โรคภูมิแพ้ นับเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในทุกเพศและทุกวัย เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ตอบสนองไวเกินปกติต่อสารต่าง ๆ ที่เราพบเจอในชีวิตประจำวัน เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ หรือแม้แต่บางชนิดของอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการแพ้ที่หลากหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ โรคภูมิแพ้ที่เยื่อบุตา โดยปกติแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักคิดว่าโรคภูมิแพ้ขึ้นตา เป็นโรคที่ไม่อันตราย เพียงแค่ก่อให้เกิดความรำคาญ แต่ในรายที่เป็นเรื้อรังหรือเกิดภาวะแทรกซ้อน อาจทำให้เเสี่ยงตาบอดได้ เหมือนกับกรณีของหนุ่มชาวมาเลเซียที่ต้องผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาใหม่ เพราะชอบ ขยี้ตาแรง ๆ จนแดงหลายปี จากการเป็นภูมิแพ้
บทเรียนราคาแพง! หนุ่มมาเลย์ ขยี้ตาแรง จนต้องปลูกถ่ายกระจกตา
ชายหนุ่มชาวมาเลเซีย นามว่า มูฮัมหมัด ซาบีดี ในวัย 21 ปี ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์สุดระทึก บน TikTok โดยเล่าว่า เขาเป็นโรคภูมิแพ้มาตั้งแต่ยังเด็ก จนมาวันหนึ่งเขาได้เริ่มสังเกตเห็นว่าตนเองมีอาการมองไม่ค่อยชัดตั้งแต่ตอนอายุ 15 ปี อาการแย่ลงเรื่อย ๆ จนมองเลือนมากขึ้นทุกวัน พอถึงอายุ 21 กระจกตาของเขาก็มีรอยแผลเป็นปรากฏขึ้นจึงต้องรีบไปพบแพทย์
หลังจากตรวจอย่างละเอียด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้วินิจฉัยว่ามูฮัมหมัดได้รับบาดเจ็บที่กระจกตาอย่างรุนแรง สาเหตุมาจากนิสัยขยี้ตาบ่อย ๆ ส่งผลให้ต้องสูญเสียการมองเห็นและจำเป็นต้องเปลี่ยนกระจกตาใหม่
มูฮัมหมัดเพิ่งเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตา โดยแพทย์ทำการเอาส่วนที่เสียหายออกและใส่กระจกตาเทียมแทน แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จ แต่กระบวนการฟื้นฟูกลับใช้เวลานาน ซึ่งทางแพทย์คาดการณ์ว่า เขาจะสามารถลืมตาข้างที่ผ่าตัดได้ภายใน 2 เดือน แต่กว่าจะกลับมามีสุขภาพตาแข็งแรงสมบูรณ์อีกครั้ง ต้องใช้เวลานานถึง 2 ปี
ซึ่งเจ้าตัวได้เผยว่า “ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นเยอะครับ แต่ยังลืมตาขวาไม่ได้เลย คุณหมอบอกว่าอีกประมาณ 2 เดือนถึงจะลืมตาได้ กว่าจะหายเป็นปกติก็อีก 2 ปี ครับ”
หลังจากเรื่องราวของมูฮัมหมัด ชายหนุ่มที่สูญเสียการมองเห็นจากนิสัยขยี้ตาบ่อย ๆ ถูกเผยแพร่ออกไป กลายเป็นกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดียในมาเลเซีย สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนมากมาย หลายคนไม่คาดคิดว่านิสัยง่าย ๆ อย่างการ ขยี้ตา อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้
ที่มา: odditycentral
ทำไมคนเป็นภูมิแพ้ต้องขยี้ตา?
