ช่วง 2 ปีแรกของชีวิตถือเป็นช่วงเวลาทองของพัฒนาลูกน้อยในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรากฐานของนิสัยต่างๆ ที่จะติดตัวลูกน้อยไปตลอดชีวิต บทความนี้ มีคำแนะนำสำหรับคุณพ่อคุณแม่ 5 เรื่องสำคัญที่ควรปลูกฝัง ในช่วง 2 ปีแรกของลูกน้อย ที่เป็นประโยชน์และนำไปปรับใช้ได้จริง ในการปลูกฝังนิสัยเชิงบวกให้กับลูกน้อย เพื่อให้เติบโตเป็นเด็กที่มีคุณภาพและมีความสุข
5 เรื่องสำคัญที่ควรปลูกฝัง ในช่วง 2 ปีแรกของลูกน้อย
1. นิสัยการกินที่ดี
การสร้างนิสัยการกินที่ดีให้ลูกน้อยตั้งแต่ 2 ปีแรกของลูกน้อย เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะช่วงวัยนี้เป็นช่วงที่เด็กกำลังพัฒนาทั้งร่างกายและสมองอย่างรวดเร็ว การปลูกฝังนิสัยการกินที่ดีในช่วงนี้จะส่งผลดีต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของเด็กในระยะยาว ทั้งในด้าน พัฒนาการทางร่างกายที่แข็งแรง พัฒนาการทางสมองที่ดี มีความสุขกับการกินอาหารที่มีประโยชน์ และสร้างนิสัยการกินที่ดีในระยะยาว
7 ข้อพ่อแม่ต้องรู้ สร้างนิสัยการกินที่ดีให้ลูกน้อย
- ใส่ใจสัญญาณหิวอิ่มของลูก ในช่วงแรก คุณแม่ควรสังเกตความหิวและความอิ่มของลูกน้อย ตอบสนองอย่างอ่อนโยนและรวดเร็ว และควรสร้างบรรยากาศการกินที่ผ่อนคลาย โดยงานวิจัยพบว่า เด็กที่กินนมแม่มักมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมเมื่อโตขึ้น และสามารถควบคุมปริมาณนมที่กินได้ดีกว่า ลดความเสี่ยงของการกินมากเกินไป overfeeding น้อยลง
- การฝึกกินอาหารด้วยตัวเอง ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาการกล้ามเนื้อ การหยิบจับอาหารช่วยพัฒนากล้ามเนื้อมือและนิ้ว การตักอาหารเข้าปากช่วยพัฒนาการประสานงานระหว่างมือและตา ทั้งยังช่วยให้ลูกรู้สึกเป็นอิสระและมีความมั่นใจในตัวเอง
- กินอาหารหลากหลาย ลดอาหารจุกจิก การให้ลูกน้อยได้ลองอาหารหลากหลายชนิดตั้งแต่เด็ก จะช่วยลดโอกาสที่ลูกจะติดกินอาหารจุกจิกในอนาคต ทำให้ลูกมีแนวโน้มที่จะเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า
- เริ่มรสชาติเมื่อ 9 เดือน ทารกจะเริ่มรับรู้รสชาติได้ดีเมื่ออายุประมาณ 9 เดือน ดังนั้น เมื่อเริ่มให้อาหารตามวัย ควรให้ลูกได้กินอาหารที่มีสีสัน เนื้อสัมผัส และรสชาติที่หลากหลาย (แต่ไม่ควรปรุงรสก่อน 1 ขวบ) จะช่วยให้ลูกคุ้นเคยกับรสชาติและเนื้อสัมผัสที่หลากหลาย ทำให้ลูกไม่เลือกกิน และได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน
- ผักผลไม้สำคัญ การให้ลูกกินผักและผลไม้ตั้งแต่เนิ่น ๆ และเป็นประจำ จะช่วยให้ลูกคุ้นเคยและมีแนวโน้มที่จะชอบกินผักและผลไม้เมื่อโตขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว
- เลี่ยงน้ำหวาน ทารกและเด็กเล็กที่ดื่มน้ำผลไม้และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล มีความเสี่ยงที่จะฟันผุ และอาจดื่มน้ำเปล่าน้อยลงเมื่อโตขึ้น
- น้ำ นม สำหรับเด็กเล็ก สำหรับเด็กวัยเตาะแตะ ทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพที่สุดคือ น้ำ นม หรือนมแม่ หากให้น้ำผลไม้ ควรจำกัดปริมาณไม่เกิน 4 ออนซ์ต่อวัน

2. ฝึกการนอนหลับให้เป็นเวลา
การฝึกให้ลูกนอนหลับเป็นเวลาเป็นสิ่งสำคัญต่อการเติบโตของลูก ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้
-
สร้างกิจวัตรประจำวันในการนอนหลับให้ลูก
การกำหนดเวลานอนและเวลาตื่นที่แน่นอนในแต่ละวัน แม้กระทั่งในวันหยุดสุดสัปดาห์ จะช่วยให้ร่างกายของลูกน้อยปรับตัวเข้ากับวงจรการนอนหลับตามธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การทำกิจกรรมก่อนนอนเป็นประจำ เช่น การอาบน้ำอุ่นๆ การอ่านนิทานสนุกๆ หรือการฟังเพลงบรรเลงเบาๆ จะช่วยส่งสัญญาณให้ร่างกายของลูกน้อยรู้ว่าถึงเวลาพักผ่อนแล้ว
หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นให้ตื่นตัวก่อนนอน เช่น การดูโทรทัศน์หรือการเล่นเกม จะช่วยให้ลูกน้อยผ่อนคลายและหลับได้ง่ายขึ้น
ลองพูดกับลูกว่า “ถึงเวลานอนแล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาจะได้สดชื่น” หรือ “ก่อนนอน เรามาอ่านนิทานสนุกๆ กัน” จะช่วยให้ลูกน้อยเข้าใจและคุ้นเคยกับกิจวัตรก่อนนอน
-
ให้ลูกได้นอนหลับอย่างเพียงพอ
การนอนหลับอย่างเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นต่อพัฒนาการของลูกน้อย เด็กแต่ละวัยมีความต้องการเวลานอนที่แตกต่างกันไป โดยเฉพาะเด็กเล็กอาจต้องการเวลานอนมากถึง 10-12 ชั่วโมงต่อวัน
การสังเกตอาการง่วงของลูกน้อย เช่น การหาวบ่อยๆ หรือการขยี้ตา จะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ทราบว่าลูกน้อยต้องการพักผ่อน และจัดเวลานอนให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกน้อยได้
ลองพูดกับลูกว่า “นอนหลับพักผ่อนเยอะๆ จะได้แข็งแรง” หรือ “ถ้าหนูง่วง บอกแม่ได้นะ” จะช่วยให้ลูกน้อยรับรู้ถึงความสำคัญของการนอนหลับได้ดีขึ้น
-
สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการนอนหลับ
การสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในห้องนอนส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับของลูกน้อย ห้องนอนที่เงียบสงบและมืดสนิทจะช่วยให้ลูกน้อยหลับได้สนิทและไม่ถูกรบกวน ควรการปิดไฟ ลดเสียงดัง ควบคุมอุณหภูมิในห้องนอนให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป นอกจากนี้ ที่นอนที่สบาย สะอาด และถูกสุขลักษณะ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ลองพูดกับลูกว่า “ปิดไฟแล้วนะ นอนหลับฝันดี” หรือ “ห่มผ้าอุ่นๆ จะได้หลับสบาย” จะช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลาย ทำให้ลูกน้อยรู้สึกปลอดภัยและหลับได้ง่ายขึ้น

3. การสื่อสารที่ดี
เริ่มต้นจากการพูดคุยกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งการกระทำนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสื่อสารธรรมดา แต่เป็นการกระตุ้นพัฒนาการทางภาษาของลูกน้อยโดยตรง ทำให้ลูกคุ้นเคยกับเสียงและจังหวะของภาษาที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน
ตัวอย่างการเล่าเรื่องให้ลูกฟัง
- เล่าเรื่องประจำวัน เช่น วันนี้แม่ไปตลาดมา เจอผักเยอะแยะเลย มีมะเขือเทศสีแดง ๆ ด้วย
- เล่าเรื่องที่เกี่ยวกับลูก เช่น เมื่อวานหนูหัวเราะเสียงดังเลย ตอนที่พ่อเล่นจ๊ะเอ๋ด้วย
- อธิบายสิ่งที่คุณกำลังทำ เช่น แม่กำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หนูนะ พ่อกำลังทำอาหารเย็นนะ
ตัวอย่างการถามคำถามลูก (แม้ลูกจะยังตอบไม่ได้)
- ถามคำถามง่ายๆ เช่น หนูอยากกินนมไหมลูก?
- ถามคำถามเปิด เช่น วันนี้อากาศดีจังเลยเนอะ?
นอกจากนี้ การอ่านนิทานให้ลูกฟังก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มพูนคำศัพท์และทักษะการฟังของลูกเท่านั้น แต่ยังเป็นการปลูกฝังความรักในการอ่านให้กับลูกน้อยอีกด้วย
เคล็ดลับการอ่านหนังสือกับลูก
- เลือกหนังสือที่เหมาะสมกับวัย เช่น หนังสือภาพสีสันสดใส หนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสัตว์ สิ่งของ หรือเรื่องราวใกล้ตัว
- อ่านออกเสียงอย่างชัดเจน ใช้โทนเสียงที่แตกต่างกันไปตามเนื้อหา ทำเสียงประกอบ
- ชี้ภาพในหนังสือ นี่คือแมว แมวร้อง ‘เหมียว’
- ถามคำถามเกี่ยวกับหนังสือ แมวอยู่ที่ไหน? หนูชอบตัวละครตัวไหน?
