12 วิธีลดพฤติกรรม ลูกชอบดูดนิ้ว ภัยเงียบทำร้ายฟันและพัฒนาการ!

lead image

เข้าใจสาเหตุ ลูกชอบดูดนิ้ว ผลเสียจากการดูดนิ้วที่ต้องระวัง และวิธีลดพฤติกรรมอย่างเหมาะสม เพื่อให้คุณแม่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธี

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การดูดนิ้วเป็นพฤติกรรมปกติที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจสงสัยว่าทำไมลูกชอบดูดนิ้ว และพฤติกรรมนี้จะส่งผลเสียต่อลูกหรือไม่ บทความนี้จะช่วยให้คุณแม่เข้าใจถึงสาเหตุที่เด็กชอบดูดนิ้ว ผลเสียจากการดูดนิ้วที่ต้องระวัง และแนวทางการแก้ไขที่เหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างถูกวิธีค่ะ

การดูดนิ้วเป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการตามธรรมชาติในเด็กเล็ก ซึ่งสามารถพบได้บ่อยครั้ง โดยทารกเริ่มดูดนิ้วตั้งแต่อยู่ในครรภ์แม่ ไปจนถึงอายุประมาณ 2 ขวบ ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงและหายไปเอง อย่างไรก็ตาม เด็กอาจดูดนิ้วมากขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ เช่น เมื่อรู้สึกเครียด ง่วงนอน วิตกกังวล กลัว หรือเมื่อถูกขัดใจ รวมถึงในช่วงเวลาที่รู้สึกเพลิดเพลิน เช่น ขณะดูโทรทัศน์ 

 

สาเหตุที่ทำให้ ลูกชอบดูดนิ้ว

เด็กดูดนิ้วจากหลายสาเหตุ เด็กบางคนอาจรู้สึกเพลิดเพลินกับการดูดนิ้ว บางคนใช้การดูดนิ้วเพื่อปลอบใจตนเองเมื่อรู้สึกเหงา หรือบางคนอาจดูดนิ้วเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ เนื่องจากเด็กๆ มักจะเรียนรู้ว่าเมื่อดูดนิ้ว พ่อแม่จะเข้ามาดูแลหรือสนใจ

ในช่วงวัยทารกแรกเกิดถึง 2 ปี เด็กจะอยู่ในช่วง “Oral Stage” ซึ่งเป็นช่วงที่เด็กต้องการการตอบสนองทางปากเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กๆ รู้สึกพึงพอใจเมื่อได้ดูดนม ดูดนิ้ว หรืออมนิ้ว

หากพฤติกรรมการดูดนิ้วของเด็กเกิดขึ้นเพื่อปลอบประโลมตนเอง คุณพ่อคุณแม่ไม่จำเป็นต้องกังวลและไม่จำเป็นต้องพยายามให้ลูกเลิกพฤติกรรมนี้ อย่างไรก็ตาม หากลูกยังคงมีพฤติกรรมการดูดนิ้วหลังจากอายุ 1 ปีไปแล้ว ควรเริ่มฝึกให้ลูกเลิก เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อการสบฟัน ทำให้ฟันยื่นได้ และหากปล่อยไว้นานจนถึงอายุ 2-3 ปี การฝึกให้เลิกจะยิ่งทำได้ยากขึ้น

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ลูกชอบดูดนิ้ว ส่งผลเสียอย่างไร?

โดยทั่วไปแล้ว เด็กส่วนใหญ่จะเลิกดูดนิ้วได้เองเมื่ออายุระหว่าง 2-4 ปี แต่หากเด็กยังคงดูดนิ้วต่อไปหลังจากนั้น อาจส่งผลเสียหลายประการ

