมื่อมีชื่อเสียง มีคนจำได้ ก็อาจใช้ชีวิตแบบคนทั่วไปได้ลำบากมากขึ้น หากลูกมีความเข้าใจจริง หน้าที่ต่อไปของผู้ปกครอง คือ ช่วยให้ลูกไปถึงฝั่งฝัน
บทความที่เกี่ยวข้อง : อยากให้ลูกเป็นหมอ พ่อแม่อย่าพลาดลืมทำ 6 ข้อนี้เด็ดขาด !
วิดีโอจาก : ครูลูกแก้ว Channel
6 ข้อควรทำ หากอยากดันให้ลูกเป็นดารา
เรามีข้อแนะนำพื้นฐานสำหรับฝึกลูกให้เหมาะกับการเป็นดาราตั้งแต่เด็ก ที่สามารถนำไปใช้กันได้ แต่ต้องมั่นใจก่อนว่ามีการพูดคุยกันอย่างจริงจังแล้วว่า เป็นอาชีพที่ลูกอยากเป็นจริง ๆ เพราะการฝึก และการเรียนการแสดง อาจส่งผลต่อลูกรักได้ไม่น้อยเลย
1. เรียนการแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย
ไม่ใช่แค่หน้าตาอย่างเดียวที่จะช่วยให้ลูกเข้าวงการบันเทิงได้ ปัจจุบันก็ต้องใช้ความสามารถในการแสดงเป็นสำคัญด้วย เราคงเห็นกันมาบ่อยที่นักแสดงหน้าตาดี แต่ไม่นานก็หายไปจากจอ เพราะแสดงแข็ง สื่ออารมณ์ไม่ค่อยได้ ผู้ปกครองคงไม่อยากให้ลูกเป็นแบบนั้น หากฝึกกับครูที่เป็นมืออาชีพในด้านนี้ตั้งแต่ยังเด็ก จะช่วยให้ลูกสามารถเรียนพื้นฐานที่จำเป็น และปรับตัวได้ไวมากขึ้นกว่าการหันมาฝึกเมื่อโตแล้ว หากมั่นใจว่าลูกอยากเป็นดาราจริง ๆ ก็ควรเริ่มเรียน เริ่มฝึกไปเลยตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ
2. กิจกรรมเสริมเพื่อฝึกการแสดง
แม้จะอยู่ที่บ้านก็ช่วยลูกฝึกการแสดงได้ แม้ผู้ปกครองจะไม่ได้เป็นดารานักแสดงมาก่อน เพราะเป้าหมาย คือ ช่วยลูกฝึกนั่นเอง เป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ทั้งครอบครัว ได้ทั้งความสนุก และเป็นการใช้เวลาร่วมกันด้วย นั่นคือ การรับบทบาทต่าง ๆ สมมุติเรื่องราวขึ้นมา ให้ลูกรับบทเป็นตัวนำ การเล่นบทบาทสมมุติเป็นวิธีการฝึกการแสดงที่ดี หากเพิ่มความจริงจังขึ้นมา จะยิ่งทำให้การฝึกเข้มข้นขึ้น เช่น การมีบทพูด ทำให้ลูกต้องฝึกท่องบท จดจำบท การฝึกแบบนี้บ่อย ๆ จะทำให้ลูกชินกับการใช้ความจำ ซึ่งสำคัญมากสำหรับการเป็นนักแสดง
3. หาเอกลักษณ์ของลูกให้เจอ
การหาว่าลูกมีเอกลักษณ์ในด้านไหนของการแสดงเป็นสิ่งที่สามารถนำไปเสนอผู้อื่นได้ดี เราต้องยอมรับว่าหากนักแสดงมีเอกลักษณ์ให้พูดถึงจะเป็นที่น่าสนใจกว่ามาก เช่น ลูกสามารถเรียกเสียงหัวเราะเป็นคนตลกโดยธรรมชาติ หรือสามารถเรียกน้ำตาได้เอง ไปจนถึงความจำเป็นเลิศใช้เวลาในการท่องจำบทไม่นาน เป็นต้น
4. เตรียม Resume พร้อมรูปถ่ายให้ครบ
การทำแฟ้มสะสมผลงาน และข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับลูก จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำไปยื่นให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการพิจารณา ใน Resume ควรมีชื่อนามสกุล อายุ น้ำหนัก และส่วนสูง รวมไปถึงกิจกรรมโปรดของลูก หากเคยทำกิจกรรม หรือการแสดงก็ให้แนบภาพ หรือลิงก์วิดีโอไปด้วย และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ภาพถ่ายในท่าทางต่าง ๆ ในชุดหลากหลายรูปแบบของลูก เพื่อให้ผู้พิจารณาเห็นภาพการแสดงของลูกด้วย อย่าลืมช่องทางในการติดต่อเพื่อไม่ให้พลาดงาน หากลูกรักไปโดนตาโดนใจใครเข้าให้แล้ว
