คนท้อง น้ำคร่ำน้อย ทำไงดี? 4 วิธีเพิ่มน้ำคร่ำ ที่คุณแม่ทำได้

undefined

น้ำคร่ำน้อย ภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ มาทำความรู้จัก ภาวะน้ำคร่ำน้อย อันตรายแค่ไหน และมีวิธีเพิ่มน้ำคร่ำได้อย่างไรบ้าง?

น้ำคร่ำน้อย หนึ่งในความผิดปกติของน้ำคร่ำ ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องใส่ใจ น้ำคร่ำน้อย อาจเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างที่คาดไม่ถึง มาทำความรู้จัก ภาวะน้ำคร่ำน้อย อันตรายแค่ไหน? และมีวิธีเพิ่มน้ำคร่ำได้อย่างไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบสำหรับทุกข้อสงสัยที่คุณแม่ควรรู้ค่ะ

 

หน้าที่ของน้ำคร่ำ

น้ำคร่ำ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการและการอยู่รอดของทารกในครรภ์ โดยมีหน้าที่หลักดังนี้

  • ป้องกันการกระแทกและแรงกดทับจากภายนอก ช่วยให้ทารกปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ
  • ควบคุมอุณหภูมิในมดลูกให้คงที่ เพื่อให้ทารกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญเติบโต
  • สนับสนุนการเจริญเติบโตของปอดและระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ทารกสามารถฝึกการหายใจและกลืนได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
  • ช่วยให้ทารกเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรงตามวัย
  • ป้องกันการติดเชื้อ สร้างเกราะป้องกันบางส่วนให้ทารกจากเชื้อโรคต่างๆ
  • เป็นแหล่งสารอาหารและน้ำบางส่วนให้กับทารกเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต
  • ช่วยในการคลอด แรงดันน้ำในโพรงน้ำคร่ำมีส่วนช่วยขยายปากมดลูกเมื่อถึงเวลาเจ็บท้องคลอด ทำให้การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น

น้ำคร่ำน้อย คืออะไร?

ภาวะน้ำคร่ำน้อย หมายถึง การที่แพทย์ตรวจพบว่าปริมาณน้ำคร่ำในมดลูกของคุณแม่มีปริมาณต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยดูจากค่า AFI หรือ SDP ที่วัดได้จากการอัลตราซาวนด์ ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด 

  • ค่าปกติของ AFI มักจะอยู่ระหว่าง 5-25 เซนติเมตร แต่หาก AFI น้อยกว่า 5 เซนติเมตร หรือบางกรณีอาจใช้เกณฑ์ที่น้อยกว่า 6 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และอายุครรภ์ จะถือว่าเข้าข่าย “น้ำคร่ำน้อย” ค่ะ
  • ค่าปกติของ SDP มักจะอยู่ระหว่าง 2-8 เซนติเมต หาก SDP น้อยกว่า 2 เซนติเมตร ก็จะถือว่าเข้าข่าย “น้ำคร่ำน้อย” เช่นกันค่ะ

 

สาเหตุที่พบบ่อยของภาวะน้ำคร่ำน้อย

ภาวะน้ำคร่ำน้อยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากคุณแม่ ตัวทารก หรือแม้กระทั่งรกที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างกัน โดยสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่

 

น้ำคร่ำน้อย

 

น้ำคร่ำน้อย ป้องกันได้ไหม?

คุณแม่สามารถลดความเสี่ยง และดูแลสุขภาพให้พร้อม เพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยได้ ดังนี้

  • ฝากครรภ์และไปตรวจตามนัดสม่ำเสมอ
  • ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง 
  • ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ควรจิบน้ำตลอดทั้งวันเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ 
  • สังเกตอาการผิดปกติ เช่น หากรู้สึกว่ามีน้ำใสๆ ไหลออกจากช่องคลอด รู้สึกว่าท้องมีขนาดเล็กลง หรือทารกดิ้นน้อยลง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

 

ภาวะน้ำคร่ำน้อย…อันตรายแค่ไหนต่อคุณแม่และลูกน้อย?

