จากข่าวอาการป่วยของคุณหนุ่ม กรรชัย ที่มีอาการปวดท้องใต้ลิ้นปี่อย่างรุนแรง จนตรวจพบค่าตับพุ่งสูง และวินิจฉัยว่าเป็น “ท่อน้ำดีอักเสบติดเชื้อ” ซึ่งมีต้นตอมาจาก “นิ่วในถุงน้ำดี” ที่หลุดไปอุดตันนั้น อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายบ้านหันมาสนใจอาการ “ปวดท้อง” ของตัวเองมากขึ้น
หลายคนทนกับอาการปวดท้อง จุกแน่น โดยคิดว่าเป็นเพียงโรคกระเพาะ หรือท้องอืดธรรมดา ซื้อยาเคลือบกระเพาะหรือยาลดกรดทานเอง จนกระทั่งอาการรุนแรง จึงรู้ตัวว่า ไม่ใช่แค่ท้องอืดธรรมดาอีกต่อไป
วันนี้ เราจะมาเจาะลึกกันว่า นิ่วในถุงน้ำดี คืออะไร และอาการปวดแบบไหนที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรมองข้าม โดยอ้างอิงข้อมูลจาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่สังเกตอาการได้ทันท่วงที ก่อนที่เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ
“นิ่วในถุงน้ำดี” คืออะไร? มาจากไหน?
ก่อนอื่น เราต้องรู้จัก “ถุงน้ำดี” กันก่อนค่ะ
ตับของเราผลิต “น้ำดี” ซึ่งมีหน้าที่ช่วยย่อยสลายไขมันที่เราทานเข้าไป จากนั้น น้ำดีจะถูกส่งมาเก็บพักไว้ที่ “ถุงน้ำดี” ซึ่งเป็นอวัยวะรูปถุงเล็กๆ (ขนาดประมาณ 50 มล.) ที่ซ่อนอยู่ใต้ตับ
เมื่อเราทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารมันๆ อาหารมื้อหนัก เมื่ออาหารเดินทางถึงลำไส้เล็ก ถุงน้ำดีก็จะบีบตัวฉีดน้ำดีที่เข้มข้นนี้ลงไปคลุกเคล้า เพื่อให้ไขมันแตกตัวและย่อยได้
นิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones) ก็คือตะกอนเกิดจากการที่สารประกอบในน้ำดีเกิดการเสียสมดุล ทำให้มันตกตะกอน จับตัวกันเป็นก้อนแข็งๆ ซึ่งอาจมีขนาดเล็กเท่าเม็ดทราย หรือใหญ่เท่าลูกกอล์ฟ และอาจมีก้อนเดียว หรือหลายร้อยก้อนก็ได้
สัญญาณเตือน! ปวดท้องแบบไหนที่ต้องสงสัย “นิ่วในถุงน้ำดี”
นี่คือส่วนที่สำคัญที่สุด เพราะ นิ่วในถุงน้ำดี หลายคนไม่มีอาการเลย และมักตรวจเจอโดยบังเอิญตอนอัลตราซาวนด์ตรวจสุขภาพ
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอาการ นั่นคือสัญญาณเตือนว่านิ่วเริ่มก่อปัญหาแล้วนั่นเอง
-
จุกแน่นใต้ลิ้นปี่ หลังมื้ออาหาร
- อาการ: จุกแน่นท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
- ตำแหน่ง: บริเวณใต้ลิ้นปี่ (ตรงกลางท้องส่วนบน) บางรายอาจปวดร้าวไปถึงชายโครงขวา หรือสะบักขวา
- เวลา: มักเป็นหลังทานอาหารไปแล้วประมาณ 2-3 ชั่วโมง
- ตัวกระตุ้น: จะมีอาการชัดเจนมากหลังทาน “อาหารมื้อหนัก” หรือ “อาหารมันๆ”
ทำไมถึงปวดหลังอาหารมัน? เพราะเมื่อไขมันเข้าระบบ ถุงน้ำดีจะพยายามบีบตัวแรงขึ้นเพื่อปล่อยน้ำดี แต่นิ่วอาจไปขวางทางออก ทำให้ถุงน้ำดีบีบตัวสู้กับแรงต้าน เกิดอาการปวดจุกขึ้นมา
-
สัญญาณที่คล้าย โรคกระเพาะ
