คนท้องกินอะไรลูกฉลาด อาหารเสริมสมองลูก ที่แม่ตั้งครรภ์ห้ามพลาด !

ความฉลาดของลูกน้อยสร้างได้ตั้งแต่ในครรภ์ค่ะ ด้วยการกระตุ้นพัฒนาการของคุรแม่ และโภชนาการที่คุณแม่กินเข้าไปขณะตั้งครรภ์ คนท้องกินอะไรลูกฉลาด มาดูกัน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

อยากมีลูกน้อยที่ฉลาดเฉลียว? เริ่มต้นได้ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์เลยค่ะ โดยเฉพาะโภชนาการแม่ท้อง หรือการกินอาหารที่เหมาะสมของคุณแม่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ลูกน้อยมีพัฒนาการทางสมองที่ดี บทความนี้จะชวนคุณแม่มาเปิดเมนูอาหารที่ช่วยบำรุงสมองลูกน้อย เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแรง ฉลาด และมีพัฒนาการที่ดี คนท้องกินอะไรลูกฉลาด อาหารเสริมสมองลูก ที่แม่ตั้งครรภ์ห้ามพลาด มีอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ

 

ความฉลาดของลูกน้อย เกิดจากอะไร

โดยธรรมชาติแล้วเราทุกคนเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะตัวและถูกหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อมในภายหลัง ซึ่ง “ความฉลาด” หรือ IQ (intelligence quotient) หรือความสามารถทางปัญญา การมีสมองที่ดีและเฉลียวฉลาด เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งความฉลาดของลูกน้อยเกิดขึ้นได้จากปัจจัย 3 ประการ คือ

  1. ปัจจัยด้านพันธุกรรม พ่อแม่ที่เฉลียวฉลาดก็จะถ่ายทอดลักษณะที่ดีนี้มาให้ลูกได้
  2. การดูแลในด้านโภชนาการของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์
  3. การกระตุ้นพัฒนาการหลังคลอดของลูกน้อย เช่น ภาวะแวดล้อมที่มีการให้ความรัก ความอบอุ่น ให้การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย

คนท้องกินอะไรลูกฉลาด สารอาหารที่ช่วยเสริมสมองทารกในครรภ์

เพราะการดูแลด้านโภชนาการของคุณแม่ระหว่างตั้งครรภ์คือหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อความฉลาดของทารกในครรภ์ คนท้องกินอะไรลูกฉลาด การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่เองและของลูกน้อยในครรภ์ จึงจะช่วยส่งเสริมให้ลูกน้อยมีสมองที่ดีและพัฒนาการที่สมบูรณ์และแข็งแรง คนท้องกินอะไรลูกฉลาด มาดูสารอาหารที่ช่วยเสริมสมองทารกในครรภ์กันค่ะ

สารอาหารที่ช่วยเสริมพัฒนาการทางสมองทารกในครรภ์

โอเมก้า 3 เป็นไขมันที่ดีต่อสมอง ช่วยกระตุ้นความจำ บำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพด้านความจำ
โฟเลต / โฟลิก จำเป็นต่อการช่วยสร้างเซลล์สมอง รวมถึงระบบประสาทและไขสันหลังให้ลูกน้อยขณะอยู่ในครรภ์ แม่ท้องควรได้รับโฟเลตวันละ 400-800 ไมโครกรัม กินได้ตั้งแต่เตรียมตั้งท้องไปจนถึงไตรมาสที่ 3
ธาตุเหล็ก ช่วยสร้างฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งใช้ลำเลียงออกซิเจนไปยังอวัยวะในร่างกายแม่ รวมถึงออกซิเจนไปเลี้ยงลูกน้อยในท้อง แม่ขาดธาตุเหล็กเท่ากับลูกขาดออกซิเจน มีความเสี่ยงต่อพัฒนาการล่าช้า ระดับไอคิวไม่สูงเท่าที่ควร โดยคนท้องต้องได้รับธาตุเหล็กวันละ 60-80 มิลลิกรัม
ไอโอดีน จำเป็นต่อการพัฒนาทางสมอง ระบบประสาท และความจำของทารกในครรภ์ หากได้รับไอโอดีนไม่เพียงพออาจส่งผลให้ลูกน้ำหนักตัวน้อย สติปัญญาต่ำ ซึ่งแม่ท้องควรได้รับไอโอดีนวันละ 175-200 ไมโครกรัม
อะเซทิลโคลีน

