‘BHA’ เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมในสกินแคร์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ! เพราะ BHA เป็นสารสกัดที่จะช่วยผลัดเซลล์ผิว แก้สิวอุดตัน อีกทั้งยังช่วยกระชับรูขุมขน แต่หลายคนก็ยังไม่ทราบว่า วิธีเลือก BHA ที่ถูกต้อง และ เหมาะกับตนเองนั้นควรเลือกอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้ TAP เลยขออาสามาแนะนำ วิธีเลือก BHA สำหรับคนที่กำลังสนใจอยากลองใช้ต้องรู้จะได้เลือกใช้ได้ถูกและเห็นผลหลังใช้ !
ทำความรู้จัก BHA คืออะไร
Beta Hydroxy Acid หรือที่หลายคนรู้จักและเรียกกันว่า BHA เป็นกรดอ่อน ๆ ที่จะออกฤทธิ์ในการช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพรวมถึงเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกอย่างอ่อนโยน ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนกำจัดสิ่งสกปรกตกค้างในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหารูขุมขน และ สิวอุดตัน โดย Beta Hydroxy Acid หรือ BHA จะเป็นสารที่ละลายในน้ำมันจึงมีคุณสมบัติในการแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวหนัง และ รูขุมขนได้เป็นอย่างดี เพื่อเข้าไปทำความสะอาด และ ผลัดเซลล์ผิวเก่าเพื่อกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ที่สุขภาพดีนั่นเองค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง : แนะนำ 10 เซรั่ม AHA สกินแคร์หน้าใส ลดรอยสิว ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
แนะนำ วิธีเลือก BHA by TAP
เพราะว่า.. ในท้องตลาด หรือ อุตสาหกรรมความสวยความงามผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA ก็มีมากมายหลายประเภทจึงทำให้หลาย ๆ คนที่สนใจอยากลองใช้สกินแคร์ หรือ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA เลือกไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรเลือกอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่อยากให้คำนึงเป็นสิ่งแรกในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA ก็คือ “เลือกจากสภาพผิวของตนเอง” ปัจจัยข้อนี้ถือว่าเป็นคีย์หลักในการเลือกซื้อเลยก็ว่าได้ เพราะจะส่งผลต่อผลลัพธ์หลังใช้ได้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังมีปัจจัยข้ออื่น ๆ อีกเช่นกัน ดังต่อไปนี้..
1. BHA เนื้อน้ำ
สำหรับ วิธีเลือก BHA ให้เหมาะกับสภาพผิวของตนเองแบบแรก คือ BHA เนื้อน้ำ ซึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ BHA ที่สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว เพราะผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อประเภทน้ำจะซึมเข้าสู่ผิวได้อย่างรวดเร็วไม่ว่าจะมีผิวแห้ง ผิวมัน ผิวผสม จึงสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้ ซึ่ง BHA สูตรน้ำจะช่วยปรับสภาพสีผิวใหม่มีความสม่ำเสมอ ช่วยลดรอยแดง รอยดำ รอยสิว ด้วยการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดออก เพื่อเผยผิวใหม่ที่ดูสดใสสุขภาพดี อีกทั้งยังช่วยกระชับรูขุมขนให้ดูเรียบเนียนขึ้นอีกด้วย
TIPS by TAP : BHA สูตรน้ำ หรือ เนื้อน้ำ จะเหมาะมาก ๆ กับคนที่มีผิวมัน ผิวมีปัญหารูขุมขน และ สิวอุดตันเป็นพิเศษ เพราะว่าผลิตภัณฑ์เนื้อน้ำจะซึมเข้าสู่ผิวได้เร็ว ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ พร้อมช่วยลดความมันส่วนเกินบนใบหน้า เพราะฉะนั้นคนที่มีผิวมันถ้าใช้ BHA ประเภทน้ำตบ โทนเนอร์ จะช่วยฟื้นฟูผิวได้ดีมาก ๆ
2. BHA เนื้อเจล
BHA เนื้อเจลก็เป็นอีกหนึ่งประเภทที่สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว เพราะผลิตภัณฑ์เนื้อเจลก็จะมีเนื้อที่บางเบา ซึมไว เกลี่ยง่าย ไม่ค่อยทิ้งความเหนียวเหนอะหนะไว้บนผิวหลังจากทาเสร็จ โดยเฉพาะคนที่มีผิวผสมการใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อเจลจะช่วยปรับสมดุลให้กับผิวได้เป็นอย่างดี ทำให้ผิวไม่มัน หรือ แห้งจนเกินไป เพราะว่าผลิตภัณฑ์เนื้อเจลจะมีคุณสมบัติในการช่วยมอบความชุ่มชื้นให้กับผิวได้นั่นเองค่ะ
3. BHA เนื้อครีม
