หลายคนตั้งตารอที่จะรู้ว่าลูกน้อยในท้องจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิง และมีหลายวิธีที่คนมักจะใช้ในการคาดเดา เพศลูกในท้อง เช่น การสังเกตอาการแพ้ท้อง รูปร่างของท้อง หรือแม้แต่ความฝัน แต่สิ่งเหล่านี้จะเป็นเพียงความเชื่อที่ผู้เฒ่าผู้แก่ มักจะบอกเล่าต่อๆ กันมา ไม่ได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าถูกต้อง แต่วิธีที่แม่นยำที่สุดในการทราบเพศของลูก คือ การตรวจอัลตร้าซาวด์จะดีที่สุด การคาดเดาแบบนี้ถือเป็นการเล่นสนุกๆ ก่อนที่จะรู้ผลจริงๆ กันนะคะ
10 สัญญาณบอกเพศลูกในท้อง
การคาดเดา เพศลูกในท้อง เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและลุ้นไปด้วยกับคุณพ่อคุณแม่เลยค่ะ หลายๆ คนจะรอให้คลอดและมารู้ผลทีเดียว แต่บางครอบครัวก็คาดเดาและสังเกตจากอาการต่างๆ ของแม่ท้องกันเลยทีเดียว จะมีสัญญาณอะไรกันบ้าง มาดูกัน
1. อาการแพ้ท้อง
คุณแม่ที่เคยมีประสบการณ์ผ่านการตั้งครรภ์มาแล้วมักบอกว่า ถ้ามีอาการแพ้ท้องรุนแรงมาก และแพ้ท้องในช่วงไตรมาสแรกหรือ 1-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ มีแนวโน้มที่จะได้ลูกสาว แต่ถ้าคุณแม่แพ้ท้องเบา ๆ หรือไม่มีอาการแพ้ท้องระหว่างตั้งครรภ์เลย ก็อาจะเป็นไปได้ว่าคุณแม่กำลังจะได้ลูกชาย
2. อารมณ์แปรปรวน
การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์ มักจะทำให้คนท้องอารมณ์แปรปรวนได้ง่าย เริ่มแรกเลยก็คือ มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่สูงขึ้นมากกว่าปกติ บางคนจึงเชื่อว่า คุณแม่ที่ตั้งท้องลูกสาว จะมีอารมณ์เหวี่ยงวีน โมโห และหงุดหงิดง่าย มากกว่าท้องลูกชาย
3. ขนาดหน้าอก
เชื่อกันว่าคนท้องที่หน้าอกใหญ่ เต่งตึง และมีขนาดใหญ่ขึ้นมากกว่าเดิม คุณแม่มีความป็นไปได้สูงที่จะได้ลูกสาว แต่หากหน้าอกดูไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ก็อาจจะได้ลูกผู้ชาย สังเกตง่าย ๆ ถ้าแม่อกเล็กตอนท้อง ก็เป็นไปได้ว่ากำลังอุ้มท้องลูกชายอยู่นั่นเองค่ะ
4. ลักษณะของท้อง
ลักษณะท้องก็สามารถบอก เพศลูกในท้อง คนสมัยก่อนเชื่อว่า ถ้าคุณแม่ท้องกลม ป้าน คล้ายกับอุ้มลูกแตงโม รวมถึงเวลาลูกดิ้นจะรู้สึกเจ็บซี่โครง สันนิษฐานว่า ลูกในท้องอาจจะเป็นเพศหญิง แต่ถ้าคุณแม่มีท้องลักษณะแหลมยื่นออกมา หรือห้อยลงจนเห็นได้ชัด คล้ายคนกำลังอุ้มลูกบาส แถมเวลาลูกดิ้น ยังรู้สึกเจ็บแถวกระเพาะปัสสาวะบ่อย ๆ เชื่อกันว่าจะได้ลูกชายอย่างแน่นอนค่ะ
5. อยากกินแต่ของหวาน
มีความเชื่อว่าการกินอาหารของแม่ท้องอาจมีความเชื่อมโยง สามารถบอกเพศของลูกได้ เชื่อกันว่าคุณแม่ที่ชอบทานของหวาน หิวบ่อยหรือกินอาหารเยอะมักจะได้ลูกสาว ส่วนคุณแม่ที่ชอบรสชาติเค็มหรือกินอาหารน้อยก็มักจะได้ลูกชาย
