คนท้อง น้ำคร่ำน้อย ทำไงดี? 4 วิธีเพิ่มน้ำคร่ำ ที่คุณแม่ทำได้

น้ำคร่ำน้อย ภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ มาทำความรู้จัก ภาวะน้ำคร่ำน้อย อันตรายแค่ไหน และมีวิธีเพิ่มน้ำคร่ำได้อย่างไรบ้าง?
น้ำคร่ำน้อย หนึ่งในความผิดปกติของน้ำคร่ำ ที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องใส่ใจ “น้ำคร่ำน้อย“ อาจเป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์อย่างที่คาดไม่ถึง มาทำความรู้จัก ภาวะน้ำคร่ำน้อย อันตรายแค่ไหน? และมีวิธีเพิ่มน้ำคร่ำได้อย่างไรบ้าง? บทความนี้มีคำตอบสำหรับทุกข้อสงสัยที่คุณแม่ควรรู้ค่ะ
▼สารบัญ
หน้าที่ของน้ำคร่ำ
น้ำคร่ำ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อพัฒนาการและการอยู่รอดของทารกในครรภ์ โดยมีหน้าที่หลักดังนี้
- ป้องกันการกระแทกและแรงกดทับจากภายนอก ช่วยให้ทารกปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ
- ควบคุมอุณหภูมิในมดลูกให้คงที่ เพื่อให้ทารกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเจริญเติบโต
- สนับสนุนการเจริญเติบโตของปอดและระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้ทารกสามารถฝึกการหายใจและกลืนได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์
- ช่วยให้ทารกเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ส่งเสริมพัฒนาการของกล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรงตามวัย
- ป้องกันการติดเชื้อ สร้างเกราะป้องกันบางส่วนให้ทารกจากเชื้อโรคต่างๆ
- เป็นแหล่งสารอาหารและน้ำบางส่วนให้กับทารกเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต
- ช่วยในการคลอด แรงดันน้ำในโพรงน้ำคร่ำมีส่วนช่วยขยายปากมดลูกเมื่อถึงเวลาเจ็บท้องคลอด ทำให้การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น
น้ำคร่ำน้อย คืออะไร?
ภาวะน้ำคร่ำน้อย หมายถึง การที่แพทย์ตรวจพบว่าปริมาณน้ำคร่ำในมดลูกของคุณแม่มีปริมาณต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ โดยดูจากค่า AFI หรือ SDP ที่วัดได้จากการอัลตราซาวนด์ ซึ่งเป็นวิธีที่แม่นยำที่สุด
- ค่าปกติของ AFI มักจะอยู่ระหว่าง 5-25 เซนติเมตร แต่หาก AFI น้อยกว่า 5 เซนติเมตร หรือบางกรณีอาจใช้เกณฑ์ที่น้อยกว่า 6 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์และอายุครรภ์ จะถือว่าเข้าข่าย “น้ำคร่ำน้อย” ค่ะ
- ค่าปกติของ SDP มักจะอยู่ระหว่าง 2-8 เซนติเมต หาก SDP น้อยกว่า 2 เซนติเมตร ก็จะถือว่าเข้าข่าย “น้ำคร่ำน้อย” เช่นกันค่ะ
สาเหตุที่พบบ่อยของภาวะน้ำคร่ำน้อย
ภาวะน้ำคร่ำน้อยอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากคุณแม่ ตัวทารก หรือแม้กระทั่งรกที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างกัน โดยสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่
- ภาวะถุงน้ำคร่ำรั่วหรือแตกก่อนกำหนด
- ปัญหาเกี่ยวกับรก เช่น รกเสื่อมสภาพ หรือ รกเกาะต่ำ
- ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
- ความผิดปกติของไตหรือระบบทางเดินปัสสาวะของทารก
- การตั้งครรภ์เกินกำหนด
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
- ภาวะขาดน้ำของคุณแม่
- ทารกในครรภ์ตัวเล็กกว่าปกติ
น้ำคร่ำน้อย ป้องกันได้ไหม?
คุณแม่สามารถลดความเสี่ยง และดูแลสุขภาพให้พร้อม เพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะน้ำคร่ำน้อยได้ ดังนี้
- ฝากครรภ์และไปตรวจตามนัดสม่ำเสมอ
- ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี เช่น เบาหวาน หรือความดันโลหิตสูง
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ ควรจิบน้ำตลอดทั้งวันเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์
- สังเกตอาการผิดปกติ เช่น หากรู้สึกว่ามีน้ำใสๆ ไหลออกจากช่องคลอด รู้สึกว่าท้องมีขนาดเล็กลง หรือทารกดิ้นน้อยลง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ภาวะน้ำคร่ำน้อย…อันตรายแค่ไหนต่อคุณแม่และลูกน้อย?
