เมื่อใกล้ถึงเทศกาลวันตรุษจีน เราจะรู้สึกได้ถึงความครึกครื้น ยินดีไม่ได้แตกต่างจากเทศกาลปีใหม่ หรือคริสมาสต์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีน ต่างก็จะกุลีกุจอ เตรียมตัวเพื่อต้อนรับวันปีใหม่ ตามความเชื่อของคนจีน และผู้ที่มีเชื้อสายจีนนั่นเอง งั้นก่อนอื่นเรามาดู ประวัติวันตรุษจีน กันดีกว่า ว่าวันตรุษจีนนี้มีความเป็นมาอย่างไร และความหมายสัญลักษณ์แต่ละอย่างมีความหมายอย่างไรกันบ้าง
ประวัติวันตรุษจีน ตำนานตรุษจีน
หากจะย้อนถึงตำนานความเป็นมาของเทศกาลตรุษจีนนั้น ไม่ปรากฎแน่ชัดตามหน้าประวัติศาสตร์ แต่หลายคนที่เป็นคนจีน หรือผู้ที่มีเชื้อสายจีนนั้น เชื่อว่าประเพณีของเทศกาลวันตรุษจีน ประวัติวันตรุษจีน หรือที่คนจีนมักจะเรียกว่าวัน “กว้อชุนเจี๋ย” หรือ “กว้อเหนียน” เกิดขึ้นจากตำนานของสัตว์ที่ดุร้าย มีลักษณะคล้ายสิงโต ที่มีชื่อว่า เหนียน
เหนียน คือสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายศีรษะกับสิงโต และมักจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาลึกเป็นส่วนใหญ่ มักจะออกมากินคน และสัตว์อื่น ๆ เป็นอาหาร
บางความเชื่อกล่าวว่า เมื่อความดุร้ายของเหนียนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น พระเจ้าจึงลงโทษ และสาปให้เหนียนจะสามารถออกจากภูเขา เพื่อมาหาอาหารได้เพียง 1 ครั้ง ต่อปีเท่านั้น
แต่อีกความเชื่อหนึ่งได้กล่าวว่าเมื่อฤดูหนาวกำลังจะจบลง ก้าวสู่ฤดูใบไม้ผลิ เหนียนจะออกจากการจำศีลในช่วงหน้าหนาว และออกมาหาอาหาร เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ในช่วงฤดูอันอบอุ่น มันจึงต้องออกจากภูเขาลึก เพื่อมากัดกินผู้คน และสัตว์ทั้งหลายไปเป็นอาหาร ทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัวการไล่ล่ากัดกินของเหนียนเป็นอย่างมาก
เพื่อป้องกันการมาของเหนียน ทุกบ้าน จึงได้กักตุนอาหาร ตระเตรียมเสบียง ต่างปิดประตู หน้าต่างเอาไว้ รอการไปของเหนียน เพื่อให้รอดพ้นจากการเป็นเหยื่อของมัน โดยในคืนวันนั้น ทุกบ้านจะไม่ยอมหลับ ยอมนอน เฝ้าคอยอธิษฐานสวดมนต์ขอพร เพื่อให้รอดพ้นสู่เช้าวันใหม่ได้อย่างปลอดภัย เมื่อถึงรุ่งสาง ทุกบ้านจะเปิดประตูออกมา แสดงความยินดีต่อกัน ที่ไม่ถูกเหนียนทำร้าย และอยู่รอดปลอดภัยถึงเช้าวันใหม่ร่วมกัน
หลังจากที่เหนียนผิดหวังจากหมู่บ้านแรกไปแล้ว จึงได้ไปสู่อีกหมู่บ้านหนึ่งเพื่อหาเหยื่อ ปรากฎเด็กน้อยหลายคน กำลังเล่นหวดแส้กัน ทำให้เกิดเสียงดัง เจ้าเหนียนเมื่อได้ยินเสียงดังจากแส้ ก็เกิดความตกใจ จึงได้รีบวิ่งหนีไปยังหมู่บ้านถัดไป
แต่เมื่อถึงหมู่บ้านถัดไป ปรากฎว่า มีบ้านหลังหนึ่ง ได้ตากเสื้อสีแดงเอาไว้บริเวณหน้าบ้าน เจ้าเหนียนเห็นสีแดง ก็เกิดความหวาดกลัว และถอยหนีไปอีกเช่นกัน จนไปถึงหมู่บ้านถัดไปอีก ก็ปรากฎว่าเขากำลังก่อกองไฟ เจ้าเหนียนก็ขยาดกลัวไฟที่ลุกโชน จนทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกต และเชื่อว่า จุดอ่อนของเจ้าเหนียน ก็คือการกลัว เสียงดัง กลัวสีแดง กลัวแสงไฟ นั่นเอง จึงไม่ยากเลย ที่จะกำจัด และป้องกันสัตว์ดุร้ายอย่างเจ้าเหนียนได้โดยง่าย
การกำเนิดเทศกาลตรุษจีน