อาการจุกแน่นลิ้นปี่ ท้องอืด ทำให้คนไข้ส่วนใหญ่คิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ หรือ กรดไหลย้อน หลายคนไปพบแพทย์ หรือซื้อยาทานเอง รักษาโรคกระเพาะเป็นแรมเดือน แรมปี
ข้อสังเกตสำคัญ หากคุณพ่อคุณแม่มีอาการจุกแน่นลิ้นปี่ และทานยาโรคกระเพาะหรือยาลดกรดหลายชนิดแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้นเลย หรือเป็นๆ หายๆ สม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อสัมพันธ์กับมื้ออาหาร อยากให้สงสัยภาวะนิ่วในถุงน้ำดี ไว้ด้วยค่ะ

นิ่วในถุงน้ำดี ทำไมต้องรีบรักษา?
อาการจุกแน่นท้อง อาหารไม่ย่อย เป็นเพียงสัญญาณเตือน หากเราไม่จัดการต้นตอ ซึ่งก็คือนิ่ว วันหนึ่งนิ่วเหล่านี้อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
-
ถุงน้ำดีอักเสบ (Cholecystitis):
- นิ่วไปอุดตันท่อทางออกของถุงน้ำดีอย่างถาวร น้ำดีไหลออกไม่ได้ เกิดการอักเสบ บวมเป่ง
- อาการ: ปวดท้องรุนแรงเฉียบพลันที่ชายโครงขวา อาจมีไข้สูง หนาวสั่น จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลทันที
-
ท่อน้ำดีอักเสบติดเชื้อ (Acute Cholangitis):
- นี่คือภาวะฉุกเฉินและอันตราย
- เกิดจากนิ่วก้อนเล็กๆ หลุดออกจากถุงน้ำดี แล้วไหลลงไปอุดตันที่ท่อน้ำดีรวม ซึ่งเป็นทางหลักที่น้ำดีจากตับจะไหลผ่าน
- ผลที่ตามมา:
- น้ำดีไหลลงลำไส้เล็กไม่ได้ เกิดอาการตัวเหลือง ตาเหลือง หรือดีซ่าน
- น้ำดีคั่งค้างในตับ ทำให้ค่าตับพุ่งสูงมาก แบบเคสคุณหนุ่ม กรรชัย
- เกิดการติดเชื้อในท่อน้ำดี ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด นำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งรุนแรงถึงชีวิตได้
-
ตับอ่อนอักเสบ (Pancreatitis):
- หากนิ่วหลุดไปไกลถึงปลายท่อ ซึ่งเป็นจุดที่ท่อน้ำดีและท่อตับอ่อนมาบรรจบกันก่อนเปิดเข้าลำไส้เล็ก มันอาจอุดตันท่อตับอ่อนด้วย ทำให้น้ำย่อยจากตับอ่อนไหลย้อนกลับ เกิดตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งปวดท้องรุนแรงมากและอันตราย
รู้ได้อย่างไรว่ามี “นิ่ว” ซ่อนอยู่?
การวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดี นั้นง่ายมากค่ะ ทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวนด์ช่องท้องส่วนบน” (Upper Abdomen Ultrasound) มีข้อดีคือ
- ง่าย, ไม่เจ็บตัว, ไม่ต้องฉีดสี, ปลอดภัย
- มีความไว (Sensitivity) สูงถึง 86% และความจำเพาะ (Specificity) สูงถึง 97%
- สามารถเห็นนิ่ว เห็นการอักเสบของถุงน้ำดีได้ชัดเจน
นอกจากนี้ อาจมีการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) ซึ่งก็เห็นได้เช่นกัน แต่โดยทั่วไปอัลตราซาวนด์ก็เพียงพอสำหรับการวินิจฉัย

การรักษา “นิ่วในถุงน้ำดี” ทำอย่างไร?
