คุณแม่ที่อยากเก็บนมแม่เอาไว้ให้ทารกกินภายหลัง โดยเฉพาะในช่วงที่ต้องกลับไปทำงาน สต็อกน้ำนมเหลือง ทำได้ไหม ควรสต็อกนมอย่างไรตั้งแต่ช่วงหลังคลอด ไปจนถึงเริ่มกลับไปทำงาน เพื่อให้ทารกอิ่มท้อง ไม่ขาดนมแม่ที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับลูกน้อย
สต็อกน้ำนมเหลือง ทำได้ไหม
ปัญหาเกี่ยวกับการสต็อกนมแม่ คือ คุณภาพของน้ำนมที่ลูกจะได้รับ และที่สำคัญสำหรับ “น้ำนมเหลือง (Colostrum)” ที่มีประโยชน์อย่างมาก เจอได้ในช่วงหลังคลอด 1-3 วัน คุณแม่หลายคนอาจรู้อยู่แล้วว่า น้ำนมเหลืองมีสารอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะ แลคโตเฟอร์ริน (Lactoferrin), MFGM (Milk Fat Globule Membrane), DHA และ 2’-FL ซึ่งแลคโตเฟอร์รินมีส่วนช่วยสำคัญต่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคของทารก และสามารถช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัสให้กับทารก รวมไปถึงส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร ซึ่งสำคัญมากสำหรับทารก
คุณแม่หลายคนจึงอยากรู้ว่าจะสามารถเก็บน้ำนมเหลืองเอาไว้ได้ไหม ต้องบอกว่าในระยะก่อนคลอด คุณแม่อาจจะสามารถนวดและบีบน้ำนมเหลืองออกมาได้เล็กน้อย แต่การเก็บน้ำนมเหลืองก่อนคลอดขึ้นอยู่กับความพร้อมของร่างกายคุณแม่ก่อนคลอดแต่ละคนด้วยเช่นกัน และน้ำนมเหลืองที่เก็บก่อนคลอดจำเป็นต้องเก็บไว้ในภาชนะที่ปิดได้สนิทเท่านั้น รวมถึงคุณแม่ควรมีอายุครรภ์ตั้งแต่ภ์ 36 ถึง 37 สัปดาห์เป็นต้นไป เราแนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบความพร้อมของคุณแม่ เนื่องจากการกระตุ้นเต้านมก่อนคลอดอาจทำให้เกิดการหดรัดตัวของมดลูกและการหลั่งฮอร์โมนออกซีโตซิน ซึ่งอาจเร่งการเจ็บครรภ์คลอดให้เร็วขึ้นได้
นอกจากนี้คุณแม่ควรรับคำแนะนำในการกระตุ้นน้ำนมให้ได้มากที่สุด เพื่อเลี่ยงปัญหาน้ำนมน้อยเกินไปในช่วงหลังคลอด ซึ่งสำคัญมาก
การสต็อกน้ำนมในช่วงหลังคลอดจนถึงช่วงกลับไปทำงาน
คุณแม่ที่ไม่เคยสต็อกน้ำนมแม่มาก่อน เรามีคำแนะนำเบื้องต้นมาฝากคุณแม่กัน ว่าตั้งแต่ช่วงหลังคลอดใหม่ ๆ ไปจนถึงช่วงที่กลับไปทำงาน ควรรู้อะไรบ้างหากจะปั๊มนมเก็บเอาไว้ลูกกินภายหลัง
1. ช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด
ช่วงที่เริ่มได้เร็วที่สุดคือสัปดาห์แรกหลังคลอด ให้คุณแม่สังเกตอาการในช่วงที่เหมาะที่สุด คือ อาการคัดเต้านม โดยเฉพาะในช่วงที่เพิ่งตื่นนอนใหม่ ๆ ช่วงเช้า ยิ่งคุณแม่พักผ่อนมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสที่จะมีปริมาณน้ำนมหลังคลอดมากขึ้นตามไปด้วย ในช่วงแรกทารกจะไม่ได้ต้องการน้ำนมปริมาณมาก เนื่องจากขนาดท้องของทารกยังมีขนาดที่เล็กมากอยู่ ปริมาณน้ำนมของคุณแม่จึงมีแนวโน้มที่จะเหลือเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้
ในช่วงนี้ต้องรีบสังเกตตนเอง หากพบว่ามีปริมาณน้ำนมน้อย แม้จะเพียงพอต่อการให้ทารกกินอิ่มในวันนั้น ๆ แต่ในอนาคตอาจเป็นปัญหาใหญ่ได้ เพราะทารกจะต้องการปริมาณน้ำนมแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ หากคุณแม่พบปัญหาจึงควรรีบปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับคำแนะนำในการกระตุ้นน้ำนมแม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ
2. การสต๊อกน้ำนมช่วง 1 เดือน
ในช่วงนี้โดยปกติแล้วร่างกายของคุณแม่จะผลิตน้ำนมได้มากขึ้น และน้ำนมจะมีจำนวนมากพอ ที่จะให้ทารกเข้าเต้า และยังเหลือสำหรับปั๊มเก็บเอาไว้ แต่เรื่องสุขภาพของคุณแม่เป็นเรื่องไม่แน่นอน และส่งผลโดยตรงต่อปริมาณน้ำนมที่คุณแม่จะมีในแต่ละวัน ดังนั้นในช่วงนี้คุณแม่ควรเน้นที่การพักผ่อนให้เพียงพอในทุกวัน รวมไปถึงกินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้สารอาหารในน้ำนมมีมากพอให้กับทารกด้วย
