ปัจจุบัน หลักสูตร โรงเรียนนานาชาติ ในประเทศไทย มีมากกว่า 200 แห่ง แบ่งออกเป็น 3 ระดับ (3 Tiers) ตามคุณภาพของบุคลากรและความพร้อมของอาคารสถานที่ โดยเป็นโรงเรียนระดับพรีเมียม (Tier-1) 73 แห่ง หรือคิดเป็น 36% และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ปกครองยุคใหม่ให้ความสำคัญในเรื่องของภาษา ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถรอบด้าน ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะลงทุนด้านการศึกษาแก่ลูกมากขึ้น โดยเราจะพามาดูว่าทำไมโรงเรียนนานาชาติถึงได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น เรียนนานาชาติแล้วดีอย่างไร และมีหลักสูตรอะไรที่น่าสนใจบ้าง ไปติดตามพร้อมกันเลยค่ะ
หลักสูตร โรงเรียนนานาชาติ มีอะไรบ้าง
โรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย จัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตรที่เป็นที่นิยมจากต่างประเทศ โดยมีคุณครูชาวต่างชาติเป็นผู้สอน และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักในสื่อสาร ซึ่งในประเทศไทยก็มี โรงเรียนนานาชาติ ให้เลือกหลากหลายหลักสูตรด้วยกัน แต่หลัก ๆ จะแบ่งออกเป็น ดังนี้
-
หลักสูตรอังกฤษ (British Curriculum)
หลักสูตรอังกฤษ (สหราชอาณาจักร อังกฤษ และเวลส์) ในประเทศไทย เป็นหลักสูตรที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในไทย โดยมีโรงเรียนนานาชาติที่ใช้หลักสูตรจากประเทศอังกฤษประมาณ 50% ของโรงเรียนนานาชาติทั้งหมด ตัวอย่างของโรงเรียนนานาชาติหลักสูตรอังกฤษ เช่น Bangkok Patana School, Harrow International School, DBS Denla British School, Shrewsbury International School, St Andrews International School และ Regents International School
ปกติแล้วโรงเรียนนานาชาติในระบบอังกฤษจะเริ่มเรียนในช่วง อายุ 5 ปีขึ้นไปหรือเรียกว่าชั้น Reception แต่ด้วยความต้องการของผู้ปกครองที่เพิ่มขึ้น โรงเรียนหลายแห่งจึงเปิดรับนักเรียนอายุตั้งแต่ 3 – 4 ปี โดยใช้หลักสูต Early Years Foundation Stage หรือ EYFS ซึ่งเป็นหลักสูตรของประเทศอังกฤษ สำหรับการเรียนการสอนของเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะ
หลักสูตรอังกฤษแบ่งการเรียนการสอนเป็นช่วงอายุ (Key Stage) โดยแบ่งออกเป็น 6 ช่วง ดังนี้
- Early Years Foundation Stage (อายุ 3 – 4 ปี)
- Key Stage 1 : Year 1 – 2 (อายุ 5 – 6 ปี)
- Key Stage 2 :Year 3 – 6 (อายุ 7 – 10 ปี)
- Key Stage 3 :Year 7 – 9 (อายุ 11 – 13 ปี)
- Key Stage 4 : Year 10-11 (อายุ 14-15 ปี) – มีการสอบวัดระดับ IGCSE
- Key Stage 5 : Year 12-13 หรือ Sixth Form (อายุ 16-17 ปี) – มีการสอบวัดระดับ A-Level
การสอบวัดระดับ IGCSE และ A-Level จะใช้ข้อสอบเดียวกันทุกโรงเรียนในระบบอังกฤษทั่วโลก โดยในระดับ IGCSE นักเรียนจะได้เลือกเรียนวิชาต่าง ๆ ประมาณ 8 – 10 วิชาเพื่อค้นหาความถนัด จากนั้นในระดับ A-Level นักเรียนจะเลือกสาขาวิชาที่สนใจสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยจะเลือกเรียนเพียง 3 – 4 วิชาเท่านั้น
-
หลักสูตรอเมริกัน (American Curriculum)
