ลูกสมาธิสั้น แก้ไขอย่างไร ไม่ให้กระทบพัฒนาการและการเรียนรู้

เมื่อ ลูกสมาธิสั้น วิธีการแก้ไขที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือ ปรับพฤติกรรมค่ะ เพื่อไม่ให้ภาวะสมาธิสั้น กระทบพัฒนาการและการเรียนรู้ของลูกน้อย

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ลูกน้อยในช่วงวัย 0-6 ปี อันเป็นช่วงเวลาทองของการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว พัฒนาการทางสมองและร่างกายพร้อมเปิดรับการเรียนรู้ตามธรรมชาติอย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้น ไม่ว่าจะเห็นอะไรลูกก็จะสนใจไปทั้งหมด ซึ่งในยุคดิจิทัลที่ทุกสิ่งหมุนอย่างรวดเร็วเช่นในปัจจุบัน สมาร์ทโฟนเข้ามามีส่วนสำคัญในชีวิต และเป็นสิ่งดึงดูดทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี ทำให้หากคุณพ่อคุณแม่หลุดโฟกัสไปจากลูกเพียงเสี้ยวเวลา รูปแบบและวิธีการเรียนรู้ของลูกก็อาจเปลี่ยนไป กลายเป็นการจดจ่ออยู่กับหน้าจอ ที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการเรียนรู้ รวมทั้งอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงทำให้ ลูกสมาธิสั้น อีกด้วย

 

สมาธิสั้น คืออะไร

สมาธิสั้น หรือ attention-deficit hyperactivity disorder (ADHD) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กค่ะ ในประเทศไทยพบประมาณ 3-5% ของเด็กในวัยเรียน โดยเฉพาะช่วงอายุระหว่าง 3-7 ปี

ภาวะสมาธิสั้นนี้เกิดจากความผิดปกติของสมอง ซึ่งจะทำให้ลูกน้อย ซนมากกว่าปกติ อยู่ไม่นิ่ง เสียงดัง ขาดสมาธิ ขี้ลืม ใจร้อน ฯลฯ อาจส่งผลกระทบต่อการเรียน การทำงาน และการเข้าสังคม เนื่องจากลูกน้อยจะไม่มีสมาธิในการทำงานหรือเล่น ไม่สามารถตั้งใจฟังสิ่งต่าง ๆ ได้นาน

 

สัญญาณที่บ่งบอกว่า ลูกสมาธิสั้น อาการ เป็นอย่างไร

อาการที่แสดงออกชัดว่า ลูกสมาธิสั้น ก็คือ ไม่มีสมาธิ วอกแวกง่าย อยู่ไม่นิ่ง ซน ควบคุมพฤติกรรมตัวเองได้ยาก และหุนหันพลันแล่น รอคอยไม่ได้ หรือชอบพูดโพล่ง เด็กบางคนจะมีความผิดปกติของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับอายุและระดับพัฒนาการ โดยมักมีอาการแสดงก่อนช่วงอายุ 7 ปี และมีอาการต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งคุณแม่สามารถสังเกตอาการลูกน้อยได้จาก 3 กลุ่มอาการหลัก คือ

1) สมาธิสั้น (Inattention)

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • วอกแวกง่าย ตั้งสมาธิลำบาก
  • ไม่ฟังเมื่อมีคนพูดด้วย
  • ทำตามคำสั่ง หรือทำกิจกรรมไม่สำเร็จ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้ความพยายาม
  • เลินเล่อ ทำของหายบ่อย ๆ
  • จัดระเบียบกิจกรรมไม่ได้ หรือทำได้ยากมาก
  • ลืมกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำสม่ำเสมอ

2) ซน ไม่อยู่นิ่ง (Hyperactivity)

  • อยู่นิ่งไม่ได้ ขยับตัวไปมาอยู่แทบจะตลอดเวลา นั่งไม่ติดที่ ต้องลุกเดินไปมา
  • ซนมากกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
  • มักจะวิ่งวุ่น หรือปีนป่ายในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม
  • ไม่สามารถเล่นเงียบ ๆ ได้
  • พูดมากเกินไป

3) หุนหันพลันแล่น (Impulsiveness) ไม่สามารถรอคอยได้ และชอบพูดโพล่ง พูดขัดจังหวะ หรือสอดแทรกผู้อื่นในวงสนทนา

 

