คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องรู้ การเจาะชิ้นเนื้อรก คืออะไร ?

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

สิ่งหนึ่งที่คุณแม่ตั้งครรภ์ต้องรู้ก็คือ การเจาะชิ้นเนื้อรก เป็นการดูดเก็บชิ้นเนื้อรก โดยจะใช้เข็มเจาะผ่านทางหน้าท้องของคุณแม่ (transabdominal CVS) และทำการดูดเก็บ หรือคีบตัดชิ้นเนื้อรกออกมาโดยใช้อุปกรณ์สอดผ่านทางปากมดลูก (transcervical CVS) และนำชิ้นเนื้อรก (placental villi) ที่ได้มาไปตรวจวินิจฉัยโรคของทารกในครรภ์ว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ เนื่องจากมีส่วนประกอบของเซลล์ทารกนั่นเอง

 

ส่วนประกอบของชิ้นเนื้อรกมีอะไรบ้าง

หลัก ๆ แล้ว ชิ้นเนื้อรกจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่

  1. Superficial layer of trophoblast ซึ่งประกอบด้วยเซลล์ cytotrophoblasts และเซลล์ syncytotrophoblasts
  2. Villous core จะประกอบด้วย stroma และเส้นเลือดที่มาจากทารก (fetally derived blood vessels)

สำหรับเซลล์จากชิ้นเนื้อรก คือเซลล์ที่มาจากการแบ่งตัวเพื่อสร้างทารก ในส่วนของรกและถุงน้ำคร่ำในระยะแรก ๆ ของกระบวนการ embryogenesis จึงทำให้เซลล์จากชิ้นเนื้อรกอาจจะมีโครโมโซมที่แตกต่างจากตัวทารกได้ค่ะ โดยเซลล์ mesenchymal core หรือ villous core จะมี cell line ที่เป็นต้นกำเนิดของการพัฒนาเป็นทารกมากกว่าเซลล์ที่อยู่ในชั้น superficial cytotrophoblast layer ด้วยค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง : การตรวจเลือดเพื่อหาความพิการแต่กำเนิด คืออะไร จำเป็นต้องตรวจหรือไม่ ?

 

 

การเจาะชิ้นเนื้อรก เพื่อวินิจฉัยโรคทารกในครรภ์

1. Fetal karyotyping

วิธีแรกคือการตรวจโครโมโซมจากชิ้นเนื้อรกจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ ซึ่งจะมี 2 เทคนิคด้วยกัน ได้แก่ การเพาะเลี้ยงเซลล์แบบ short-term culture โดยวิเคราะห์เซลล์ cytotrophoblasts ซึ่งเป็นเซลล์ที่มี mitosis จึงสามารถแบ่งตัวได้เร็ว และวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์แบบ long-term culture จะวิเคราะห์เซลล์ villous stroma ซึ่งมีการแบ่งตัวช้ากว่าแบบแรก แต่จะเป็นเซลล์ที่มาจากทารกมากกว่าค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

2. DNA analysis for single gene defects

เป็นการนำชิ้นเนื้อรกมาสกัดให้ได้ fetal DNA เพื่อวิเคราะห์หาความผิดปกติของทารกในครรภ์ โดยจะได้ fetal DNA ประมาณ 35 ไมโครกรัม จากการเจาะชิ้นเนื้อรกในไตรมาสแรก ซึ่งมากกว่า fetal DNA ที่ได้จากการเจาะน้ำคร่ำ แต่การเจาะชิ้นเนื้อรกมีโอกาสปนเปื้อนเซลล์ของแม่ได้มากกว่าการเจาะน้ำคร่ำ ดังนั้น การนำชิ้นเนื้อรกมาตรวจจึงจำเป็นต้องระมัดระวังในการแยก maternal decidua ออกไปให้หมดก่อนการนำไปใช้ตรวจวินิจฉัยค่ะ

 