หลักสูตรอเมริกันในประเทศไทย มีโรงเรียนที่ใช้หลักสูตรอเมริกันประมาณ 40% ของโรงเรียนนานาชาติทั้งหมด โดยโรงเรียนที่มีมาตรฐานจะได้รับการรับรองคุณภาพจากองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ได้แก่ Western Association of Schools and Colleges (WASC) และ New England Association of Schools and Colleges (NEASC) ตัวอย่างของโรงเรียน นานาชาติหลักสูตรอเมริกัน เช่น International School Bangkok (ISB), Ekamai International School (EIS), International Community School (ICS) และ Ruamrudee International School (RIS)
โดยปกติแล้วโรงเรียนนานาชาติในระบบนี้จะเริ่มเรียนในช่วงอายุ 6 ปีขึ้นไป โดยในบางแห่งอาจรับนักเรียนอายุ 4 – 5 ปีโดยใช้ชื่อว่า Pre-school ซึ่งมีการแบ่งระดับเป็นช่วงดังนี้
- ประถมศึกษา (Elementary School) ในช่วง Grade 1 – 5
- มัธยมศึกษาตอนต้น (Middle School) ในช่วง Grade 6 – 8
- มัธยมศึกษาตอนปลาย (High School) ในช่วง Grade 9 – 12
ในแต่ละโรงเรียนจะมีการวัดผลการเรียนด้วยแบบทดสอบของตนเอง ตามมาตรฐานที่ตั้งไว้ เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่มาก ดังนั้นจะมีรูปแบบหลักสูตรหลายแบบ เช่น California Department of Education Curriculum, American Education Reaches Out (AERO) Standards, Common Core State Standards (CCSS) ดังนั้น นักเรียนจากต่างโรงเรียนกัน แม้จะเรียนวิชาเดียวกันแต่ก็จะสอบด้วยข้อสอบคนละชุดกัน (ซึ่งต่างจากระบบอังกฤษที่ทุกโรงเรียนจะใช้แบบทดสอบเดียวกันทั้งหมด)
-
หลักสูตร IB (International Baccalaureate Programme)
หลักสูตร IB (International Baccalaureate) เป็นหลักสูตรที่มีความเป็นนานาชาติมากกว่าหลักสูตรอื่นๆ เพราะถูกพัฒนาขึ้นโดยปราศจากอิทธิพลของชาติใดชาติหนึ่ง (เช่น หลักสูตรอังกฤษจะอ้างอิงแนวคิดและหลักเกณฑ์ของอังกฤษเป็นหลัก แต่หลักสูตร IB จะพูดถึงสังคมโลกแบบภาพรวม) โรงเรียนที่ใช้หลักสูตร IB จะต้องได้รับอนุมัติจากองค์กร IBO (International Baccalaureate Organisation) และต้องผ่านการประเมินคุณภาพทุก ๆ 5 ปี
ข้อดีของระบบ IB คือโรงเรียนนานาชาติที่ใช้ระบบนี้จะเรียนเหมือนกันทั้งโลก ดังนั้น หากนักเรียนต้องย้ายถิ่นฐานไปประเทศอื่นจะสามารถปรับตัวกับการเรียนได้ง่าย จึงเหมาะกับนักเรียนที่ผู้ปกครองมีอาชีพที่ต้องย้ายถิ่นฐานบ่อย ๆ เช่น นักการทูต นักธุรกิจระดับสูงในองค์กรระหว่างประเทศ เป็นต้น
หลักสูตร IB แบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 3 ช่วง คือ
- Primary Years Programme นิยมเรียกว่า PYP (อายุ 3 – 11 ปี)
- Middle Years Programme นิยมเรียกว่า MYP (อายุ 11 – 16 ปี)
- Diploma Programme นิยมเรียกว่า IB Diploma (อายุ 16 – 18 ปี)
-
หลักสูตรอื่น ๆ เช่น แคนาดา สิงคโปร์ ฯลฯ
โรงเรียนบางแห่งอาจมีหลักสูตรที่พัฒนาจากหลักสูตรของประเทศอื่น ๆ โดยอาจใช้หลักสูตรแบบเดียวตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนจบมัธยมศึกษา เช่น British Columbia International School Bangkok (หลักสูตรแคนาดา) หรือบางโรงเรียนอาจนำหลักสูตรของประเทศหนึ่งไปใช้ร่วมกับหลักสูตรประเทศอื่น ๆ เช่น Anglo Singapore International School และ Singapore International School of Bangkok ที่นำหลักสูตรของสิงคโปร์มาใช้ในช่วงประถม และนำหลักสูตร IGCSE และ A-Level (อังกฤษ) มาใช้ในช่วงมัธยมศึกษา เป็นต้น
โรงเรียนนานาชาติ ดียังไง ทำไมควรส่งลูกเรียนนานาชาติ
จากแนวโน้มของผู้ปกครองยุคใหม่ที่เลือกให้ลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ แม้ว่าจะมีค่าเทอมและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น แต่ด้วยข้อดีหลายอย่าง ทำให้รู้สึกคุ้มค่าที่จะลงทุนให้กับการศึกษาของลูก