สาเหตุที่ทำให้ ลูกสมาธิสั้น 

อาการสมาธิสั้นสามารถแสดงออกตั้งแต่ในวัยเด็ก และส่วนใหญ่มักเป็นต่อเนื่องไปจนถึงวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ ซึ่งในทางกายภาพนั้นพบว่า สมองส่วนที่มีหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับสมาธิและความยับยั้งชั่งใจของเด็กสมาธิสั้น มักจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ หรือทำงานได้น้อยกว่าปกติ รวมถึงมีสารสื่อประสาท เช่น Dopamine และ Epinephrine ที่น้อยกว่าปกติ โดยสาเหตุของการเกิดโรคสมาธิสั้นในเด็กนั้น คือ

  • การถ่ายทอดทางพันธุกรรม โดยเด็กที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นโรคสมาธิสั้น มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ถึง 4 เท่า
  • กรณีคุณพ่อคุณแม่ติดบุหรี่ เหล้า สารเสพติด หรือป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ ก็เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคสมาธิสั้นได้
  • การที่คุณแม่ขาดสารอาหาร หรือถูกสารพิษบางชนิด เช่น ตะกั่ว ในระหว่างตั้งครรภ์ ก็จะมีโอกาสทำให้ลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น

ทั้งนี้ 30-40% ของเด็กสมาธิสั้นจะพบความบกพร่องในทักษะการเรียน (learning Disorders) ร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงดูไม่ได้ทำให้ลูกเป็นโรคสมาธิสั้น เป็นเพียงปัจจัยสำคัญที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง แต่จะส่งผลให้เกิดภาวะสมาธิสั้นเทียมได้ เช่น หากคุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้ลูกน้อยอยู่กับหน้าจอ (ทีวี โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต) มากจนเกินไป จะส่งผลให้พัฒนาการทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม ของลูกถูกจำกัดได้ ไม่ได้นำออกมาใช้ในการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ อาจนำไปสู่ อาการสมาธิสั้น หรือ โรคสมาธิสั้นเทียม (Pseudo-Attention deficit / Hyperactivity disorder) (Pseudo-ADHD) ซึ่งเป็นภาวะที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นค่ะ

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

ลูกสมาธิสั้น แก้ไขอย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบพัฒนาการและการเรียนรู้

เนื่องจากการที่ ลูกสมาธิสั้น จะทำให้เขามีปัญหาในการควบคุมพฤติกรรมของตนเอง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็จะส่งผลต่อการเรียนและการเข้าสังคมกับผู้อื่น ทั้งนี้ เด็กสมาธิสั้นมักถูกทำโทษหรือถูกตำหนิบ่อย ๆ มีผลการเรียนที่ไม่ดี มีปัญหาในการเข้ากับเพื่อน รู้สึกโดดเดี่ยว ไร้ค่า ขาดความภูมิใจในตนเอง มีความเสี่ยงที่จะซึมเศร้า ก้าวร้าว รวมถึงมีความเสี่ยงต่อการใช้สารเสพติด ดังนั้น ลูกสมาธิสั้น จึงเป็น ปัญหาที่ต้องแก้ไข เพื่อไม่ให้กระทบพัฒนาการลูกนะคะ 

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วิธีแก้เด็กสมาธิสั้น ไม่ให้โรคสมาธิสั้นปิดกั้นพัฒนาการลูก

เมื่อลูกสมาธิสั้น ทำไงดี ต้องบอกว่า โดยปกติแล้ว ประมาณ 20-30% ของเด็กสมาธิสั้น มีโอกาสจะหายได้เองเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น สามารถเรียนหนังสือหรือทำงานได้ตามปกติโดยไม่ต้องใช้ยา แต่ส่วนใหญ่จะยังคงมีความบกพร่องของสมาธิอยู่ แม้จะซนน้อยลง ก็ยังส่งผลต่อการศึกษา การทำงาน และการเข้าสังคมกับผู้อื่น จึงควรได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งในทางการแพทย์ระบุชัดเจนว่า โรคสมาธิสั้นสามารถรักษาได้ ทั้งด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการรักษาด้วยยาที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย คือ

  • กลุ่มยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นสมองและประสาทส่วนกลาง เช่น Methylphenidate
  • กลุ่มยาที่ไม่ออกฤทธิ์กระตุ้นสมองหรือประสาทส่วนกลาง เช่น Atomoxetine, Clonidine และยารักษาอาการซึมเศร้า