แต่ข้อควรระวัง คือ ไม่ควรใส่ที่อยู่ส่วนตัวเข้าไปใน Resume ของลูก เพราะปัจจุบันมิจฉาชีพมาในหลายรูปแบบ ลำพังเพียงเบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมลที่ใส่ไป ก็เป็นการเสียข้อมูลมากพอแล้ว การใส่ที่อยู่เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเมื่อ Resume ถูกพบเห็นโดยผู้ไม่หวังดี อาจส่งผลเสียได้
5. หาผู้ดูแลมืออาชีพ หรือเอเจนซี
การหาเอเจนซีเป็นการหาผู้ดูแลมืออาชีพ ที่จะเป็นสะพานสำคัญในการนำลูกของเราเข้าสู่วงการบันเทิง จากการนำไปเสนอตามงานต่าง ๆ แต่แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ยื่นเข้าไปแล้วจะถูกตอบรับ เอเจนซีก็ต้องเลือกเด็กที่มีความเหมาะสมเพื่อเข้าสังกัดตนเอง ซึ่งโดยปกติแล้วจะคัดเลือกผ่านการออดิชั่นนั่นเอง แน่นอนว่าถ้าลูกรักไม่ได้ฝึกอะไรมาเลย ก็คงยากที่จะผ่าน นอกจากนี้การออดิชั่นโดยปกติส่วนมากจะไม่เรียกเก็บเงิน หากมีการเรียกเก็บเงินมีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นมิจฉาชีพ
ดังนั้นก่อนตัดสินใจพาลูกไปออดิชั่นหากมีการเรียกเก็บเงิน ให้ทำการตรวจสอบข้อมูลที่มาของเอเจนซีก่อนว่ามาจากไหน มีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน แต่ให้ผู้ปกครองตั้งแง่ไว้ก่อนเลยว่าโดยทั่วไป เอเจนซีจะได้รายได้เป็นส่วนแบ่งจากผู้จัด เมื่อเด็กในสังกัดได้งานแล้วเท่านั้น
6. ตกลงว่าใครจะติดตามลูก
เป็นสิ่งที่ต้องคุยกันแต่เนิ่น ๆ เรื่องนี้เป็นการเตรียมตัวของผู้ปกครอง เพราะหากลูกได้เข้าวงการจริง คงเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้ลูกไปออกงานต่าง ๆ ด้วยตัวคนเดียว แม้อาจจะมีคนดูแล แต่เด็กเล็กมักจะไว้ใจคนใกล้ตัว หรือพ่อแม่มากที่สุด จึงต้องตกลงกันให้ดีว่าใครจะเป็นคนที่คอยอยู่กับลูกตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ลูกเกิดความกังวล ในขณะที่รอบตัวมีแต่คนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคย
การแข่งขันที่สูงอาจไม่ได้ดั่งฝันเสมอไป
ไม่ใช่เด็กเพียง 30 – 40 คนในประเทศที่อยากโตขึ้นไปเป็นดารา มีเด็กจำนวนมากที่กำลังแข่งขันกัน แต่อาจมีจำนวนไม่กี่คนต่อปีที่จะได้เป็นนักแสดงเด็กหน้าใหม่ อย่างที่เราได้เห็นกันตามจอทีวี เด็กบางคนก็อาจหายไปจากจอหลังจากเห็นผลงานได้ไม่นานด้วย ดังนั้นด้วยการแข่งขันที่สูง การทำใจไว้บ้างเป็นสิ่งที่ต้องทำ ผู้ปกครองต้องพูดคุยกับลูกในเรื่องนี้บ้าง รวมไปถึงคอยให้กำลังใจลูกไม่ว่าลูกจะประสบความสำเร็จหรือไม่
ดาราเป็นอาชีพในฝันสำหรับเด็กหลายคน แต่อย่าลืมให้ลูกรักได้รับรู้ถึงความสำคัญในด้านอื่น ๆ ที่มีผลกับชีวิตทั้งการศึกษา ครอบครัว และการหาความสุขให้กับตนเองบ้างเมื่อถึงเวลา
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
อยากให้ลูกมีลักยิ้ม มีวิธีทำแบบไหนได้บ้าง ปลอดภัยไหม ?
อยากให้ลูกผมตรง มีวิธีไหนบ้าง เด็กยืดผมได้ไหม ?
อยากให้ลูกสูง 180 เป็นไปได้ไหมถ้าพ่อแม่ไม่สูง พร้อมสูตรทำนายส่วนสูงลูก
ที่มา : babygaga, parentsone