เมื่อวันส่งท้ายตรุษจีนเวียนมาอีกครั้งหนึ่ง ทุกครัวเรือนต่างนำกระดาษสีแดงมาติดไว้บนประตูหน้าบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกับจุดประทัด และตีฆ้องรัวกลองอย่างต่อเนื่อง เมื่อพลบค่ำ เหนียน มาเห็นทุกครัวเรือนมีแสงไฟสว่างไสว มีเสียงประทัดดังสนั่นจึงตกใจเผ่นหนีกลับเข้าป่าไป และไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก
ทุกคนจึงผ่านพ้นคืนแห่งอันตรายไปอย่างปลอดภัย เมื่อฟ้าสางผู้คนจึงออกมาจากบ้าน กล่าวคำอวยพรซึ่งกัน และกันอย่างมีความสุข พร้อมกับการนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันอย่างสนุกสนาน ต่อมาวันดังกล่าวจึงกลายเป็นวันเฉลิมฉลองที่มีแต่ความสุขที่เรียกกันว่า “ตรุษจีน”
ที่มาของนักษัตรปีจีน
นักษัตรจีนประกอบด้วยสัตว์หลายสิบชนิดที่เป็นตัวแทนของแต่ละวัฏจักร 12 ปีของจักรราศี แต่ตัวสัตว์เองก็ไม่ได้อาศัยทั้งดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ กลับมีรากฐานมาจากตำนาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เชื่อกันว่าได้รับการคัดเลือกตาม “เผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่” ที่เห็นพวกเขาเข้าเส้นชัยตามลำดับ: หนู วัว เสือ กระต่าย มังกร งู แพะ ม้า ลิง ไก่ สุนัข และหมู ปฏิทินจันทรคติดำเนินไปตามลำดับนี้ โดยหนูเริ่มวัฏจักร และหมูจะสรุปปิดท้าย
สัตว์แต่ละตัวในจักรราศีเชื่อมโยงกับฤดูกาล ทิศทาง และองค์ประกอบทางธรรมชาติ ควบคู่ไปกับลักษณะนิสัยที่เกี่ยวข้องกับสัตว์แต่ละชนิดตามประเพณี (เช่น วัวมีความแข็งแรง ในขณะที่เสือโคร่งกล้าหาญ เป็นต้น) การจำแนกประเภทเหล่านี้เชื่อว่ามีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพของเรา
บทความที่เกี่ยวข้อง : ทำนายนิสัยคนตามนักษัตรจีน จากตำนานญี่ปุ่น แม่นแค่ไหนมาดูกัน
อาหารค่ำเรอูนียง
ในวันส่งท้ายปีเก่า วันก่อนเทศกาลเริ่มต้น ครอบครัวจะเตรียมและรับประทานอาหารมื้อสำคัญที่เรียกว่างานเลี้ยงอาหารค่ำ สำหรับการพบปะสังสรรค์ครั้งพิเศษนี้ สมาชิกในครอบครัวมาจากแดนไกลเพื่อต้อนรับปีใหม่และขอให้โชคดีกับอีก 12 เดือนข้างหน้า
อาหารค่ำแบบเรอูนียงแบบดั้งเดิมประกอบด้วย 8 คอร์ส ราดด้วยข้าวขาว ชา และผลไม้เป็นของหวาน ตามครอบครัวชาวอเมริกันเชื้อสายจีน: “ขบวนอาหารควรรวมถึงอาหารเรียกน้ำย่อยเย็น ซุป อาหารจานหลักสามอย่าง อาหารประเภทผัก บะหมี่ และข้าวผัด”
ในขณะที่อาหารเฉพาะมีตั้งแต่ครอบครัวไปจนถึงครอบครัว อาหารหลายชนิดได้รับการคัดเลือกโดยคำนึงถึงทั้งรสชาติและคำศัพท์ “ตัวอย่างเช่น” Chinese American Family อธิบาย “คำว่าปลา yu ฟังดูเหมือนคำว่า ‘พิเศษ’ หรือ ‘ส่วนเกิน’ ทำให้เป็นส่วนสำคัญของมื้ออาหารตรุษจีน” คำพ้องเสียงของอาหารอื่น ๆ ได้แก่ tangyuan ลูกข้าวที่มีชื่อคล้ายกับคำว่า “การรวมตัว” และส้มเขียวหวานซึ่งมีชื่อชวนให้นึกถึงคำว่า “โชค”
ของที่ใช้ในการตกแต่ง ช่วงเทศกาล
การใช้คำพ้องเสียงนี้ยังแพร่หลายในการตกแต่ง ตัวอย่างเช่น หลายคนแขวนป้ายรูปเพชรสีแดงที่มีตัวอักษร fú (“โชคลาภ”) ที่เขียนในลักษณะกลับหัว มีทิศทางในลักษณะที่ไม่ปกตินี้เพราะ “กลับหัวกลับหาง” เป็นคำพ้องความหมายของ “จะมาถึง” ดังนั้นการจัดเรียงแบนเนอร์ในลักษณะนี้หมายความว่าโชคลาภหรือโชคดีจะมาถึง