ดังนั้น กรณีที่คุณพ่อคุณแม่ว่าลูกสมาธิสั้น ก็สามารถเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสมได้ค่ะ

 

 

รักษา ลูกสมาธิสั้น ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ในกรณีที่ลูกน้อยอยู่ในวัยก่อนวัยเรียน และคุณพ่อคุณแม่สังเกตรวมถึงประเมินแล้วว่าลูกมีความเสี่ยงจะมีภาวะสมาธิสั้น ลองเริ่มการปรับพฤติกรรมลูกจากการทำกิจกรรมสนุก ๆ ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและสมาธิของเขาสิคะ

  • ชวนลูกเล่นเกม เช่น ต่อจิ๊กซอว์ จับคู่ภาพ ปริศนาอักษรไขว้ (Crossword) โดยเริ่มต้นจำนวนชิ้น จำนวนภาพ หรือจำนวนคำที่ใช้จากน้อยไปมาก จากใช้เวลา 5-10 นาทีต่อครั้ง ก็ค่อย ๆ เพิ่มไปจนเขาสามารถจดจ่อกับสิ่งที่กำลังเล่นอย่างสนุกได้สัก 30 นาที-1 ชั่วโมง
  • ส่งเสริมให้ลูกได้ทำกิจกรรมเสริมทักษะด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างสมาธิ อาทิ เล่นดนตรี ร้องเพลง วาดภาพระบายสี หรือทำงานประดิษฐ์อย่างการร้อยลูกปัดง่าย ๆ เป็นต้น

 

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

ส่วนในกรณีที่ ลูกเข้าสู่วัยเรียน และมีพฤติกรรมที่แสดงชัดว่ามีภาวะสมาธิสั้น คุณพ่อคุณแม่ควรเริ่มจาก

  • กำหนดกิจวัตรประจำวันให้เป็นระเบียบแบบแผน โดยจัดทำตารางเวลาให้ชัดเจนว่ากิจกรรมในแต่ละวันที่ลูกน้อยต้องทำมีอะไรบ้าง ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน เช่น ตื่นเช้า อาบน้ำ แต่งตัวไปโรงเรียน กลับจากโรงเรียนต้องทำการบ้าน กินข้าว อาบน้ำ แล้วจึงจะได้ดูทีวี จนกระทั่งเข้านอนในเวลาที่เหมาะสม
  • โฟกัสเฉพาะจุด เช่น ช่วงเวลาของการทำการบ้าน จะต้องไม่มีสิ่งอื่นมารบกวนสมาธิหรือดึงดูดความสนใจลูกน้อยออกไปจากการบ้าน ไม่เปิดทีวี ไม่มี IPad แท็บเล็ต หรือโทรศัพท์มือถืออยู่ใกล้ ๆ มีเพียงความเงียบสงบเหมาะกับการสร้างสมาธิเท่านั้น
  • แบ่งสิ่งที่ลูกต้องทำให้เขาทำทีละน้อย เป็นขั้นตอน และคอยอยู่กำกับให้ทำจนเสร็จ แล้วจึงเริ่มให้ทำงานใหม่ หรือสิ่งใหม่ เช่น ให้ลูกเก็บของเล่นลงกล่อง เสร็จแล้วจึงให้ยกกล่องของเล่นไปเก็บในตู้
  • พูดในขณะที่ลูกพร้อมที่จะฟัง โดยรอจังหวะที่เหมาะสม ไม่พูดขณะที่เขากำลังเล่นสนุก หรือบอกก่อนว่าให้ลูกตั้งใจฟัง โดยใช้คำพูดที่สั้น กระชับ ได้ใจความมากที่สุด ไม่เยิ่นเย้อ หรือใส่อารมณ์ด้านลบ
  • บอกลูกล่วงหน้าว่ามีอะไรที่อยากให้เขาทำ และเมื่อเขาทำได้อย่าลืมมอบคำชมเป็นกำลังใจให้ลูกน้อยทันที อาจเป็นคำพูดสั้น ๆ หรือการยกนิ้วโป้ง รวมถึงการโอบกอดลูกด้วยความรัก จะทำให้ลูกภูมิใจและอยากทำพฤติกรรมที่ดีนั้นอีกครั้ง และอีกครั้ง แต่หากลูกยังทำไม่ได้ อย่าตำหนินะคะ ค่อย ๆ ประคับประคองและปรับกันไปจนกว่าเขาจะทำได้สำเร็จก็พอค่ะ
  • เมื่อไรก็ตามที่ลูกทำความผิด หรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเนื่องจากสมาธิสั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องสงบอารมณ์ตัวเองไม่ให้โกรธ หงุดหงิด หรือแสดงความไม่พอใจนะคะ แต่ควรใช้ท่าทีจริงจังในการจัดการ โดยอาจแยกให้ลูกอยู่ในมุมสงบตามลำพังชั่วคราว หรือลงโทษด้วยวิธีที่ไม่รุนแรงและเป็นไปตามข้อตกลง เช่น ลดเวลาดูทีวี จำนวนชั่วโมงการเล่น ไม่ควรลงโทษทางกายรุนแรง ตวาด หรือต่อว่าลูกด้วยอารมณ์
  • ลูกที่มีภาวะสมาธิสั้นอาจดูเหมือนมีพลังงานเหลือล้นค่ะ ดังนั้น ลองให้เขาได้ใช้พลังงานและการไม่ชอบอยู่นิ่งให้เป็นประโยชน์ เช่น ชวนเขาทำงานบ้านที่สามารถช่วยกันทั้งครอบครัวได้ อาทิ ล้างรถ รดน้ำต้นไม้ หรือเล่นโยนบอล รับ-ส่งบอล ฯลฯ