แน่นอนว่าข้อดีของโรงเรียนนานาชาติก็คือ ทักษะภาษา คุณครูและนักเรียนมีการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารตลอดเวลา ดังนั้น เด็กจะคุ้นชินกับภาษาอังกฤษทั้งการพูด อ่าน และเขียน นอกจากนี้ ในปัจจุบันโรงเรียนนานาชาติยังเพิ่มภาษาที่สามเข้าไปด้วย เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ฯลฯ ทำให้เด็กนานาชาติสามารถพูดได้มากกว่าสองภาษา
- เด็กมีความมั่นใจและกล้าแสดงออก
เด็กที่เรียนโรงเรียนนานาชาติส่วนมากมีความมั่นใจ กล้าคิด กล้าพูดและกล้าแสดงออก บรรยากาศในการเรียนที่จะคอยกระตุ้นเด็ก ๆ ให้แสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความเห็นกัน ทำให้เด็กมีความมั่นใจและกล้าแสดงออกมากยิ่งขึ้น
- การบ้านที่มีความสร้างสรรค์
การบ้านของเด็กโรงเรียนนานาชาติส่วนมากจะเป็นการตั้งคำถาม เพื่อให้เด็กไปค้นคว้า และหาคำตอบจากแหล่งต่างๆ เพื่อให้เด็กได้รู้จักวิเคราะห์ คิดอย่างเป็นระบบ และช่วยให้เด็กมีความสร้างสรรค์ กล้าที่จะคิดนอกกรอบ ไม่ใช่แค่การคัดลอกตามหนังสือ
- จำนวนนักเรียนในห้องน้อย ครูสอนได้ทั่วถึง
โรงเรียนรัฐบาลหลายแห่งมักจะมีนักเรียนต่อห้องประมาณ 40 คน ในขณะที่โรงเรียนนานาชาติ มักจะกำหนดไม่ให้มีนักเรียนต่อห้องเกิน 20 คน ทั้งนี้ก็เพื่อให้คุณครูดูแลเด็ก ๆ อย่างทั่วถึง สามารถสังเกตพัฒนาการของเด็ก ๆ ได้แบบรายบุคคลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- รู้จักการเข้าสังคมที่มีความแตกต่าง
การเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ นักเรียนจะได้พบคุณครูที่เป็นชาวต่างชาติ และยังได้เพื่อนนักเรียนหลายเชื้อชาติ ทำให้เด็ก ๆ สามารถเรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมของเพื่อน ๆ ได้ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดีขึ้นอีกด้วย
DBS Denla British School โรงเรียนนานาชาติ ขนาดใหญ่บนพื้นที่กว่า 60 ไร่
DBS Denla British School เป็นโรงเรียนนานาชาติในย่านราชพฤกษ์ ทำการเปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรอังกฤษ สำหรับเด็กอายุ 2-18 ปี จุดเด่นของที่นี่ คือ มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ยอดเยี่ยมพร้อมเสริมสร้างศักยภาพให้เด็ก ๆ เพราะ DBS มีพื้นที่ถึง 60 ไร่พร้อมมอบพื้นให้ได้เกิดการเรียนรู้ตลอดเวลาทั้งศูนย์กีฬาที่กว้างใหญ่ครบครัน ห้องคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัย รวมถึงหอประชุมอารยะฮอลล์ ซึ่งเป็นโรงละครมาตรฐานระดับโลก ด้วยเทคโนโลยีระดับสากล ที่จุได้กว่า 600 ที่นั่ง และอาคาร Performing Arts ที่มีห้องกิจกรรมสำหรับนักเรียนมากมาย เช่น ผาจำลอง สนามกอล์ฟจำลอง (Golf Simulators) ห้องศิลปะ (Art Studio) ห้องเทคโนโลยีการออกแบบ (Design Technology) ห้องเรียนทำอาหาร (Cooking Studio) และอื่น ๆ ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ครบรอบด้าน เพราะ DBS เป็นโรงเรียนนานาชาติชั้นนำที่มีความพร้อมในการสนับสนุนและพัฒนาเด็ก ๆ ให้เติบโตสู่การเป็นผู้นำที่มีคุณภาพ โดยใช้หลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนเอกชนอังกฤษ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักสูตรที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลก
- DBS Denla British School มาพร้อมหลักสูตรอังกฤษ ที่ตอบโจทย์มากขึ้น
