คุณพ่อคุณแม่คะ หากลูกน้อยของคุณมีอาการไอบ่อย ๆ จนดูเหมือนเป็นอาการไอเรื้อรัง ให้รีบพาลูกหลานไปหาหมอนะคะ เพราะลูกอาจจะเป็นโรคอันตรายโรคหนึ่ง ที่เราเรียกกันว่า “โรคไอกรน” โดยไม่รู้ตัว ซึ่งโรค ไอกรนในเด็ก ทำให้ปอดอักเสบ อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้
มาทำความรู้จักกับโรคไอกรน ไอกรนในเด็ก ทำให้ปอดอักเสบ
ไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ในระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีอาการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ และเกิดอาการไอที่มีลักษณะไอถี่ ๆ ติด ๆ กัน 5-10 ครั้ง หรือมากกว่านั้น ทำให้เด็กหายใจไม่ทัน เสียงไอของโรคนี้เป็นการไอที่มีเอกลักษณ์ มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Whooping cough เป็นการหายใจเข้าลึก ๆ เป็นเสียงวู๊ป สลับกับการไอเป็นชุด ๆ บางครั้งอาจมีอาการเรื้อรังนาน 2-3 เดือน
ไอกรนในเด็ก ทำให้ปอดอักเสบ เด็กมีโอกาสเสี่ยงสูง
โรคไอกรนสามารถติดต่อกันได้ง่าย โดยเฉพาะในรายที่ไม่มีภูมิต้านทาน จะมีโอกาสติดเชื้อโรคจากผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันมากถึง 80 – 100% แต่ถึงแม้จะมีภูมิต้านทานก็ยังมีโอกาสติดเชื้อได้ถึง 20% โดยเชื้อโรคจะแพร่กระจายอยู่ในละอองของเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และจะติดต่อไปยังผู้อื่นต่อไป
จากการศึกษาของสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี พบว่าในผู้ป่วยเด็กที่มีอาการไอติดต่อกันอย่างน้อย 7 วัน แต่ไม่ได้เป็นวัณโรคและโรคหอบหืด ตรวจพบเชื้อไอกรนถึงร้อยละ 19 ซึ่งระยะฟักตัวของ “โรคไอกรน” จะใช้เวลาประมาณ 6-20 วัน แต่หากสัมผัสโรคมาเกิน 3 สัปดาห์แล้วไม่มีอาการ ก็แสดงว่า “ไม่ติดโรค”
สำหรับโรคไอกรนในเด็กนั้น ส่วนใหญ่จะติดเชื้อมาจากผู้ใหญ่ในครอบครัว โดยสามารถเป็นได้ตั้งแต่เดือนแรก เนื่องจากภูมิคุ้มกันจากแม่ยังมีน้อย ในเด็กเล็กอาการจะรุนแรงมากและมีอัตราการตายสูง ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มีอาการรุนแรงและมีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตมักจะเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
การรักษาผู้ป่วย “โรคไอกรน” ทำอย่างไร
ในระยะแรกสามารถใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดความรุนแรงของโรค แต่ถ้าให้ยาปฏิชีวนะหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการไอแล้ว อาจไม่ค่อยมีผลดีต่อการดำเนินโรค แต่จะช่วยลดการแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ ดังนั้นผู้ป่วย “โรคไอกรน” ควรพักผ่อนมาก ๆ ดื่มน้ำอุ่น อยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี หลีกเลี่ยงสาเหตุที่กระตุ้นทำให้มีอาการไอมากขึ้น เช่น ฝุ่นละออง ควัน อากาศร้อนหรือเย็นเกินไป จะช่วยลดความเสี่ยงจากโรคได้
ที่ต้องระวังอีกประการ คือ ภาวะแทรกซ้อนของ “โรคไอกรน” อาจมีความรุนแรงจนถึงขั้นทำให้ “เสียชีวิต” โดยโรคแทรกซ้อนทางระบบหายใจที่พบบ่อย คือ ปอดอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในเด็กเล็ก และยังมีภาวะแทรกซ้อนทางสมอง ทำให้ผู้ป่วยอาจมีอาการชัก เกร็ง หรือซึมลงด้วย
การป้องกันโรคไอกรน
การป้องกัน “โรคไอกรน” ที่ดีที่สุด สามารถทำได้ด้วยการ “ฉีดวัคซีนป้องกัน” ซึ่งวัคซีนไอกรนเป็นวัคซีนพื้นฐานที่เด็กทุกคนต้องได้รับ ดังนั้น เมื่อถึงเวลานัดฉีดวัคซีน
- โรคไอกรนมีวัคซีนสำหรับป้องกัน ในเด็กเล็กต้องได้รับการฉีดวัคซีนช่วงอายุ 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน 15 – 18 เดือน ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก หลังจากนั้นเมื่ออายุ 4 – 6 ปี ให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นอีก 1 ครั้ง
- ในช่วงอายุ 11-12 ปี ปกติเด็กควรจะได้รับวัคซีนรวม คอตีบ บาดทะยัก กระตุ้นอีก 1 เข็ม แต่ผู้เชี่ยวชาญบางท่านจะแนะนำให้ฉีดวัคซีนรวมคอตีบไอกรน บาดทะยัก แทนการฉีดวัคซีนคอตีบ บาดทะยัก
- สำหรับแม่ตั้งครรภ์ ควรได้รับการฉีควัคซีนไอกรน เพราะช่วยป้องกันโรคไอกรนในแม่และลูกที่คลอดมา ซึ่งเป็นที่รู้ว่า เกินร้อยละ 50 ของลูกที่ป่วยเป็นโรคไอกรน ติดมาจากเชื้อโรคไอกรนในแม่ ซึ่งหากลูกเป็นโรคไอกรนใน 3 เดือนแรก ลูกมีโอกาสเจ็บป่วยรุนแรงจนเสียชีวิต แต่หากฉีดวัคซีนไอกรนให้แม่ สามารถป้องกันโรคไอกรนในลูกที่คลอดออกมาได้ตั้งแต่ 2-6 เดือน
ทำความรู้จักโรคไอกรน และอันตรายที่เกิดขึ้นกันไปพอสมควรแล้ว คุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเช็กปฏิทินนัดหมายการฉีดวัคซีน และพาลูกน้อยไปรับวัคซีนให้ตรงเวลากันด้วยนะคะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
วัคซีนป้องกันคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก ในหญิงตั้งครรภ์ สำคัญแค่ไหน?
ระวัง!!! โรคฉี่หนู ภัยร้ายที่มาช่วงหน้าฝน รักษาผิดวิธีเสี่ยงเสียชีวิตสูง
ตาบอดสีในเด็ก เกิดจากอะไร มีวิธีรักษาหรือวิธีแก้อย่างไร