Role Model สำคัญมาก 

ในการปรับพฤติกรรมทุกอย่าง ของลูกน้อยทุกช่วงวัย สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณพ่อคุณแม่ต้องจำให้ขึ้นใจคือ การเป็นแบบอย่าง (Role Model) ให้ลูกค่ะ เพราะลูกในช่วงก่อนวัยเรียนตั้งแต่ 2 ขวบ มีพัฒนาการด้านการเลียนแบบที่โดดเด่นมาก คุณพ่อคุณแม่ทำอะไร เป็นแบบไหน เขาพร้อมสวมบทบาทเดียวกันทันที ดังนั้น หากต้องการปรับพฤติกรรม สร้างสมาธิให้ลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี และช่วยฝึกลูกให้มีวินัย อดทนรอคอย บริหารเวลา และจัดระเบียบในการทำกิจกรรมอย่างเป็นระบบนะคะ

และใช่ค่ะ… หากกลัวว่า “หน้าจอ” ต่าง ๆ จะดึงความสนใจของลูกน้อยไป จนเขาไม่สามารถโฟกัสกิจกรรมที่ตั้งใจให้ทำได้ นอกจากจะต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เงียบ สงบ เหมาะกับการสร้างสมาธิแล้ว ในบรรยากาศ ณ ขณะนั้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวของคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเก็บออกไปเช่นกันค่ะ เพราะถ้า Role Model ที่เอ่ยปากให้ลูกทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ กำลังก้มหน้าก้มตาเลื่อนหน้าจอมือถือดูไปเรื่อย ๆ ลูกก็จะคิดว่าพ่อแม่ทำได้ เขาก็ทำได้เช่นกัน ดังนั้น ให้ช่วงทำกิจกกรรมของลูก เป็นเวลาคุณภาพของครอบครัวกันนะคะ

อย่างไรก็ตาม การรักษาโรคสมาธิสั้น มีความเป็นไปได้ว่าอาจต้องใช้การปรับพฤติกรรมควบคู่ไปกับการใช้ยา ดังนั้น หากมีความกังวลใจ ไม่มั่นใจ แนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ปรึกษาแพทย์หรือกุมารแพทย์ก่อนดีที่สุดนะคะ เพื่อจะได้ตั้งเป้าหมายการรักษาได้อย่างถูกต้อง ตรงจุด และสัมฤทธิ์ผลค่ะ

 

ที่มา : www.sosthailand.org , www.nakornthon.com , www.sikarin.com/health , www.samitivejhospitals.com , pharmacy.mahidol.ac.th

 

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

16 เกมส์สำหรับเด็ก กิจกรรมกระตุ้นพัฒนาการเด็กเล็ก ที่พ่อแม่ทำเองได้ง่าย ๆ

20 คำถามหลังเลิกเรียน ที่ควรถามลูกหลังกลับจากโรงเรียน

พฤติกรรมเลียนแบบของลูก ตัวอย่างที่ดีที่สุดของลูกคือพ่อแม่

บทความโดย

จันทนา ชัยมี