พัฒนาการของเด็ก ๆ เป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณพ่อ – คุณแม่รู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นพัฒนาการของลูกน้อยในแต่ละวัน ซึ่งพัฒนาการด้านการรับประทานอาหารก็เป็นอีกหนึ่งพัฒนาการสำคัญที่จะบ่งบอกให้คุณพ่อ – คุณแม่ทราบได้ว่าลูกน้อยของเรามีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากที่ทานแต่นมแต่เมื่อลูกน้อยเริ่มโตขึ้นก็ต้องฝึกรับประทานอาหารที่มีความหลากหลาย ซึ่งตัวช่วยที่จะช่วยทำให้ลูกน้อยของคุณพ่อ – คุณแม่ทานอาหารได้ง่ายขึ้นในช่วงแรกนั่นก็คือ เครื่องปั่นอาหารทารก ที่จะช่วยทำให้อาหารมีความละเอียด ทานง่าย ซึ่งเชื่อว่าคุณพ่อ – คุณแม่หลาย ๆ คนน่าจะยังไม่รู้ว่า วิธีเลือกเครื่องปั่นอาหารทารก ควรเลือกยังไงให้มีความเหมาะสม ใช้งานง่าย สะดวกต่อการใช้งาน วันนี้ theAsianparent ได้เอาเทคนิคในการเลือกเครื่องปั่นอาหารทารกมาฝากค่ะ
เครื่องปั่นอาหารทารกจำเป็นต้องใช้ไหม ?
สำหรับคุณพ่อ – คุณแม่ที่มีลูกน้อยในวัย 6 เดือนขึ้นไป มักจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าช่วงวัยนี้จะเป็นช่วงวัยที่เด็ก ๆ ต้องเริ่มฝึกรับประทานอาหารให้มีความหลากหลายมากขึ้น ต้องฝึกรับประทานอาหารด้วยตัวเอง เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของลูกน้อย ซึ่งอาหารสำหรับเด็กก็มีให้เลือกหลากหลายประเภทมีทั้งแบบสำเร็จรูป และแบบที่คุณพ่อ – คุณแม่ตั้งใจทำให้ลูกน้อยทานด้วยตัวเอง ซึ่งตัวช่วยที่จะช่วยอำนวยความสะดวกต่อคุณพ่อ – คุณแม่ในการทำอาหารให้กับลูกน้อยนั่นก็คือ “เครื่องปั่นอาหารทารก” เพราะว่าเด็กในวัย 6 เดือนขึ้นไป จะยังไม่สามารถเคี้ยวอาหารที่มีเนื้อหยาบ หรือ เนื้อที่ไม่ละเอียดได้ ดังนั้นอาหารทุกมื้อของลูกน้อยจึงต้องมีลักษณะที่เป็นเนื้อละเอียด เพื่อให้ลูกน้อยทานอาหารได้ง่าย กลืนคล่อง ไม่ติดคอ
ซึ่งถ้าถามว่าเครื่องปั่นอาหารทารกจำเป็นต้องใช้ไหม ? คำตอบก็คือสามารถใช้ หรือ ไม่ใช้ก็ได้ค่ะ โดยจะขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณพ่อ – คุณแม่แต่ละคน ถ้าหากคุณพ่อ – คุณแม่อยากได้ความสะดวกสบายในการทำอาหาร และเพื่อความมั่นใจว่าอาหารของลูกน้อยจะมีเนื้อละเอียด เพื่อป้องกันอาหารติดคอก็แนะนำให้ใช้เครื่องปั่นอาหารในการทำอาหารให้กับลูกน้อย แต่ถ้าคุณพ่อ – คุณแม่คิดว่าสามารถบดอาหารด้วยมือให้ละเอียดมีลักษณะเนื้อเนียนกลืนง่ายได้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปั่นอาหารก็ได้ค่ะ