6. ผิวพรรณ หน้าตา เล็บและผม
คนโบราณเชื่อว่าถ้าคุณแม่มีผิวพรรณ หน้าตาที่ดูสดใส ไม่หมองคล้ำ ชอบแต่งตัว ดูแลตัวเองให้มีความสวยงามอยู่เสมอ อีกทั้งมีผมและเล็บยาวเร็วขณะตั้งครรภ์ ก็จะสันนิษฐานว่า ลูกในท้องจะเป็นเพศชาย แต่ถ้าคุณแม่ท้องมีหน้าตาที่หมองคล้ำ มีสิวฝ้า ไม่สดใส เหมือนก่อนตั้งครรภ์ มีเส้นผมแห้ง ไม่ชอบแต่งตัว ปล่อยตัวเองให้เป็นแบบธรรมชาติ เชื่อกันว่าจะได้ลูกสาวอย่างแน่นอน
7. สีปัสสาวะ
การคาดเดาจากสีของปัสสาวะ ถ้าคุณแม่มีปัสสาวะสีเหลืองขุ่น ก็สันนิษฐานว่าคุณแม่อาจได้ลูกสาว แต่ถ้าคุณแม่ที่มีปัสสาวะสีเหลืองใส ให้สันนิษฐานว่าคุณแม่อาจได้ลูกชาย แต่ทั้งนี้สีของปัสสาวะก็อาจไม่มีความแม่นยำได้ 100% นะคะ เพราะสีปัสสาวะนั้นอาจเปลี่ยนแปลงไป ขึ้นอยู่กับระดับน้ำในร่างกายและอาหารบางชนิดที่คุณแม่รับประทานในแต่ละวันด้วย
8. อาการของลูกดิ้น
โดยทั่วไปแล้ว คุณแม่ส่วนใหญ่ จะรู้สึกได้ว่าลูกดิ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์ ความเชื่อที่ว่าลูกในครรภ์ที่เป็นเพศหญิงมักจะแข็งแรงกว่าทารกในครรภ์เพศชาย ดังนั้น หากลูกในครรภ์ที่เป็นเพศหญิงจะดิ้นบ่อยกว่าเพศชาย หากคุณแม่มีอาการลูกดิ้นบ่อยๆ แบบนี้ก็พอทำนายได้เลยค่ะว่าท้องนี้ได้ลูกสาว
9. อัตราการเต้นของหัวใจลูก
อัตราการเต้นของหัวใจเด็ก ก็เป็นสัญญาณบอกเพศลูกได้นะคะ ถ้าอัตราการเต้นของหัวใจเด็กในท้องต่ำกว่า 140 ครั้งต่อนาที แสดงว่าลูกในท้องอาจเป็นเพศชาย แต่ถ้ามีอัตราการเต้นของหัวใจเร็วกว่า 140 ครั้งต่อนาทีแล้วล่ะก็ คุณแม่อาจจะได้ลูกเป็นเพศหญิง
10. ความเครียดระหว่างตั้งท้อง
หากช่วงตั้งครรภ์ คุณแม่เครียดมาก อาจเป็นไปได้ว่า ได้ลูกสาว มีการศึกษาพบว่า ผู้หญิงที่มีความเครียด หรือมีระดับคอร์ติซอลในร่างกายสูงตอนตั้งครรภ์ มีเกณฑ์จะได้ลูกสาวมากกว่าลูกชาย
การทำนายเพศลูกในท้อง
นอกจาก 10 สัญญาณ ตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีคำทำนายรูปแบบอื่นๆที่บอก เพศลูกในท้อง กันได้อีก เช่น
ว่ากันว่า ถ้าคุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์หรือตั้งครรภ์มาแล้วระยะหนึ่ง แล้วฝันเห็น “เครื่องประดับ” ไม่ว่าจะได้ใส่หรือได้จับ เป็นไปได้ว่าคุณแม่จะได้ลูกสาว
วิธีการทำนายแบบนี้คือ ให้แม่ท้องอุ้มเด็กเล็กๆ ที่อายุไม่ถึง 1 ขวบยกชูขึ้น ถ้าขาเด็กตกลงมาแตะท้องข้างเดียวทำนายว่า ลูกในท้องเป็นเพศหญิง แต่หากขาเด็กที่อุ้มนั้นตกลงมาแตะท้องทั้งสองข้าง ทำนายว่าได้ลูกชาย
ความเชื่อนี้มักจะให้คุณแม่ห้อยแหวนแต่งงานด้วยด้ายเหนือท้อง แล้วสังเกตการแกว่งของแหวนว่าเป็นวงกลมหรือแกว่งไปมาซ้าย-ขวา หากแหวนแกว่งเป็นวงกลมสันนิษฐานว่าได้ลูกสาว แต่ถ้าหากแหวนแกว่งไปมา ซ้าย-ขวา จะได้ลูกชาย