สาเหตุหลักที่ทำให้คนเป็นภูมิแพ้ชอบขยี้ตา เกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ดังนี้
-
อาการคัน ระคายเคืองตา: เมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ ในบางกรณี ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สามารถทำให้เกิดอาการคันตาที่มาจากโรคภูมิแพ้ได้ ตัวอย่างเช่น บางคนอาจแพ้น้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ หรือ ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันจะทำปฏิกิริยาต่อต้าน ทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองตา สร้างความรู้สึกอยากขยี้ตาเพื่อบรรเทาอาการ
-
เส้นเลือดดำรอบดวงตาขยายใหญ่: ในผู้ป่วยบางราย โรคภูมิแพ้ มักส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้เส้นเลือดดำบริเวณรอบดวงตาขยายใหญ่ ส่งผลให้รู้สึกคันและบวม กระตุ้นให้เกิดการขยี้ตา
นิสัย ขยี้ตา ภัยเงียบที่อาจทำลายดวงตาของคุณ
การ ขยี้ตา เป็นพฤติกรรมที่หลายคนมักทำโดยไม่ตั้งใจ มักเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกคัน ระคายเคืองตา มีอาการตาแห้ง หรือรู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ในดวงตา หลายคนจึงพยายามขยี้ตาเพื่อขจัดสิ่งเหล่านั้น แม้ว่าการขยี้ตาอาจทำให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราว แต่แท้จริงแล้ว การขยี้ตาอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพดวงตาในระยะยาว ดังนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง: ลูกชอบขยี้ตา อันตรายไหม แล้วทำไมลูกจึงชอบขยี้ตา
1) เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
นิ้วมือที่ใช้ขยี้ตานั้น เต็มไปด้วยแบคทีเรีย ไวรัส หรือสิ่งแปลกปลอม ที่อาจส่งผลร้ายต่อดวงตา เพราะมือของเราสัมผัสกับสิ่งของต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเรายากที่จะทราบได้ว่าสิ่งของเหล่านั้นสะอาดหรือไม่ ดังนั้น มือจึงเปรียบเสมือนแหล่งสะสมเชื้อโรคหลากหลายชนิด การนำนิ้วมือไปขยี้ตา จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อดวงตาจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือสิ่งแปลกปลอมที่เรามีโอกาสสัมผัสจากสิ่งของต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน
2) ขยี้ตาแรง ทำให้ยิ่งคันและระคายเคืองมากขึ้น
การขยี้ตาเมื่อรู้สึกคัน โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดจากโรคตาแดงหรือภูมิแพ้ขึ้นตา ไม่เพียงแต่จะไม่ช่วยบรรเทาอาการ แต่กลับทวีคูณความคันและทำให้ดวงตาอักเสบมากขึ้นอีกด้วย แม้ว่าในชั่วขณะที่ขยี้ตา อาจรู้สึกเหมือนอาการคันดีขึ้น แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึกชั่วคราวเท่านั้น ในระยะยาว การขยี้ตาซ้ำ ๆ จะยิ่งไปกระตุ้นให้ดวงตาเกิดการระคายเคือง เพิ่มโอกาสการติดเชื้อ และอาจส่งผลร้ายแรงต่อดวงตาได้ค่ะ
3) การ ขยี้ตาแรง อาจทำให้กระจกตาถลอก
กระจกตา เปรียบเสมือนหน้าต่างของดวงตา เป็นส่วนที่อยู่ด้านหน้าสุด ทำหน้าที่รับแสงและช่วยให้เรามองเห็น แต่กระจกตานั้นบอบบางมาก การขยี้ตาแรง ๆ โดยเฉพาะเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา อาจทำให้สิ่งแปลกปลอมนั้นเข้าไปในดวงตาลึกขึ้น เกิดเป็นรอยถลอกหรือรอยขีดข่วนบนกระจกตา ส่งผลให้เกิดอาการตาแดง ระคายเคือง เหมือนกับกรณีของนาย มูฮัมหมัด ที่ต้องผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายกระจกตาใหม่นั่นเองค่ะ
4) เพิ่มความเสี่ยง ภาวะกระจกตาโปน