(Acetylcholine)

ช่วยด้านการทำงานของระบบประสาทให้เชื่อมโยงกับเซลล์สมอง เพื่อให้นำส่งข้อมูลได้รวดเร็ว ทำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ดีขึ้นตามไปด้วย มีบทบาทด้านการเรียนรู้ ความจำ การรับรู้ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ การเต้นของหัวใจ และการนอนหลับ ทั้งยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและไขสันหลังของเด็กทารกด้วย
วิตามินบี 1 จำเป็นมากสำหรับพัฒนาการทางสมองส่วนกลางของทารกในครรภ์ แม่ท้องควรได้รับวิตามินชนิดนี้ 1.5-1.6 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามินบี 2 ช่วยด้านการเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสมองของลูกในท้อง โดยตลอดการตั้งครรภ์คุณแม่ควรได้รับวิตามินบี 2 ประมาณ 1.4 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามินบี 6 ส่งเสริมพัฒนาการของสมองและระบบประสาทของทารก ช่วยลดอาการแพ้ท้องได้ ซึ่งคุณแม่ควรได้รับในปริมาณ 1.9 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามินบี 12 ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง ทั้งยังช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เม็ดเลือดมีขนาดปกติ ไม่ขาดธาตุเหล็ก ทารกเติบโตอย่างปกติ เซลล์สมองได้รับเลือดไปหล่อเลี้ยงอย่างเต็มที่ ซึ่งแม่ท้องควรได้รับวิตามินบี 12 วันละ 2.6 ไมโครกรัม

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

คนท้องกินอะไรลูกฉลาด อาหารเสริมสมองลูก ที่แม่ตั้งครรภ์ห้ามพลาด

โดยปกติแล้วคุณแม่ตั้งครรภ์ควรกินอาหารที่มีโอเมก้า 3 วันละประมาณ 200 มิลลิกรัม ซึ่งได้จากปลาน้ำจืดและอาหารทะเล รวมถึงอาหารประเภทถั่ว เมล็ดทานตะวัน น้ำมันรำข้าว หรือน้ำมันข้าวโพด เพื่อให้ได้รับโอเมก้า 6 และควรกินควบคู่กับอาหารที่มีวิตามินดีและวิตามินอีด้วย มาดูกันค่ะว่า อาหารเสริมสมองลูก ที่แม่ตั้งครรภ์ห้ามพลาด มีอะไรบ้าง คนท้องกินอะไรลูกฉลาด

1. ปลาแซลมอน

น่าจะเป็นของโปรดของคุณแม่หลายคนอยู่แล้ว โดยปลาแซลมอนมีโอเมก้า 3 สูงมาก และยังมีไอโอดีนที่ช่วยกระตุ้นและบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำให้ลูกน้อยในครรภ์ด้วย ซึ่งมีงานวิจัยพบว่าแม่ท้องที่กินปลามากๆ ในช่วง 2 ไตรมาสแรก ทารกจะมีพัฒนาการด้านสติปัญญาสูงมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ควรได้รับกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA วันละไม่น้อยกว่า 300 มิลลิกรัม เพื่อการพัฒนาการที่ดีของเซลล์สมอง ทั้งนี้ คุณแม่อาจกินปลาอื่นทดแทนแซลมอนได้ด้วย เช่น ปลาทู ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาแมคเคอเรล ปลาโอลาย ปลาสลิด โดยแนะนำให้กินเนื้อปลาอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง สลับกับอาหารทะเลอย่างกุ้ง หอย หมึก และกินแบบปรุงสุกทุกเมนูค่ะ