วิธีการทำนายคือนำตัวเลขอายุของคุณพ่อและคุณแม่มาบวกกัน และนำไปคูณกับ 3 หลังจากได้ผลรวมแล้วนำไปหารด้วย 7 ถ้าเศษของผลรวมทั้งหมดออกมาเป็น 0 หรือหารพอดี ทำนายได้ว่าลูกในท้องเป็นผู้หญิงแน่นอน
อย่างไรก็ตามทุกข้อที่กล่าวมานั้น เป็นเพียงความเชื่อและคำพูดบอกต่อๆ กันมาตั้งแต่โบราณ หากคุณแม่ต้องการทราบเพศลูกที่แน่นอน ต้องไปทำอัลตร้าซาวด์จะแม่นยำที่สุดค่ะ
วิธีตรวจเช็ก เพศลูกในท้อง ได้อย่างแม่นยำ
การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและมีความสุข การลุ้นว่าจะได้ลูกสาวหรือลูกชายก็ยิ่งตื่นเต้นอยากรู้มากขึ้น ด้วยวิวัฒนาการยุคใหม่ เรามีวิธีตรวจเช็กเพศของลูกน้อยได้อย่างแม่นยำ
เป็นการตรวจที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการรู้ เพศลูกในท้อง เป็นเทคนิคการตรวจวินิจฉัยที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงในการสร้างภาพโครงสร้างของอวัยวะภายในร่างกาย รวมถึงทารกในครรภ์ การตรวจอัลตร้าซาวด์โดยทั่วไปจะเป็นอัลตร้าซาวด์แบบ 2 มิติ (2D) ซึ่งภาพที่เห็นจะเป็นภาพเคลื่อนไหวสีขาวดำ แต่ปัจจุบันมีการตรวจแบบ 3 มิติ และ 4 มิติเข้ามา เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจนและเป็นรูปร่างได้มากขึ้น รวมถึงมองเห็นอวัยวะของลูกน้อยได้ รวมถึงสามารถประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการของทารกได้ และสามารถบอกเพศของเพศลูกได้อย่างแม่นยำ 100% โดยทั่วไป แพทย์จะสามารถตรวจเพศของทารกได้อย่างชัดเจนเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 18-20 สัปดาห์ หรือประมาณ 4-5 เดือน
การเจาะน้ำคร่ำ เป็นการนำน้ำคร่ำออกมาตรวจเพื่อวิเคราะห์โครโมโซมของทารก ซึ่งนอกจากจะบอกเพศของทารกได้แล้ว ยังสามารถตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย โดยปกติแล้วการเจาะน้ำคร่ำมักจะแนะนำให้ทำในกรณีที่คุณแม่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีลูกที่เป็นโรคพันธุกรรม เช่น มีประวัติครอบครัวเป็นโรคดาวน์ซินโดรม หรือโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคธาลัสซีเมีย หรือแม่ตั้งครรภ์ตอนอายุมาก (อายุ 35 ปีขึ้นไป)
การตรวจ NIPT เป็นการตรวจเลือดของคุณแม่เพื่อวิเคราะห์ดีเอ็นเอของทารกที่อยู่ในเลือดแม่ สามารถตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิดได้ รวมถึงสามารถบอกเพศของทารกได้ด้วย การตรวจ NIPT สามารถตรวจได้เมื่ออายุครรภ์ 10 – 20 สัปดาห์ ด้วยเทคโนโลยี Whole-Genome Next Generation Sequencing (NGS) ทำให้ผลการตรวจมีความถูกต้องแม่นยำเพิ่มขึ้น และปลอดภัย โดยไม่ส่งผลต่อคุณแม่และทารกในครรภ์
7 คำถามที่พบบ่อยกับการตรวจเพศลูก
1. ตรวจเพศลูกได้ตั้งแต่ตอนไหน?
