พญ. อดิศร์สุดา เฟื่องฟู ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี
การเลี้ยงลูกของพ่อแม่ยุคนี้ “ผลักดัน” หรือ “กดดัน”
พญ. อดิศร์สุดา เฟื่องฟู ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็ก จากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี เล่าถึงประสบการณ์และความเห็นต่อการเลี้ยงดูลูกในโลกยุคที่เต็มไปด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้น
ในฐานะที่เป็นกุมารแพทย์และในบทบาทของความเป็นแม่ด้วย ยิ่งทำให้เข้าใจและเห็นใจ การเป็นพ่อเป็นแม่ ยุคนี้ มันไม่ง่ายเลยใช่มั๊ยคะ ต้องยอมรับว่า โลกอยู่ยากขึ้นทุกวัน ทั้งในแง่ของสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น มลภาวะ เด็กๆ เดี๋ยวนี้เป็นภูมิแพ้กันมากขึ้น มีเชื้อโรคเกิดใหม่เพิ่มขึ้นมากมาย ยิ่งทำให้พ่อแม่กังวล อีกทั้งในแง่ของสภาพสังคม และเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง พ่อแม่ส่วนใหญ่จำเป็นต้องทำงานนอกบ้าน ทั้งคู่ ชีวิตเริ่มสตาร์ทกันตั้งแต่ตีห้า มีเวลาอยู่กับลูกช่วงเช้าไม่กี่ชั่วโมง จำเป็นต้องไปฝากลูกเข้าเนอร์สเซอรี่ เพราะต่างคนต่างต้องรีบฝ่ารถติดเข้าไปทำงานให้ทัน ตกเย็นกว่าจะฝ่ารถติดไปรับลูกหลังเลิกเรียน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ก็นิยมให้ลูกเรียนพิเศษกันต่ออีกเพื่อเสริมความฉลาดอัจฉริยะของลูก ทั้งปัจจัยเรื่อง เวลาของพ่อแม่ บวกกับความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า การผลักดันให้อยากให้ลูกเป็นอัจฉริยะ ต้องเรียนเก่ง จึงจะมีโอกาส ประสบความสำเร็จในชีวิต ส่งผลให้มีการผลักดันลูกด้านวิชาการกันมาก เด็กๆ ต้องเรียนพิเศษเยอะขึ้น ติวเข้มเพื่อสอบเข้าโรงเรียนดังๆ กัน ตั้งแต่อนุบาล โดยเฉพาะวัฒนธรรมแบบไทยๆของเรามักจะกลัวลูกเหลิง และชอบเปรียบเทียบลูกเรากับลูกคนอื่นประจำ การพ่อแม่ผลักดันลูกมากเกินไปจนกลายเป็นความกดดัน ทำให้ลูกเสีย โอกาสในการมีพัฒนาการรอบด้าน ลูกขาดทักษะชีวิตที่จะเรียนรู้อยู่รอดในสังคม อย่างมีความสุข
ถึงเวลาที่ต้องมาพิจารณาให้ดีว่า แค่มุ่งเน้นให้ลูกสมองฉลาดเป็นอัจฉริยะ เป็นเลิศทางวิชาการอาจไม่พอ เด็กยุคนี้ ต้องมีพัฒนาการและความพร้อมรอบด้าน ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม ควบคู่กัน มีพ่อแม่หลายคนมาปรึกษาหมอเรื่อง ทำไม่ลูกไม่มั่นใจในตัวเอง ติดพ่อแม่มากและ ไม่ยอมเข้ากับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน สุดท้ายมาเจอต้นตอของปัญหาว่า ที่ลูกเข้ากับเพื่อนๆไม่ได้ เพื่อนไม่ชอบ เพราะลูกตัวเหม็น เนื่องจากมีภาวะอุจจาระเล็ดเนื่องจากท้องผูกเรื้อรัง จะเห็นว่าสุขภาพร่างกาย ส่งผลต่อพัฒนาการ ทางสังคมของลูก หรือเด็กที่ป่วยบ่อยก็ส่งผลให้พัฒนาการถดทอย เพราะร่างกาย เกี่ยวพันกับสมอง เป็นเรื่องเดียวกัน หรืออีกตัวอย่างที่พบประจำ คือ ปัญหาลูกสมาธิสั้น พ่อแม่หลายคนก็โทษ พวกอุปกรณ์ ไฮเทคต่างๆ ที่อาจทำให้ลูกใจร้อนรอไม่ได้ แต่อาจลืมไปว่า ตัวพ่อแม่เองมีชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ อยู่ตลอดเวลา เร่งลูกให้ทำอะไรเร็วๆตลอด เด็กก็ซึบซับจนกลายเป็นปัญหาที่ไม่รู้ตัว หมออยากฝากคุณพ่อคุณแม่ ทั้งหลายว่า การเลี้ยงลูกต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องหมั่นให้เวลากับลูกมากๆ พ่อแม่ต้องสอน ด้วยการทำให้กิจกรรมด้วยกันกับลูก ต้องแสดงความรักและชื่นชม อย่ากดดันลูกเรื่องวิชาการมากเกินไป ต้องให้ลูกได้มีโอกาสเสริมพัฒนาการรอบด้าน หมอเคยได้ยินว่า ผู้นำเหล่าทัพส่วนใหญ่ไม่ใช่พวกที่ สอบได้ที่หนึ่งของห้อง แต่มักเป็นคนที่เป็นที่รักของเพื่อนฝูง คนที่แก้ปัญหาเก่ง และมีความสามารถ หลากหลาย ใครที่ยังกังวลกับเรื่องการเลี้ยงดูลูก ลองดูโพลล่าสุดที่สำรวจ ความคิดเห็นของพ่อแม่ แล้วจะรู้ว่า เด็กยุคนี้ …แค่อัจฉริยะไม่พอจริงๆ ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ที่กำลังป้อน เด็กยุคใหม่ที่เก่งพร้อมรอบด้าน เพื่อสังคมที่มีทั้งคุณภาพและความสุขนะคะ
หลังจากได้อ่านความคิดเห็นและคำแนะนำจากคุณหมอแล้ว เราลองมาดูความคิดเห็นของคุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลกันบ้างดีกว่า ว่าคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่มีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้างในเรื่องนี้
สวนดุสิตโพลได้ทำการสำรวจและสอบถามจากผู้ปกครอง พ่อแม่ ที่มีบุตรอายุไม่เกิน 6 ปี ทำให้พบว่าคุณพ่อคุณแม่มากถึง 84.52% สนใจแนวทางการเลี้ยงลูกแบบ “เด็กที่มีพัฒนาการและความพร้อมรอบด้าน” ในขณะที่มีเพียง 14.99% ที่สนใจแนวทางการเลี้ยงลูกแบบ “เด็กที่มีพัฒนาการด้านสมองดีขั้นเป็น”อัจฉริยะ โดยเหตุผล 3 อันดับแรกที่คุณพ่อคุณแม่สนใจแนวทางการเลี้ยงลูกแบบ “เด็กที่มีพัฒนาการและความพร้อมรอบด้าน” เพราะ หนึ่ง เด็กจะได้มีความสามารถทุกด้าน พร้อมที่จะเรียนรู้และฝึกฝนในทุกๆด้าน สอง เด็กจะได้สามารถดำรงชีวิตต่อไปในอนาคตได้อย่างปกติสุข สาม เด็กจะได้มีโอกาสเรียนรู้ชีวิตการเข้าสังคม และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้
นอกจากนี้อีกหนึ่งผลสำรวจที่น่าสนใจ คือ ความพร้อมเรียนรู้ด้านวิชาการนั้นไม่ติดอันดับท็อป 5 ของปัจจัยที่พ่อแม่ให้ความสำคัญต่อการเลี้ยงลูกในวัยทารก จนถึงปฐมวัย (อายุ 0-6 ปี ) โดยปัจจัยอันดับที่ 1 ที่พ่อแม่สนใจและให้ความสำคัญที่สุดในการเลี้ยงลูก คือ โภชนาการ/อาหารการกินเพื่อพัฒนาการที่สมวัย (85.01%) อันดับที่ 2 คือ ทักษะด้านสังคม อารมณ์ จิตใจ (71.99%) และอันดับที่ 3 คือ ภูมิต้านทานด้านร่างกายและจิต (53.81%)
ที่สำคัญ คือ คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่มากถึง 96% ยังเห็นด้วยว่า “ลูกไม่จำเป็นต้องเก่งขนาดเป็นอัจฉริยะ แต่จำเป็นต้องแข็งแรงมีสุขภาพจิตที่ดี มีน้ำใจและไม่ก้าวร้าว จึงจะสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข”
จากผลการสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าคุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ไม่เน้นวิชาการมากจนเกินไป แต่ขอให้ลูกมีโภชนาการสมวัย ได้ทานอาหารที่เหมาะกับวัย และมีอีคิวที่ดีก็พอแล้ว
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ท่านใดที่สนใจอ่านผลสำรวจเพิ่มเติม อ่านได้ที่นี่เลยค่ะ
ที่มา dusitpoll.dusit.ac.th
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!