  • ฟันหน้ายื่น การดูดนิ้วเป็นเวลานานและรุนแรงอาจทำให้ฟันหน้าบนยื่นออกมามากกว่าปกติ
  • ฟันสบผิดปกติ การเรียงตัวของฟันอาจผิดปกติ ทำให้ฟันบนและฟันล่างสบกันไม่สนิท หรือเกิดภาวะฟันสบเปิด (Open bite) ซึ่งฟันหน้าบนและล่างจะไม่ชนกันเมื่อกัดฟัน
  • ผิวหนังบริเวณนิ้วมือแห้ง แตก การดูดนิ้วเป็นประจำอาจทำให้ผิวหนังบริเวณนิ้วมือเปียกชื้นอยู่เสมอ เมื่อน้ำลายระเหยไป ผิวหนังอาจแห้ง แตก หรือลอกได้
  • การติดเชื้อ มือเป็นส่วนที่สัมผัสกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย จึงอาจมีเชื้อโรคสะสมอยู่ หากเด็กดูดนิ้วหรืออมนิ้ว ก็อาจนำพาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ เช่น ท้องเสีย หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
  • ถูกเพื่อนล้อ ในเด็กโต การดูดนิ้วอาจทำให้ถูกเพื่อนล้อเลียน ทำให้เด็กขาดความมั่นใจในตนเอง หรือรู้สึกอับอาย

 

ลูกชอบดูดนิ้ว เมื่อไหร่ที่ควรเริ่มกังวล?

หากเด็กยังไม่หยุดดูดนิ้วเมื่ออายุเกิน 2 ขวบ ผู้ปกครองควรเริ่มปรึกษากับทันตแพทย์ เพื่อหาแนวทางในการดูแลและแก้ไขที่เหมาะสมกับเด็กแต่ละคน

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ปัจจัยที่อาจทำให้เด็กยังคงดูดนิ้วต่อไป

  • พฤติกรรมตามธรรมชาติ การดูดนิ้วเป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติที่พบได้บ่อยในเด็ก โดยเฉพาะในช่วงขวบปีแรก
  • การติดเป็นนิสัย เด็กอาจยังคงดูดนิ้วต่อไป หากถูกปล่อยให้ติดกับพฤติกรรมนี้ โดยไม่ได้รับการฝึกฝนหรือเบี่ยงเบนแก้ไข จนกลายเป็นนิสัย
  • การระบายความเครียด การดูดนิ้วอาจเป็นวิธีการระบายความเครียดจากความวิตกกังวล เช่น การพลัดพรากจากพ่อแม่ หรือความตื่นเต้น
  • การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม เช่น การถูกทอดทิ้ง หรือการขาดการกระตุ้น อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เด็กยังคงดูดนิ้วต่อไป

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ลูกชอบดูดนิ้ว ควรทำอย่างไรดี?

การดูดนิ้วเป็นเรื่องปกติในเด็กเล็ก แต่ควรค่อย ๆ ลดพฤติกรรมนี้ก่อนที่เด็กจะโตขึ้น โดยมีหลายวิธีที่ช่วยได้ ดังนี้

  1. เข้าใจและไม่กังวลว่าการดูดนิ้วเป็นเรื่องปกติในเด็กเล็ก คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลมากเกินไป แต่ควรค่อย ๆ ช่วยลูกปรับพฤติกรรม
  2. ให้ความสนใจลูก อย่าปล่อยให้ลูกเหงา เล่นกับลูก ชวนทำกิจกรรม เพื่อไม่ให้ลูกรู้สึกเบื่อหรือเหงาจนต้องดูดนิ้ว
  3. เบี่ยงเบนความสนใจ หาของเล่นเขย่ากรุ๊งกริ๊ง หรือกิจกรรมที่ต้องใช้มือ เช่น จ๊ะเอ๋ ตบแปะ จับปูดำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากการดูดนิ้ว 
  4. ใช้หนังสือนิทานช่วยสอน อ่านนิทานที่สอนเรื่องการเลิกดูดนิ้ว เพื่อให้ลูกเข้าใจและอยากทำตาม
  5. เพิ่มกิจกรรมออกกำลังกาย ให้ลูกออกกำลังกายตอนเย็น เพื่อให้เหนื่อยและหลับง่ายขึ้น ลดเวลาดูดนิ้วก่อนนอน
  6. ปรับเปลี่ยนอาหาร ให้ลูกกินอาหารที่ต้องเคี้ยว เพื่อฝึกกล้ามเนื้อปากและลดความอยากดูดนิ้ว
  7. แปะพลาสเตอร์ที่นิ้ว ทำให้ลูกดูดนิ้วได้ยากขึ้น เป็นการช่วยเตือนตัวเองไม่ให้ดูดนิ้ว
  8. ให้กำลังใจและชมเชย เมื่อลูกพยายามเลิกดูดนิ้ว เพื่อให้ลูกมีกำลังใจทำต่อไป
  9. ไม่ลงโทษ การดุหรือทำโทษจะทำให้ลูกเครียดและอาจดูดนิ้วมากขึ้น ควรใช้วิธีอื่นที่สร้างสรรค์กว่า
  10. พูดคุยกับเด็กโต อธิบายเหตุผลที่ควรเลิกดูดนิ้ว และให้กำลังใจเมื่อลูกพยายาม
  11. หาสาเหตุของความเครียด สังเกตว่าอะไรที่ทำให้ลูกเครียด และพยายามแก้ไขที่ต้นเหตุ
  12. ปรึกษาทันตแพทย์ หากลูกดูดนิ้วจนฟันแท้ขึ้น อาจมีปัญหา ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ

 

การดูดจุกหลอกจะปลอดภัยกว่าหรือไม่

ในแง่ของการเลิกพฤติกรรม จุกหลอกอาจจะดูปลอดภัยกว่าการดูดนิ้ว เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว การเลิกดูดจุกหลอกมักจะทำได้ง่ายกว่าการเลิกดูดนิ้ว ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ติดตัวเด็กไป หากจะให้ลูกดูดจุกหลอก ควรเริ่มให้เมื่อลูกอายุมากกว่า 1 เดือนขึ้นไป เพื่อให้การให้นมแม่เข้าที่ก่อน อย่างไรก็ตาม การดูดจุกหลอกเป็นเวลานานก็สามารถส่งผลเสียได้เช่นเดียวกับการดูดนิ้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการเรียงตัวของฟันและโครงสร้างขากรรไกร ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาการสบฟันหรือฟันยื่นได้

 

 

การฝึกลูกเลิกดูดจุกหลอก

ควรวางแผนและฝึกให้ลูกเลิกดูดจุกหลอกเมื่อลูกอายุประมาณ 6 เดือน หรือตามคำแนะนำของแพทย์หรือทันตแพทย์เด็ก เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับฟันและขากรรไกร โดยข้อดีอย่างหนึ่งของจุกหลอกคือ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่สามารถนำจุกหลอกออกไปจากลูกได้ ซึ่งทำให้การเลิกพฤติกรรมนี้ทำได้ง่ายกว่าการเลิกดูดนิ้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจุกหลอกอาจเป็นทางเลือกที่ยอมรับได้ในระยะสั้น แต่ก็ควรมีการใช้งานอย่างจำกัด และควรมีการวางแผนเพื่อเลิกพฤติกรรมนี้ให้ได้ก่อนที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากของลูกน้อย

 

ลูกชอบดูดนิ้ว ถึงขั้นไหนต้องพาไปหาหมอ

คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์หากพบอาการเหล่านี้

  1. ปัญหาการสบฟัน ฟันมีลักษณะผิดปกติ เช่น ฟันเหยิน หรือการสบฟันไม่ตรงกัน
  2. ความผิดปกติของนิ้ว นิ้วที่ดูดมีอาการเปื่อย ลีบ หรือผิดรูป
  3. การติดเชื้อบ่อย เด็กมีการติดเชื้อในร่างกายบ่อยครั้ง เช่น ท้องเสียบ่อย ซึ่งอาจเกิดจากการนำเชื้อโรคจากมือเข้าสู่ร่างกาย
  4. พฤติกรรมต่อเนื่อง เด็กยังคงดูดนิ้วหรืออมนิ้วอย่างต่อเนื่องหลังจากอายุ 2 ปี

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การดูดนิ้วเป็นเรื่องปกติในเด็กเล็กและมักหายเอง แต่หากลูกยังดูดนิ้วต่อเนื่อง อาจมีผลเสียต่อฟันและขากรรไกร การปรึกษาทันตแพทย์เด็กตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ได้รับคำแนะนำและการป้องกันที่เหมาะสมต่อไปค่ะ

 

ที่มา : คู่มือสำหรับพ่อแม่ เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการดูแลและพัฒนาเด็ก , โรงพยาบาลเด็กสินแพทย์ , thaipbskids

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ขี้หูเด็ก ควรแคะออกไหม? ทำไมหมอถึงไม่แนะนำให้ แคะขี้หู

ทารกง่วงแต่ไม่ยอมนอน ทำไงดี? แนะวิธีแก้ ก่อนกระทบพัฒนาการลูกน้อย!

15 วิธีกระตุ้นสมองทารก ช่วยให้ลูกฉลาด ทำได้ตั้งแต่แรกเกิด