และสุดท้าย การร้องเพลงไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาและจังหวะของลูกเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่สร้างความผูกพันอันแน่นแฟ้นระหว่างพ่อแม่และลูกน้อยได้อีกด้วย
เคล็ดลับการร้องเพลงกับลูก
- เลือกร้องเพลงเด็ก เพลงที่มีเนื้อหาและทำนองง่าย ๆ เพลงที่มีท่าทางประกอบ
- ชวนลูกร้องเพลงไปด้วยกัน สบตาขณะร้องเพลง ปรบมือ เต้นไปด้วยกัน
- ใช้เพลงในการทำกิจกรรม เช่น ร้องเพลงกล่อมลูกนอน ร้องเพลงขณะอาบน้ำให้ลูก

4. ฝึกให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง
การให้ลูกได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง รวมถึงได้สำรวจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างอิสระ ดีต่อพัฒนาการของลูกน้อยหลายด้าน
- การทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เช่น การกินอาหารด้วยมือ การพยายามใส่เสื้อผ้า การหยิบจับของเล่น จะช่วยให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้สำเร็จ ซึ่งจะนำไปสู่ความรู้สึกภาคภูมิใจและความมั่นใจในตนเอง
- การสำรวจและเรียนรู้ด้วยตัวเอง เมื่อลูกได้สำรวจสิ่งแวดล้อมและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวเอง จะช่วยให้ลูกมีความอยากรู้อยากเห็น มีความคิดสร้างสรรค์ และมีความเชื่อมั่นในความสามารถของตนเองในการเรียนรู้
- พัฒนากล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวร่างกาย การหยิบจับสิ่งของ การเดิน การวิ่ง จะช่วยพัฒนาทักษะการใช้กล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่ของลูกน้อย
- ทักษะการแก้ปัญหา เมื่อลูกได้สำรวจและเรียนรู้ด้วยตัวเอง ลูกจะได้เผชิญกับปัญหาต่างๆ และเรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
- ทักษะทางสังคมและอารมณ์ การมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและผู้อื่น จะช่วยให้ลูกเรียนรู้ทักษะทางสังคม เช่น การปรับตัว การเข้าสังคม และการควบคุมอารมณ์
- การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ การที่ลูกได้ใช้ประสาทสัมผัสต่างๆ ในการสำรวจและเรียนรู้ จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและส่งเสริมพัฒนาการทางสมอง
- การสร้างการเชื่อมต่อในสมอง การที่ลูกได้ทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จะช่วยสร้างการเชื่อมต่อใหม่ๆ ในสมอง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการเรียนรู้และความจำ
วิธีส่งเสริมให้ลูกทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง
- ให้ลูกได้ฝึกกินอาหารด้วยตัวเอง โดยอาจเริ่มจากการใช้มือหยิบอาหารชิ้นเล็กๆ
- ให้ลูกได้ฝึกแต่งตัวด้วยตัวเอง โดยอาจเริ่มจากการใส่หรือถอดเสื้อผ้าที่ง่ายๆ
- ให้ลูกได้ฝึกเก็บของเล่นด้วยตัวเอง โดยอาจให้ลูกเก็บของเล่นใส่กล่องหรือตะกร้า
- ให้ลูกได้สำรวจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างอิสระ จัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้ลูกได้เรียนรู้ โดยมีพ่อแม่คอยดูแลและให้กำลังใจ
5. ฝึกการดูแลสุขอนามัยส่วนตัว
การฝึกให้ลูกดูแลสุขอนามัยส่วนตัวเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการปลูกฝังนิสัยรักความสะอาดและป้องกันโรคต่างๆ เด็กที่ได้รับการฝึกฝนให้ดูแลตัวเองตั้งแต่เล็กจะมีแนวโน้มที่จะมีสุขภาพแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต ซึ่งสามารถทำได้โดยดังนี้
- สอนให้ลูกรู้จักการล้างมือให้สะอาด บอกลูกว่า ล้างมือจะช่วยให้มือสะอาด ไม่มีเชื้อโรค และสร้างบรรยากาศให้สนุกสนาน เช่น ร้องเพลงขณะล้างมือ หรือทำฟองสบู่ให้ลูกเล่น
- สอนให้ลูกรู้จักการดูแลร่างกายให้สะอาด สอนลูกให้อาบน้ำ สระผม แปรงฟัน และตัดเล็บให้ลูกเป็นประจำ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรค
หวังว่า 5 เรื่องสำคัญที่ควรปลูกฝัง ตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เรานำมาฝาก จะช่วยคุณพ่อคุณแม่วางในการรากฐานให้ลูกเติบโตเป็นเด็กที่มีคุณภาพ มีความสุข และประสบความสำเร็จในชีวิตนะคะ
ที่มา : healthychildren, จิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นโดยนักจิตวิทยา
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
15 วิธีกระตุ้นสมองทารก ช่วยให้ลูกฉลาด ทำได้ตั้งแต่แรกเกิด
20 กิจกรรมพัฒนาสมองลูกน้อย ปลดล็อคพลังสมองลูกวัยเตาะแตะ
2 พื้นฐานสำคัญในการดูแลทารก คู่มือสำหรับพ่อแม่มือใหม่ ที่คุณอาจไม่เคยรู้
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!