2. ไข่

เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีซึ่งเป็นสารอาหารหลักที่สำคัญต่อการสร้างเซลล์ของลูกน้อยในครรภ์ ชวยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของเซลล์สมอง เพิ่มปริมาณเลือด สร้างน้ำย่อย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน หากได้รับโปรตีนไม่เพียงพออาจทำให้สมองของลูกน้อยมีขนาดเล็กกว่าปกติได้ ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับโปรตีน 600 กรัมต่อวัน นอกจากนี้ในไข่ยังมีโคลีน ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญในการพัฒนาระบบประสาทและความจำด้วยค่ะ

3. ผักใบเขียว

อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและกรดโฟลิกที่จะช่วยป้องกันไม่ให้สมองของลูกน้อยถูกทำลายได้ง่าย ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคปากแหว่งเพดานโหว่ นับเป็นอาหารอีกหนึ่งกลุ่มที่จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาการเรียนรู้ที่ดี โดยผักใบเขียวที่แนะนำสำหรับแม่ท้องที่ต้องการสนร้างความฉลาดให้ลูกน้อยในครรภ์ ได้แก่ ผักโขม บร็อกโคลี คะน้า

4. ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง

ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต และธัญพืชไม่ขัดสี อุดมไปด้วยวิตามินบีรวม ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของระบบประสาทของคุณแม่และลูกน้อย รวมถึงมีสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย ทั้งใยอาหาร โปรตีน วิตามินอี ฟอสฟอรัส และสังกะสี

5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี

ผลไม้ตระกูลเบอร์รี อย่างสตรอเบอร์รี และมัลเบอร์รี มีกรดโฟลิกที่มีส่วนช่วยให้สมองของลูกน้อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น ช่วยเรื่องพัฒนาการที่ดี ทั้งยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และมีวิตามินซี มีส่วนช่วยเรื่องสุขภาพผิวพรรณของคุณแม่ได้ด้วย

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

6. อะโวคาโด

เป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดในตระกูลเบอร์รีที่มีโฟเลตสูง ช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาทและไขสันหลังให้ทารกในครรภ์ คุณแม่ที่มีอายุครรภ์ในไตรมาสที่ 2-3 หากไม่ได้รับโฟเลตอย่างเพียงพออาจส่งผลให้ทารกเกิดความพิการทางสมอง และมีความเสี่ยงต่อการเป็นท่อระบบประสาทผิดปกติได้ นอกจากอโวคาโดแล้ว คุณแม่ท้องอาจได้รับโฟเลตจากหน่อไม้ฝรั่ง กล้วย ผักโขม และฟักทอง ได้ด้วย

7. อัลมอนด์

คืออาหารที่มีไขมันที่ดีต่อสุขภาพ มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง โดยคุณแม่ตั้งครรภ์สามารถกินอัลมอนด์เมล็ดหรือ ดื่มนมอัลมอนด์ทุกวันได้ เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองของลูก

8. ชีส

เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม ซึ่งโดยปกติคุณแม่หลายคนมักคิดว่าชีสเป็นอาหารที่ดูมีประโยชน์น้อยและควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นอาหารที่มีไขมันและโซเดียมสูง อย่างไรก็ตาม การกินชีสในปริมาณที่เหมาะสมสามารถสร้างประโยชน์ต่อการสร้างความฉลาดให้ทารกในครรภ์ได้ เพราะชีสมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด โดยเฉพาะแคลเซียมที่มีมากกว่านมถึงสองเท่า ทั้งยังมีโฟเลต วิตามินเอ วิตามินดี ช่วยให้สมองลูกน้อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วิธีกระตุ้นลูกน้อยให้สมองดีตั้งแต่ในครรภ์