อายุครรภ์ที่เหมาะสมใน การเจาะชิ้นเนื้อรก

สำหรับการเจาะชิ้นเนื้อรกเพื่อตรวจวินิจฉัยก่อนคลอดนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักทำตั้งแต่อายุครรภ์ได้ 10 สัปดาห์ขึ้นไปค่ะ ซึ่งการทำหัตถการ transabdominal CVS สามารถทำได้ตลอดระยะการตั้งครรภ์เลยค่ะ แถมยังเป็นทางเลือกที่ดีในการเก็บตัวอย่างเซลล์ทารกในครรภ์อีกด้วย หากหัตถการอื่นทำได้ยาก เช่น ภาวะน้ำคร่ำน้อยจะทำให้ไม่สามารถเจาะน้ำคร่ำ หรือเจาะเลือดสายสะดือทารกในครรภ์ได้ค่ะ เพราะมีความเสี่ยง แต่การทำหัตถการในอายุครรภ์ที่เหมาะสมแนะนำให้อยู่ระหว่าง 10 – 14 สัปดาห์ค่ะ

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

วิธีเตรียมตัวก่อน การเจาะชิ้นเนื้อรก

1. ตรวจสอบข้อบ่งชี้ในการทำหัตถการ

คุณแม่ตั้งครรภ์บางรายอาจจะมีข้อบ่งชี้มากกว่าหนึ่งอย่าง เช่น คุณแม่ท้องมีอายุมาก ทำให้เสี่ยงต่อภาวะโครโมโซมผิดปกติของทารกในครรภ์ แถมยังเป็นคู่ที่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ ทำให้ทารกเป็นโรคธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงได้

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

2. เลือกช่องทางการทำหัตถการ

การเจาะชิ้นเนื้อรก สามารถทำได้สองช่องทาง คือ การดูดเก็บชิ้นเนื้อรกโดยจะใช้เข็มเจาะผ่านทางหน้าท้องแม่ตั้งครรภ์ หรือการดูดเก็บ หรือคีบตัดชิ้นเนื้อรกไว้ โดยจะมีการใช้อุปกรณ์สอดผ่านทางปากมดลูกค่ะ ถึงแม้ว่าการเจาะชิ้นเนื้อรกส่วนใหญ่จะสามารถทำหัตถการผ่านช่องทางใดก็ได้ ขึ้นอยู่กับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์และผู้ทำหัตถการ อย่างไรก็ตามร้อยละ 3 – 5 ของการเจาะชิ้นเนื้อรก จำเป็นต้องทำผ่านทางช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้นนะคะเพื่อความปลอดภัย

บทความที่เกี่ยวข้อง : การเจาะน้ำคร่ำ ทำเพื่ออะไร อันตรายไหม จะเจาะโดนลูกหรือเปล่า?

 

 

ข้อห้ามในการทำหัตถการ

  • แม่ท้องที่มีภาวะช่องคลอดเกร็งตัวมากเกินไปจนผิดปกติ
  • มีภาวะปากมดลูกตีบ
  • พบก้อนเนื้องอกที่ปากมดลูก หรือก้อนเนื้องอกที่ตัวมดลูกด้านล่าง จึงทำให้เข้าถึงรกได้ยาก
  • ปากมดลูกอักเสบติดเชื้อ หรือ ช่องคลอดอักเสบติดเชื้อ โดยเฉพาะ herpes infection
  • มดลูกคว่ำหน้าหรือคว่ำหลังมากเกินไปจึงทำให้เข้าถึงรกได้ยาก

 

จากข้อความข้างต้นสรุปง่าย ๆ ก็คือ การตรวจชิ้นเนื้อรก ถือเป็นการทดสอบที่ดำเนินขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อตรวจสอบหาความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารก เช่น ตรวจหาภาวะดาวน์ซินโดรม หรือทารกอาจจะมีภาวะผิดปกติอื่น ๆ เป็นต้น

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

ตั้งครรภ์แล้ว ต้องตรวจอะไรบ้างและทำไมต้องตรวจ ?

ตรวจคัดกรองดาวน์ซินโดรมวิธีไหนดี เด็กกลุ่มอาการดาวน์เป็นอย่างไร

เจาะลึก 5 ขั้นตอนการเจาะน้ำคร่ำ เจาะน้ำคร่ำ ได้ผลอะไร เสี่ยงไหม ?

ที่มา : MED CMU

บทความโดย

supasini hangnak