สำหรับใครที่มีสภาพผิวแห้ง ผิวขาดน้ำ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทเนื้อจะตอบโจทย์ในการดูแลบำรุงได้ดีที่สุด เพราะผลิตภัณฑ์เนื้อครีมจะช่วยเติมความชุ่มชื้น และ กักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ยาวนานกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ ซึ่ง BHA สูตรเนื้อครีมนอกจากจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่ม ชุ่มชื้น ก็ยังช่วยผลัดเซลล์ผิวและช่วยกระชับรูขุมขนได้ดีเช่นเดียวกัน แต่สำหรับคนที่มีผิวมัน ผิวผสม หรือเป็นคนที่ผิวอุดตันง่าย การใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อครีมอาจจะมีความเสี่ยงต่อการอุดตันได้
4. BHA สำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย
BHA เป็นสารสกัดในสกินแคร์ที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ สำหรับคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายอาจจะมีความกังวลในการใช้ แต่.. สำหรับคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่ายก็สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ BHA ได้เช่นเดียวกัน เพื่อช่วยในการปลอบประโลมผิว ลดรอยแดงจากการอักเสบ ช่วยผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
TIPS by TAP : สำหรับคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย เคล็ดลับ วิธีเลือก BHA คือควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่า BHA ไม่เกิน 2% เพราะจะเป็นค่าที่มีความอ่อนโยนต่อผิวโอกาสที่จะก่อให้เกิดอาการระคายเคืองผิวมีน้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้จะดีที่สุด เพื่อความปลอดภัยของผิวหน้า
บทความที่เกี่ยวข้อง : 10 สกินแคร์เซราไมด์ ไอเทมปลอบประโลมผิว เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
คำแนะนำในการใช้ BHA
ถึงแม้ BHA จะมีข้อดีต่าง ๆ มากมาย แต่ก็มีข้อควรระวังในการใช้ด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าใครที่กำลังจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี BHA ควรรู้ข้อควรระวังเหล่านี้ เพื่อให้ผลลัพธ์การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี BHA ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด !
- หากไม่เคยใช้ควรเริ่มจากการทาบาง ๆ อาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้ง ถ้าหากไม่แพ้ก็สามารถทาทั่วหน้าเช้า – เย็น ได้ตามปกติเหมือนสกินแคร์อื่น ๆ ได้เลยค่ะ
- หลังจากทาสกินแคร์ที่มี BHA เสร็จ ควรทิ้งไว้ประมาณ 5 – 10 นาที เพื่อให้สกินแคร์ซึมเข้าสู่ผิว แล้วจึงทาสกินแคร์ตัวอื่น ๆ ตาม
- ถ้าหากรอยสิว รอยแดง รอยดำ รูขุมขนกระชับ สิวอุดตันหาย หรือมีผิวหน้าที่ดีขึ้นแล้ว ควรหยุดใช้ ! เพราะว่า BHA เป็นกรดอ่อน ๆ ที่ทำหน้าที่ผลัดเซลล์ผิว ดังนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวบ่อยจนเกินไปก็ถือเป็นการรบกวนผิวนั่นเองค่ะ
TIPS by TAP : โดยให้ปรับใช้เหลืออาทิตย์ละ 1 ครั้ง หรือ เดือนละ 1 – 2 ครั้ง เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว และ กำจัดสิ่งสกปรกตกค้างที่อยู่บนผิว และ รูขุมขน
- ไม่ควรใช้ BHA คู่กับ AHA เพราะเป็นสารสกัดที่มีฤทธิ์เป็นกรดด้วยกันทั้งคู่
- ควรทาครีมกันแดดทุกครั้ง (ในช่วงเช้า) หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี BHA เพราะว่าผิวจะมีความไวต่อแสง อาจเกิดอาการแสบ แรง หรือ ระคายเคืองผิวได้
- ไม่ทาบริเวณผิวหนังที่มีความบอบบาง อาทิ เช่น ผิวรอบดวงตา ริมฝีปาก เป็นต้น
และทั้งหมดนี้ก็เป็น วิธีเลือก BHA ที่ TAP ได้รวบรวมมาฝากสำหรับคนที่กำลังสนใจอยากลองใช้ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของ BHA เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ผิวที่ดี และช่วยกู้ปัญหาผิวให้กลับมาสุขภาพดีอีกครั้ง เพราะส่วนผสมบางชนิดก็มีทั้งข้อดีและข้อที่ควรระวังในการใช้ หากรู้ไว้ก่อนก็จะทำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างปลอดภัยนั่นเองค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
แนะนำ 10 เซรั่ม AHA สกินแคร์หน้าใส ลดรอยสิว ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
บอกต่อ ! 10 เซรั่มเรตินอล รักษาสิว กระตุ้นการสร้างผิวใหม่ ห่างไกลริ้วรอยเหี่ยวย่น
10 เซรั่มรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ รับประกันใช้แล้วผิวสวย หน้าใส ไร้ฝ้ากวนใจ
ที่มา : sgechem
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!