ผลกระทบต่อคุณแม่ | |
เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด | เนื่องจากอาจมีความจำเป็นที่แพทย์จะต้องเร่งคลอด หากพบว่าปริมาณน้ำคร่ำน้อยมากจนเป็นอันตรายต่อทารก |
เพิ่มความเสี่ยงในการผ่าตัดคลอด | บ่อยครั้งที่ภาวะน้ำคร่ำน้อยทำให้การคลอดธรรมชาติทำได้ยาก หรือมีความเสี่ยงต่อทารกสูงขึ้น แพทย์จึงอาจพิจารณาการผ่าตัดคลอดเพื่อความปลอดภัย |
อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการคลอด | เช่น การที่สายสะดือถูกกดทับง่ายขึ้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อทารก |
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์จากภาวะน้ำคร่ำน้อยเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุด เนื่องจากน้ำคร่ำมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของทารกอย่างมาก
- ภาวะปอดไม่เจริญเติบโตเต็มที่ (Pulmonary Hypoplasia)
นี่คือหนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากภาวะน้ำคร่ำน้อยเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นของการตั้งครรภ์ น้ำคร่ำมีส่วนช่วยในการฝึกการหายใจและพัฒนาการของปอด หากน้ำคร่ำน้อย ปอดของทารกอาจไม่ขยายตัวได้เต็มที่ ทำให้เกิดปัญหาในการหายใจหลังคลอด
- การกดทับของสายสะดือ
เมื่อน้ำคร่ำมีน้อยลง สายสะดือซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงออกซิเจนและสารอาหารจากแม่สู่ลูก อาจถูกผนังมดลูกหรือตัวทารกเองกดทับได้ง่าย ทำให้ทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกและข้อ (Limb Deformities)
หากปริมาณน้ำคร่ำน้อย ทารกจะถูกจำกัดพื้นที่ในการเคลื่อนไหว ทำให้แขนขาหรืองอตัวอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกและข้อได้ เช่น ใบหน้าผิดรูป แขนขาและมือเท้าผิดรูป ที่พบบ่อยคือ ภาวะเท้าปุก
- การเจริญเติบโตช้าในครรภ์
ภาวะน้ำคร่ำน้อยมักมีความสัมพันธ์กับการที่ทารกไม่สามารถเจริญเติบโตได้ตามเกณฑ์ที่ควรจะเป็น
- เพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนด หรือต้องได้รับการกระตุ้นคลอด
หากภาวะน้ำคร่ำน้อยรุนแรงและเป็นอันตรายต่อทารก แพทย์อาจจำเป็นต้องพิจารณาเร่งการคลอดก่อนกำหนดเพื่อความปลอดภัยของทารก
- ภาวะทารกเครียดในครรภ์
การที่ทารกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีน้ำคร่ำน้อย อาจทำให้ทารกเกิดความเครียดได้ง่าย ซึ่งจะแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
4 วิธีเพิ่มน้ำคร่ำ : การดูแลตนเองเบื้องต้นที่คุณแม่ทำได้
แม้จะไม่สามารถรักษาน้ำคร่ำน้อยให้กลับมาเป็นปกติได้ 100% ด้วยตัวเอง แต่การปรับพฤติกรรมบางอย่างก็มีส่วนช่วยส่งเสริมให้ร่างกายคุณแม่มีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งอาจส่งผลดีต่อปริมาณน้ำคร่ำได้:
- ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ (สำคัญที่สุด): การดื่มน้ำให้เพียงพอตลอดวันช่วยให้ร่างกายคุณแม่ไม่ขาดน้ำ ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการสร้างน้ำคร่ำได้บ้าง พยายามจิบน้ำบ่อยๆ ไม่ต้องรอให้กระหายค่ะ
- พักผ่อนให้เพียงพอ: การพักผ่อนอย่างเต็มที่ช่วยให้ร่างกายคุณแม่ฟื้นตัวและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก: การลดกิจกรรมที่ต้องออกแรงหรือยืนนานๆ จะช่วยให้ร่างกายอยู่ในภาวะที่เหมาะสมกับการตั้งครรภ์มากขึ้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นอาหารที่หลากหลายครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างน้ำคร่ำและบำรุงสุขภาพโดยรวม
อย่างไรก็ตามภาวะนี้ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด โดยคุณหมอจะนัดตรวจอัลตราซาวนด์บ่อยขึ้น เพื่อติดตามประเมินปริมาณน้ำคร่ำและการเจริญเติบโต รวมถึงสุขภาพโดยรวมของทารกอย่างละเอียด
หากภาวะน้ำคร่ำน้อยอยู่ในระดับรุนแรง และส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือความปลอดภัยของทารกอย่างชัดเจน แพทย์อาจพิจารณา เร่งคลอด หรือทำการ ผ่าตัดคลอด ก่อนกำหนด เพื่อให้ทารกได้รับการดูแลภายหลังคลอดอย่างเหมาะสมค่ะ
ที่มา : สูติศาสตร์ล้านนา , โรงพยาบาลบางปะกอกสมุทรปราการ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
8 สาเหตุลูกไม่ดิ้น หรือดิ้นน้อยลง สัญญาณเงียบที่ต้องใส่ใจ