นอกจากโภชนาการที่แม่ท้องต้องใส่ใจ คนท้องกินอะไรลูกฉลาด แล้ว ยังมีวิธีการอื่นๆ ที่คุณแม่สามารถใช้ในการกระตุ้นพัฒนาการของสมองลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้ง่ายๆ แบบไม่สิ้นเปลือง และไม่เป็นอันตราย ดังนี้

  • ปรับอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ

คุณแม่ที่มีอารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอร่างกายจะมีการหลั่ง สารเอนดอร์ฟิน (endorphin) หรือสารแห่งความสุข ออกมา ผ่านสายสะดือไปยังลูกในครรภ์ ทำให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) แต่ถ้าคุณแม่ที่หงุดหงิด โมโหง่าย ร่างกายจะหลั่งสารแห่งความเครียด หรือ อะดรีนาลิน (adrenalin) ออกมา ทำให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็กงอแง เลี้ยงยาก หรือพัฒนาการช้าได้ค่ะ

  • ฟังเพลงที่ชอบ

เมื่อมีอายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน ระบบประสาทการรับฟังของลูกน้อยในครรภ์จะเริ่มทำงานค่ะ การใช้เสียงเพลงจะช่วยกระตุ้นให้เครือข่ายใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวกับการได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น โดยควรเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต ด้วยเสียงดังพอประมาณ คลื่นเสียงจากเพลงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินมีการพัฒนาการทำงานได้เร็วขึ้น เมื่อคลอดออกมา ลูกจะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี

  • พูดคุยกับลูกให้บ่อย

การพูดคุยกับลูกในท้องบ่อยๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ประโยคซ้ำๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินของลูกมีพัฒนาการที่ดี พร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด

  • ลูบหน้าท้องเบาๆ

การลูบท้องเป็นวงกลม จากบนลงล่าง หรือจากล่างขึ้นบน จะช่วยกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการที่ดี

  • ส่องไฟที่หน้าท้อง

ในช่วงอายุครรภ์ประมาณ 7 เดือน ลูกน้อยในครรภ์จะสามารถกะพริบตาเพื่อตอบสนองต่อแสงไฟที่กระตุ้นได้แล้วค่ะ ซึ่งการส่องไฟที่หน้าท้องจะทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและการมองเห็นมีพัฒนาดีขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นหลังคลอดค่ะ

  • ออกกำลังกาย

เมื่อไรก็ตามที่คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ขยับร่างกาย Exercise หรือออกกำลังกายเบาๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ ลูกน้อยในครรภ์ก็จะมีการเคลื่อนไหวตามไปด้วย โดยผิวกายของลูกจะไปกระทบกับผนังด้านในของมดลูก ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาดีขึ้นด้วยค่ะ

อย่างไรก็ตาม สุขภาพครรภ์ของคุณแม่แต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกันไป รวมถึงปฏิกิริยาที่ร่างกายมีต่ออาหารบางอย่างก็อาจไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้น แนะนำว่าการจะกินอาหารอะไรก็ตามในช่วงตั้งครรภ์โดยที่ไม่มั่นใจว่าจะส่งผลอย่างไรก็ต่อสุขภาพครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมและปลอดภัย ได้ประโยชน์ต่อร่างกายคุณแม่และพัฒนาการของลูกในท้องมากที่สุดนะคะ

 

ที่มา : www.bpksamutprakan.com , www.si.mahidol.ac.th , www.praram9.com , www.bumrungrad.com , www.pobpad.com

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

คนท้องเป็นตะคริว ต้องกินอะไร ? วิธีป้องกันและบรรเทาอาการ

8 เคล็ดลับ แม่ผ่าคลอด ฟื้นตัวเร็ว แผลสวย หายไว ร่างกายแข็งแรง

ท้องลมจะหลุดตอนไหน “ท้องลม” VS “แท้ง” เหมือนหรือต่างกันยังไง?

บทความโดย

จันทนา ชัยมี