โดยทั่วไปสามารถตรวจเพศลูกได้ตั้งแต่ประมาณ 18-20 สัปดาห์ แต่บางรายอาจตรวจได้เร็วกว่าหรือช้ากว่าขึ้นอยู่กับขนาดของทารกและตำแหน่งของรก
2. การตรวจอัลตร้าซาวด์ 2D, 3D และ 4D ต่างกันอย่างไร?
-
- 2D เป็นภาพขาวดำ ให้ภาพโครงสร้างของทารก เหมาะสำหรับตรวจเพศ
- 3D ให้ภาพสามมิติของทารก เห็นรายละเอียดใบหน้าและรูปร่างได้ชัดเจน
- 4D เป็นการเคลื่อนไหวของภาพ 3D ทำให้เห็นทารกขยับตัวได้
3. การตรวจ NIPT คืออะไร?
NIPT คือ การตรวจจากเลือดของคุณแม่เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมในทารก และสามารถบอกเพศได้ด้วย
4. การเจาะน้ำคร่ำคืออะไร?
การเจาะน้ำคร่ำ คือ การนำน้ำคร่ำออกมาตรวจ เพื่อวิเคราะห์โครโมโซมและตรวจหาความผิดปกติต่างๆ รวมถึงบอกเพศได้ โดยปกติแพทย์จะทำการเจาะน้ำคร่ำในกรณีที่แม่มีความเสี่ยง เช่นมีประวัติครอบครัวเป็นดาวน์ซินโดรม หรือแม่ที่มีอายุมากระหว่างตั้งครรภ์
5. วิธีการตรวจแบบไหนมีความแม่นยำที่สุด?
การตรวจแบบอัลตร้าซาวด์และ NIPT มีความแม่นยำสูง และปลอดภัย 100% แต่การเจาะน้ำคร่ำจะมีความแม่นยำมากที่สุด แต่มีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้
6. ตรวจเพศลูกได้กี่ครั้ง?
จำนวนการตรวจขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณพ่อคุณแม่และคำแนะนำของแพทย์ โดยทั่วไปตรวจ 1 ครั้งก็เพียงพอแล้ว
7. ค่าใช้จ่ายในการตรวจเพศลูกประมาณเท่าไหร่?
ค่าใช้จ่ายในการตรวจขึ้นอยู่กับวิธีการตรวจ และสถานพยาบาลที่คุณแม่ไปใช้บริการ
แม้ว่าจะมีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับการบอก เพศลูกในท้อง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสุขภาพของทั้งคุณแม่และลูกน้อย การรู้เพศของลูกเป็นเพียงเรื่องรองลงมาค่ะ การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นและมีความสุข ควรใช้เวลาให้เต็มที่กับการดูแลตัวเองและเตรียมพร้อมต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว การรับประทานอาหารที่ดีและการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณแม่มีสุขภาพแข็งแรงและลูกน้อยเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรงค่ะ
ที่มา : Medical NewsToday , Central Inspirer , โรงพยาบาลอินทรารัตน์ , โรงพยาบาลวิชัยเวช , โรงพยาบาลกรุงเทพ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
แม่ท้องต้องรู้ สัญญาณบอกเหตุว่า คุณแม่ใกล้คลอดเต็มทีแล้ว
ท่านอนคนท้อง แบบสบายๆ แต่ละไตรมาส
5 ครีมทาผิวที่แม่ท้องใช้ได้ ครีมทาตัวคนท้อง เลือกแบบไหนให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!