สำหรับนิ่วในถุงน้ำดี การรักษาที่ต้นเหตุและได้ผลดีที่สุด คือ “การผ่าตัดถุงน้ำดีออก” ในปัจจุบัน การผ่าตัดมาตรฐานคือ “การผ่าตัดส่องกล้อง”
- แพทย์จะเจาะรูเล็กๆ ที่หน้าท้องประมาณ 3-4 รู
- สอดกล้องและเครื่องมือเข้าไปทำการผ่าตัดนำถุงน้ำดี (พร้อมนิ่ว) ออกมา
- ข้อดี: แผลเล็กมาก, เจ็บน้อย, ฟื้นตัวเร็ว, นอนโรงพยาบาลเพียง 1-3 วัน ก็กลับบ้านได้
ทำไมต้องรีบผ่าตัดเมื่อมีอาการ? หากผ่าตัดในขณะที่ยังไม่มีภาวะแทรกซ้อน (แค่ปวดท้อง) โอกาสสำเร็จในการผ่าตัดส่องกล้องจะสูงมาก (เกิน 90%)
แต่ถ้ารอ! จนเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่นถุงน้ำดีอักเสบแล้ว ความยากในการผ่าตัดจะเพิ่มขึ้น โอกาสสำเร็จในการผ่าตัดส่องกล้องจะลดลงเหลือประมาณ 70% และอาจต้องเปลี่ยนไป ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง ซึ่งแผลจะใหญ่กว่า เจ็บกว่า และต้องพักฟื้นนานกว่ามาก
คุณอยู่กลุ่มไหน?
จากข้อมูลของโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ สามารถสรุปแนวทางได้ดังนี้
กลุ่มที่ 1: ตรวจเจอนิ่ว แต่ไม่มีอาการใดๆ
สามารถติดตามอาการเป็นระยะๆ หรือ จะเลือกผ่าตัดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนก็ได้ (ควรปรึกษาแพทย์เป็นรายบุคคล)
กลุ่มที่ 2: มีอาการแล้ว จุกแน่นท้อง, ท้องอืดบ่อยๆ
แนะนำให้รับการผ่าตัด! อย่าทน หรือรอจนเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะจากเรื่องเล็ก (ผ่าส่องกล้อง) จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ (ผ่าเปิดหน้าท้อง หรือเกิดติดเชื้อ)
กลุ่มที่ 3: มีภาวะแทรกซ้อนแล้ว (ถุงน้ำดีอักเสบ, ดีซ่าน, ค่าตับสูง)
จำเป็นต้องรีบรับการรักษาในโรงพยาบาล และผ่าตัดในเวลาที่เหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์
ดังนั้น หากคุณพ่อคุณแม่มีอาการจุกแน่นลิ้นปี่ ท้องอืด อาหารไม่ย่อย โดยเฉพาะหลังมื้ออาหารมันๆ และทานยาโรคกระเพาะแล้วไม่ดีขึ้น อย่าชะล่าใจคิดว่าเป็นแค่ท้องอืดธรรมดานะคะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจอัลตราซาวนด์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณไม่มีนิ่วในถุงน้ำดีซ่อนอยู่ จะได้รักษาได้ทันท่วงทีค่ะ
ที่มา : โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ทำปอดรั่ว !? ใครปวดท้องเมนส์หนักทุกเดือน เช็กด่วน!
สภาฯ ไฟเขียว ร่างกม.ใหม่ เพิ่มสิทธิแม่ทำงาน ลาดูแลลูกป่วย-ลาปวดประจำเดือน
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!