จากผลการวิจัยพบว่า การขยี้ตาแรง ๆ เป็นประจำ ส่งผลต่อเส้นใยคอลลาเจนในกระจกตา ทำให้เส้นใยอ่อนแอหรือฉีกขาด ทำให้กระจกตาบางลง กลายเป็นภาวะกระจกตาโปน ส่งผลต่อการมองเห็น อาจทำให้เกิดอาการสายตาเอียง สายตาสั้น มองภาพเบลอ และแสงจ้าระคายเคืองตา
5) ทำให้เกิดรอยคล้ำรอบดวงตา
รอยคล้ำใต้ตาเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย สาเหตุหลักๆ มักมาจากพันธุกรรม การพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้สายตาหนัก หรือความเครียด แต่รู้หรือไม่ว่า การขยี้ตาบ่อย ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตาได้เช่นกัน ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีความบอบบางและบอบบางกว่าผิวหนังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย การขยี้ตาแรงๆ อาจทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังแตกได้ ส่งผลให้เกิดเลือดออกใต้ผิวหนัง ทำให้บริเวณรอบดวงตาแลดูคล้ำขึ้น แม้ว่ารอยคล้ำจากการขยี้ตาจะไม่ได้ร้ายแรง แต่หากมีการขยี้ตาบ่อยๆ ก็อาจทำให้รอยคล้ำใต้ตาลึกและชัดเจนขึ้นได้
การขยี้ตา ทำให้เยื่อบุตาอักเสบได้
โรคตาแดง หรือ โรคเยื่อบุตาอักเสบ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย เกิดจากการติดเชื้อที่เยื่อบุตา โดยสาเหตุหลัก ๆ มาจากการสัมผัสเชื้อโรคแล้วเอามือมาขยี้ตา ส่งผลให้ดวงตาติดเชื้อ เกิดอาการคัน แดง ระคายเคือง น้ำตาไหล
สิ่งสำคัญคือการไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง แพทย์จะประเมินอาการและหาสาเหตุที่แท้จริง ว่าเกิดจากเชื้อไวรัส แบคทีเรีย สารก่อภูมิแพ้ หรือแม้แต่สิ่งแปลกปลอมในตา
หากเป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งพบได้บ่อย แพทย์จะสั่งยาหยอดตาฆ่าเชื้อ ควบคู่ไปกับการประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมของเปลือกตา โดยประคบครั้งละ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง โดยทั่วไปแล้ว อาการจะดีขึ้นภายใน 7-10 วัน แต่หากมีการติดเชื้อลุกลามไปที่กระจกตา หรือ ตาดำ อาจต้องใช้เวลานานกว่าในการรักษา
ทั้งนี้ โรคเยื่อบุตาอักเสบติดต่อได้ง่าย ทั้งจากการสัมผัสเชื้อโรคแล้วเอามือมาขยี้ตา หรือจากคนในบ้าน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรสอนให้ลูกล้างมือบ่อย ๆ และไม่ให้ลูกเอามือขยี้ตา
จากกรณีของหนุ่มชาวมาเลเซียนี้ เป็นอุทาหรณ์ที่สำคัญ การขยี้ตา แม้จะเป็นเพียงนิสัยง่าย ๆ แต่กลับส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาอย่างรุนแรงได้ ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อ หรือ ในกรณีนี้ คือ การบาดเจ็บที่กระจกตา นำไปสูญเสียการมองเห็นได้ ดังนั้น เราจึงควรดูแลดวงตาอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาด้วยมือที่ไม่สะอาด และที่สำคัญ หากมีอาการผิดปกติที่รุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกวิธี อย่าปล่อยให้การขยี้ตา กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียดวงตาอันเป็นอวัยวะสำคัญไปค่ะ
ที่มา: odditycentral, isoptik, nakornthon, lovelyeye clinic
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สิ่งแปลกปลอมเข้า หู ตา จมูก ของลูก ต้องรีบปฐมพยาบาลลูกด่วน
ทารกชอบถูหน้า หมายความว่าอะไร ผิดปกติไหม ทารกอยากบอกอะไรกับพ่อแม่
10 หมอตาเด็ก พาลูกไปหาหมอตาที่ไหนดี จักษุแพทย์ตรวจอะไรบ้าง?
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!