คำแนะนำ by TAP : ในกรณีที่คุณพ่อ – คุณแม่ไม่เลือกใช้เครื่องปั่นอาหารสำหรับทารก คุณพ่อ – คุณแม่จะต้องมีความระมัดระวัง และต้องใส่ใจในการทำอาหารให้ลูกน้อยมากเป็นพิเศษ เพราะลักษณะอาหารที่เด็กในช่วงวัยตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไปจะรับประทานได้ต้องมีลักษณะที่กลืนง่าย เนื้อเนียนละเอียด เพราะถ้าหากอาหารที่ทำให้ลูกน้อยรับประทานยังมีลักษณะเป็นชิ้น และมีเนื้อหยาบอาจจะทำให้เกิดอันตรายต่อลูกน้อย เพราะอาหารสามารถติดคอของเด็ก ๆ ได้นั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นถ้าอยากได้ความมั่นใจในลักษณะของอาหาร รวมถึงความสะดวกสบาย การเลือกใช้เครื่องปั่นอาหารทารกก็ถือว่าตอบโจทย์เป็นอย่างมากค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง : 6 เมนูไข่ตุ๋น สำหรับทารก 6 เดือนขึ้นไป ทำง่าย มีสารอาหารหลากหลาย
แนะนำ วิธีเลือกเครื่องปั่นอาหารทารก by TAP
1. วิธีเลือกเครื่องปั่นอาหารทารก
เลือกจากขนาดของมอเตอร์ที่เหมาะกับการใช้งาน
สำหรับวิธีเลือกเครื่องปั่นอาหารทารกวิธีแรกที่อยากแนะนำคุณพ่อ – คุณแม่ก็คือแนะนำให้เลือกจากขนาดมอเตอร์ของเครื่องปั่น เพราะเด็กในวัยทารกนี้จะยังไม่มีฟันสำหรับเคี้ยวอาหาร ดังนั้นอาหารที่เด็ก ๆ สามารถรับประทานได้จะต้องมีเนื้อที่ละเอียด ซึ่งขนาดของมอเตอร์จะช่วยให้ประสิทธิภาพในการปั่นอาหารสำหรับลูกน้อยทำงานได้ดีขึ้น
อาทิ เช่น ถ้าเครื่องปั่นอาหารทารกมีขนาดมอเตอร์ที่ใหญ่ก็จะทำให้สามารถปั่นอาหารได้ละเอียดมาก ๆ ทำให้ลูกน้อยรับประทานอาหารได้ง่าย และช่วยป้องกันปัญหาอาหารติดคอลูกน้อยได้อีกด้วยค่ะ แต่ถ้าขนาดมอเตอร์เล็กก็อาจจะต้องใช้เวลาในการปั่นอาหารที่นานกว่า หรืออาจจะต้องปั่นหลายครั้งกว่าอาหารจะละเอียด ดังนั้นถ้าคุณพ่อ – คุณแม่อยากประหยัดเวลา อยากปั่นอาหารได้อย่างรวดเร็วแนะนำให้เลือกเครื่องปั่นอาหารทารกที่มีมอเตอร์ขนาดใหญ่ เพื่อให้ตอบโจทย์กับการใช้งาน
2. วิธีเลือกเครื่องปั่นอาหารทารก
วัสดุที่ใช้ทำโถปั่นต้องมีความปลอดภัย
ปัจจัยข้อนี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก ! เพราะว่าโถปั่นอาหารจะเป็นส่วนที่จะต้องสัมผัสกับอาหารของลูกน้อยโดยตรง เพราะฉะนั้นวัสดุที่ใช้ในการผลิตโถปั่นจึงควรมีความสะอาด ปลอดภัย มีมาตรฐาน ซึ่งโถปั่นที่ดีควรมีประสิทธิภาพในการทนต่อความร้อน รวมถึงต้องปราศจากสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพของลูกน้อยนั่นเองค่ะ เพราะฉะนั้นแนะนำให้คุณพ่อ – คุณแม่เลือกซื้อเครื่องปั่นอาหารทารกที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งอาจจะมีราคาสูงกว่าเครื่องปั่นอาหารทั่ว ๆ ไป แต่ถ้าแลกกับความปลอดภัยต่อสุขภาพของลูกน้อยถือว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก
บทความที่เกี่ยวข้อง : แนะนำ 10 เครื่องบดอาหารเด็ก ฟังก์ชันครบ ใช้งานง่าย ในราคาหลักร้อย
3. วิธีเลือก เครื่องปั่นอาหารทารก
ที่มีฟังก์ชันพิเศษในตัว
ต้องบอกว่าในปัจจุบันนี้เครื่องปั่นอาหารทารกก็จะมีให้เลือกมากมายหลายรุ่น หลายยี่ห้อ และหลายรูปแบบ ซึ่งถ้าหากคุณพ่อ – คุณแม่อยากได้เครื่องปั่นอาหารทารกที่มีความคุ้มค่าในการใช้งานแนะนำให้เลือกเครื่องปั่นอาหารทารกที่มีฟังก์ชันเสริม อาทิ เช่น เครื่องปั่นอาหารที่สามารถใช้อุ่นอาหารได้ ใช้ทำน้ำร้อน หรือใช้ฆ่าเชื้อในภาชนะต่าง ๆ เช่น จุกขวดนมได้ด้วย ซึ่งการเลือกเครื่องปั่นอาหารทารกที่มีฟังก์ชันพิเศษเหล่านี้จะเพิ่มความคุ้มค่าให้กับเครื่องปั่นอาหารทารกให้เป็นได้มากกว่าเครื่องปั่นอาหารธรรมดา ๆ นั่นเองค่ะ
4. วิธีเลือกเครื่องปั่นอาหารทารก
เลือกจากความจุของเครื่องปั่นอาหาร
และสำหรับวิธีสุดท้ายในการเลือกซื้อเครื่องปั่นอาหารทารกนั่นก็คือ แนะนำให้คุณพ่อ – คุณแม่เลือกจากความจุของโถปั่นอาหาร ซึ่งความจุของเครื่องปั่นอาหารทารกก็มีให้เลือกซื้อเยอะมาก ๆ ตั้งแต่ขนาดเล็ก 300 – 600 ml. ไปจนถึงขนาดใหญ่ 800 – 1,200 ml. ซึ่งจะมีให้เลือกหลายขนาดมาก ๆ ขึ้นอยู่กับความต้องการของคุณพ่อ – คุณแม่เลยค่ะ
โดยหลักการในการเลือกซื้อจากความจุขอแนะนำให้คุณพ่อ – คุณแม่พิจารณาจากการทำอาหารให้กับลูกน้อยในแต่ละมื้อ โดยให้สังเกตว่าลูกน้อยทานอาหารเยอะไหม ถ้าทานเยอะก็ควรเลือกซื้อเครื่องปั่นอาหารทารกที่มีความจุที่ค่อนข้างใหญ่ เพื่อให้สามารถทำอาหารได้ครั้งละเยอะ ๆ แต่ถ้าหากลูกน้อยรับประทานอาหารไม่มาก หรือ คุณพ่อ – คุณแม่อยากทำอาหารใหม่ทุกมื้อไม่อยากทำทิ้งไว้ก็แนะนำให้เลือกเครื่องปั่นอาหารที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เพื่อให้สะดวกและเหมาะสมกับการใช้งานนั่นเองค่ะ
และทั้งหมดนี้ก็เป็น วิธีเลือกเครื่องปั่นอาหารทารก ที่ theAsianparent ได้รวบรวมมาฝากบอกเลยว่าถ้าหากคุณพ่อ – คุณแม่นำวิธีเหล่านี้ไปประกอบการตัดสินใจในการเลือกซื้อเครื่องปั่นอาหารทารกจะช่วยให้คุณพ่อ – คุณแม่ได้เครื่องปั่นอาหารที่เหมาะสม ตรงกับความต้องการ และตอบโจทย์ต่อการใช้งานแน่นอนค่ะ
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
10 เครื่องปั่นอาหารทารก แนะนำเครื่องปั่น ยี่ห้อไหนดีมาดูกัน
แนะนำ เครื่องปั่นอาหารสำหรับเด็ก คุณภาพดี ปลอดภัย ช่วยประหยัดเวลา!
แนะนำ 10 เครื่องบดอาหารเด็ก ฟังก์ชันครบ ใช้งานง่าย ในราคาหลักร้อย
ที่มา : th.theasianparent.com
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!