DBS Denla British School จัดการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตรโรงเรียนเอกชนอังกฤษ หรือ UK Independent School โดยจากสถิติที่ผ่านมานักเรียนในโรงเรียนเอกชนในอังกฤษมีผลการสอบ IGCSE และ A-Level ที่ยอดเยี่ยมมาโดยตลอด DBS จึงนำหลักสูตรนี้มาพัฒนาให้เข้ากับบริบทของสังคมไทย (Enhanced British Curriculum) เน้นความเข้มข้นด้านวิชาการ และกิจกรรม โดยมีวันเรียนที่ยาวขึ้นว่าโรงเรียนอื่นๆ เปิดโอกาสให้นักเรียน DBS ได้ทำกิจกรรมที่หลากหลาย ค้นพบความถนัดและ Passion ของตนเอง
ตัวอย่างของผู้นำระดับโลก ที่เรียนจบจากโรงเรียนเอกชนอังกฤษชื่อดังระดับโลก เช่น เจ้าชายวิลเลี่ยม เจ้าชายแฮรี่ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย
- เพราะ DBS Denla British School เข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีพรสวรรค์ของตนเอง
DBS Denla British School เน้นการสอนแบบ Personalised learning หรือการเรียนรู้เฉพาะบุคคล คือ การให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางการเรียนการสอน ตามความถนัดหรือเป้าหมายของตนเอง โดยคุณครู DBS มีความรู้ความเชี่ยวชาญในแต่ละรายวิชาที่สอน และเชื่อว่านักเรียนแต่ละคนมีความสามารถและความถนัดที่แตกต่างกัน ซึ่งการเรียนการสอนเช่นนี้จะมีประสิทธิภาพในการผลักดันให้นักเรียนแต่ละคนบรรลุเป้าหมาย และมีความเป็นเลิศทางวิชาการ หรือในแต่ละด้านที่พวกเขาถนัด
- DBS Denla British School มาพร้อมการเรียนการสอนที่หลากหลาย
อีกจุดเด่นหนึ่งที่สำคัญของหลักสูตรอังกฤษ คือ ความหลากหลายของกิจกรรมเสริมหลักสูตร (Co-Curricular Activities) ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกทดลองทำกิจกรรมต่างๆ และค้นพบความถนัดของตนเอง ซึ่ง DBS มีความพร้อมทั้งในด้านของบุคลากร อุปกรณ์การเรียน และรายวิชาที่หลากหลาย เช่น คอมพิวเตอร์ ดนตรี ศิลปะ การแสดง พลศึกษา ภาษาจีนกลาง ภาษาญี่ปุ่น การทำอาหาร (Cooking) เทคโนโลยีการออกแบบ (Design Technology) วิชาออกแบบกราฟิก (Graphic Design) และ วิทยาการหุ่นยนต์ (Robotics) เป็นต้น
- DBS Denla British School ได้รับมาตรฐานระดับสากล
DBS ได้รับการรับรองจาก ISAT, ONESQA และ CIS ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำอันดับหนึ่ง ที่ประเมินคุณภาพและรับรองมาตรฐานทางการศึกษาของโรงเรียนนานาชาติทั่วโลก โดยมีการประเมินทั้งด้านการเรียนการสอน อาคารสถานที่ และความปลอดภัย ซึ่งที่ DBS มุ่งเน้นความเข้มแข็งทางด้านวิชาการ ครูผู้สอนต้องจบด้านการศึกษาที่อังกฤษ (PGCE) และมีประสบการณ์การสอนในโรงเรียนระบบอังกฤษมาอย่างน้อย 2 ปี ความพร้อมของสถานที่และอุปกรณ์การสอนที่มีคุณภาพเทียบกับโรงเรียนเอกชนชั้นนำในประเทศอังกฤษ รวมถึงระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล
นอกจากนี้การเรียนการสอนที่ DBS ยังได้รับการรับรองด้านวิชาการจากสถาบัน Cambridge International School และสถาบัน EdExcel Approved Centre และ DBS ยังเป็นสมาชิกของ FOBISIA (Federation of British International Schools in Asia) อีกด้วย
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครอง ที่ต้องการส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติ ที่สอนหลักสูตรอังกฤษ ในโรงเรียนชั้นนำระดับประเทศแบบนี้ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ DBS Denla British School
อีเมล: [email protected]
เว็บไซต์: www.dbsbangkok.ac.th
เบอร์โทรศัพท์: (+66) 02 666 1933
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!