ผลกระทบต่อคุณแม่

เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด เนื่องจากอาจมีความจำเป็นที่แพทย์จะต้องเร่งคลอด หากพบว่าปริมาณน้ำคร่ำน้อยมากจนเป็นอันตรายต่อทารก
เพิ่มความเสี่ยงในการผ่าตัดคลอด บ่อยครั้งที่ภาวะน้ำคร่ำน้อยทำให้การคลอดธรรมชาติทำได้ยาก หรือมีความเสี่ยงต่อทารกสูงขึ้น แพทย์จึงอาจพิจารณาการผ่าตัดคลอดเพื่อความปลอดภัย
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอด เช่น การที่สายสะดือถูกกดทับง่ายขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อทารก

 

ผลกระทบต่อทารกในครรภ์

ผลกระทบต่อทารกในครรภ์จากภาวะน้ำคร่ำน้อยเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุด เนื่องจากน้ำคร่ำมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของทารกอย่างมาก

  • ภาวะปอดไม่เจริญเติบโตเต็มที่ (Pulmonary Hypoplasia)

นี่คือหนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภาวะน้ำคร่ำน้อยเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นของการตั้งครรภ์ น้ำคร่ำมีส่วนช่วยในการฝึกการหายใจและพัฒนาการของปอด หากน้ำคร่ำน้อย ปอดของทารกอาจไม่ขยายตัวได้เต็มที่ ทำให้เกิดปัญหาในการหายใจหลังคลอด

  • การกดทับของสายสะดือ

เมื่อน้ำคร่ำมีน้อยลง สายสะดือซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารจากแม่สู่ลูก อาจถูกผนังมดลูกหรือตัวทารกเองกดทับได้ง่าย ทำให้ทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

  • ความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกและข้อ (Limb Deformities)

หากปริมาณน้ำคร่ำน้อย ทารกจะถูกจำกัดพื้นที่ในการเคลื่อนไหว ทำให้แขนขาหรืองอตัวอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกและข้อได้ เช่น ใบหน้าผิดรูป แขนขาและมือเท้าผิดรูป ที่พบบ่อยคือ ภาวะเท้าปุก

น้ำคร่ำน้อย

  • การเจริญเติบโตช้าในครรภ์

ภาวะน้ำคร่ำน้อยมักมีความสัมพันธ์กับการที่ทารกไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็น

  • เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด หรือต้องได้รับการกระตุ้นคลอด

หากภาวะน้ำคร่ำน้อยรุนแรงและเป็นอันตรายต่อทารก แพทย์อาจจำเป็นต้องพิจารณาเร่งการคลอดก่อนกำหนดเพื่อความปลอดภัยของทารก

การที่ทารกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำคร่ำน้อย อาจทำให้ทารกเกิดความเครียดได้ง่าย ซึ่งจะแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ

 

4 วิธีเพิ่มน้ำคร่ำ : การดูแลตนเองเบื้องต้นที่คุณแม่ทำได้

แม้จะไม่สามารถรักษาน้ำคร่ำน้อยให้กลับมาเป็นปกติได้ 100% ด้วยตัวเอง แต่การปรับพฤติกรรมบางอย่างก็มีส่วนช่วยส่งเสริมให้ร่างกายคุณแม่มีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อปริมาณน้ำคร่ำได้:

  1. ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ (สำคัญที่สุด): การดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดวันช่วยให้ร่างกายคุณแม่ไม่ขาดน้ำ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการสร้างน้ำคร่ำได้บ้าง พยายามจิบน้ำบ่อยๆ ไม่ต้องรอให้กระหายค่ะ
  2. พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเต็มที่ช่วยให้ร่างกายคุณแม่ฟื้นตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก: การลดกิจกรรมที่ต้องออกแรงหรือยืนนานๆ จะช่วยให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่เหมาะสมกับการตั้งครรภ์มากขึ้น
  4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างน้ำคร่ำและบำรุงสุขภาพโดยรวม

อย่างไรก็ตามภาวะนี้ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยคุณหมอจะนัดตรวจอัลตราซาวนด์บ่อยขึ้น เพื่อติดตามประเมินปริมาณน้ำคร่ำและการเจริญเติบโต รวมถึงสุขภาพโดยรวมของทารกอย่างละเอียด

หากภาวะน้ำคร่ำน้อยอยู่ในระดับรุนแรง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยของทารกอย่างชัดเจน แพทย์อาจพิจารณา เร่งคลอด หรือทำการ ผ่าตัดคลอด ก่อนกำหนด เพื่อให้ทารกได้รับการดูแลภายหลังคลอดอย่างเหมาะสมค่ะ

 

ที่มา : สูติศาสตร์ล้านนา , โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

8 สาเหตุลูกไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยลง สัญญาณเงียบที่ต้องใส่ใจ

คุณแม่รีวิวประสบการณ์ เจาะน้ำคร่ำ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

ทารกคลอดไม่มีนิ้ว ภัยร้ายจากพังผืดในถุงน้ำคร่ำ

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!