น้ำนมที่คุณแม่นำมาสต็อกไว้ในตู้เย็น หากไม่ได้ฉุกเฉินไม่ควรนำมาให้ลูกกิน ควรเน้นให้ลูกเข้าเต้า เพราะการนำลูกเข้าเต้ามีประโยชน์ต่อทารก และคุณแม่มากกว่า ส่วนนมแม่ที่สต็อกไว้ในตู้เย็น ให้จัดลำดับวันที่ให้ดี เพื่อไม่ให้หยิบผิด และไม่ให้มีนมเสียเพราะลูกกินไม่ทัน แล้วค่อยเริ่มนำมาให้ลูกกินในช่วงที่คุณแม่ไปทำงานแล้ว ในเรื่องนี้เราจะอธิบายในหัวข้อต่อไป
3. การสต็อกนมแม่ช่วงกลับไปทำงาน
ในช่วงนี้เมื่อลูกไม่ได้อยู่กับคุณแม่ คุณแม่สามารถนำน้ำนมที่สต็อกไว้มาให้ทารกกินแทนเข้าเต้าได้ โดยให้เรียงลำดับตามวันที่ของนมที่เก็บไว้ และคุณแม่สามารถปั๊มนมเก็บไว้เพิ่มได้เรื่อย ๆ โดยทั่วไปสามารถปั๊มได้ทุก 3 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามแม้จะให้ทารกกินน้ำนมที่เก็บไว้ในช่วงทำงาน แต่เมื่อมีโอกาสควรให้ลูกเข้าเต้าด้วย เพราะการอุ้มลูกเข้าเต้ามีส่วนช่วยในเรื่องของการกระตุ้นน้ำนมแม่ และทำให้สายสัมพันธ์ของคุณแม่ และลูกน้อยแนบแน่นมากยิ่งขึ้นด้วย
คุณแม่ควรเน้นที่ให้ลูกเข้าเต้าสลับกับการให้นมสต็อกตามความเหมาะสม หากคุณแม่ยังสามารถให้นมลูกได้ ควรให้ลูกกินนมแม่ต่อเนื่องไปจนถึง 6 เดือน ซึ่งเป็นขั้นต่ำที่ทารกควรได้รับนมแม่ หลังจากนั้นคุณแม่สามารถลดมื้อนมแม่ และค่อย ๆ เพิ่มมื้ออาหารใหม่ ๆ ให้กับลูกได้ลองกิน โดยทั่วไปจะเริ่มที่อาหารบดก่อน นอกจากนี้ในช่วงนี้คุณแม่สามารถเลือกสูตรนมผงที่มีสารอาหารครบถ้วน โดยเฉพาะแลคโตเฟอร์ริน (Lactoferrin) และสารอาหารอื่น ๆ ซึ่งควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญร่วมด้วย
สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการสต็อกน้ำนมแม่
นอกจากความรู้เบื้องต้นของการปั๊มนมที่เราบอกไปแล้ว ยังมีเรื่องอื่น ๆ ยิบย่อย ที่คุณแม่ควรรู้เอาไว้ โดยเราสรุปมาให้ ดังนี้
- ช่วงลาคลอดโดยประมาณ 3 เดือน คุณแม่ควรปั๊มนมเก็บไว้ใช้ช่วงทำงานประมาณ 30-50 ถุง ถุงละ 2-4 ออนซ์ โดยคุณแม่ควรหาโอกาสปั๊มนมเพิ่มเรื่อย ๆ เมื่อมีการใช้นมที่เก็บสต็อกไว้ เพื่อไม่ให้สต็อกขาดจนมีไม่เพียงพอต่อความต้องการของทารกในอนาคต
- ก่อนที่คุณแม่จะปั๊มนมเก็บไว้ทุกครั้ง คุณแม่ต้องให้ความสำคัญกับความสะอาดของอุปกรณ์ และมือของคุณแม่ เพื่อป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่อาจปนเปื้อน สิ่งเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อทารกน้อยได้หากไม่ระวัง
- หมั่นล้างอุปกรณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปั๊มนมหลังสต็อกเสร็จแล้ว โดยทั่วไปสามารถใช้น้ำร้อนผสมสบู่ในการทำความสะอาดได้
- คุณแม่ต้องระวังการเก็บนมแม่ให้ดี หากใส่ตู้เย็นช่องธรรมดา จะอยู่ได้เพียง 8 วันเท่านั้น ในขณะที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งปกติ จะอยู่ได้ 2 สัปดาห์ และหากเก็บไว้ในช่องแช่แข็งอุณหภูมิต่ำกว่า 18 องศา จะเก็บได้สูงสุด 6 เดือน
การสต็อกนมของคุณแม่เอาไว้ เป็นทางเลือกขั้นพื้นฐานที่คุณแม่ควรทำอยู่แล้ว เพราะการเอาลูกเข้าเต้าตลอดเวลาอาจไม่สามารถทำได้ และเป็นทางออกที่ดีสำหรับทารกที่ยังต้องการนมแม่อยู่ในช่วงขั้นต่ำ 6 เดือนแรก
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
นมแม่ 3 ระยะ น้ำนมเหลือง นมแม่ทั่วไป ต่างกันอย่างไร
น้ำนมไหลก่อนคลอด น้ำนมเป็นสีขุ่น ๆ แบบนี้ผิดปกติไหม ?
คุณแม่ต้องรู้! น้ำนมเหลืองดีที่สุดสำหรับลูกน้อย ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดการเจ็บป่วย
ที่มา : enfababy, UHS, UHS, jpaget