ในทำนองเดียวกัน ตามจิตวิญญาณของตำนาน Nian ผู้คนจะตกแต่งบ้านด้วยเครื่องราชอิสริยาภรณ์สีแดง รวมทั้งโคมกระดาษ คัตเอาท์ และกลอนประตู หรือป้ายที่ประดับประดาด้วยบทกวี เนื่องในตำนานส่วนหนึ่ง สีแดงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ “โชคดี” ที่ส่งเสริมบทบาทของสีแดงในฐานะสีที่สำคัญที่สุดของเทศกาล
ซองจดหมายสีแดง (อั่งเปา)
ผู้คนยังแลกเปลี่ยนซองจดหมายสีแดง (มักเรียกว่า “กระเป๋าสีแดง”) ในช่วงเทศกาล เต็มไปด้วย “เงินนำโชค” ส่วนใหญ่มักจะมอบให้กับเด็ก ๆ จากพ่อแม่และปู่ย่าตายาย เงินในซองเป็นสัญลักษณ์ของพรสำหรับปีที่กำลังจะมาถึง และในขั้นต้นจะได้รับเป็นเหรียญที่ผูกด้วยเชือกสีแดง
การจุดประทัด
ประทัดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเนี่ยนยังฝังแน่นในการเฉลิมฉลองวันตรุษจีนอีกด้วย เหมือนกับการใช้ประทัดกับ Nian แบบดั้งเดิมมีการใช้ประทัดเพื่อปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย
แม้ว่าเวลาที่แน่นอนของพวกเขาในช่วงเทศกาลจะแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค ผู้คนจำนวนมากจุดประทัดก่อนงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเตือนบรรพบุรุษของพวกเขาว่างานฉลองกำลังเริ่มต้นขึ้น ยังเป็นธรรมเนียมที่จะจุดไฟในเวลาเที่ยงคืนของวันปีใหม่ ระหว่างเทศกาลโคมไฟในวันที่ 15 และระหว่างขบวนพาเหรด
ประเพณีการเชิดสิงโต
นอกจากประทัดแล้ว ขบวนพาเหรดตรุษจีนตามแบบฉบับยังมีการเต้นรำที่ออกแบบท่าเต้นสองประเภท ได้แก่ เชิดสิงโตและเชิดมังกร
นักเต้นสิงโตได้รับแรงบันดาลใจจาก Nian ซึ่งเชื่อกันว่ามีหัวเป็นสิงโต ในการแสดงเชิดสิงโต นักเต้นสองคนซ่อนตัวอยู่ใต้เครื่องแต่งกายคล้ายสิงโต ซึ่งตามเนื้อผ้าแล้วจะประกอบด้วยเศียรกระดาษ โครงไม้ไผ่ และผ้าที่มีขนเรียงราย พวกเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเหมือนแมวและมักจะแสดงโลดโผน
การเต้นรำของมังกรต้องใช้ทีมนักเต้นที่มีโครงสร้างคล้ายมังกรที่คดเคี้ยว ลำตัวประกอบขึ้นด้วยเสาหลายส่วน ต่อเข้ากับส่วนหางและส่วนหัวตกแต่ง บ่อยครั้ง มังกรติดตามบุคคลที่ถือลูกกลมบนไม้ซึ่งหมายถึงการเป็นตัวแทนของ “ไข่มุกแห่งปัญญา”
วันตรุษจีนในประเทศไทย
ชาวไทยเชื้อสายจีนจะถือประเพณีปฏิบัติอยู่ 3 วัน คือ วันจ่าย วันไหว้ และ วันปีใหม่
1. วันจ่าย หรือ ตื่อเส็ก
คือวันก่อนวันสิ้นปี เป็นวันที่ชาวไทยเชื้อสายจีนจะต้องไปซื้ออาหารผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ ก่อนที่ร้านค้าทั้งหลายจะปิดร้ายหยุดพักผ่อนยาว ในตอนค่ำจะมีการจุดธูปอัญเชิญเจ้าที่ หรือ ตี่จู๋เอี๊ย ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อรับการสักการะบูชาของเจ้าบ้าน หลังจากที่ได้ไหว้อัญเชิญขึ้นสวรรค์เมื่อ 4 วันที่แล้ว
2. วันไหว้ คือ วันสิ้นปี
จะมีการไหว้ 3 ครั้ง คือ
จะเรียกว่า ไป๊เล่าเอี๊ย เป็นการไหว้เทพเจ้าต่างๆ เครื่องไหว้คือ เนื้อสัตว์ 3 อย่าง (ซาแซ ได้แก่ หมูสามชั้นต้ม ไก่ เป็ด ปรับเปลี่ยนเป็นชนิดอื่นได้ หรือมากกว่านั้นได้จนเป็นเนื้อสัตว์ห้าชนิด) เหล้า น้ำชา และกระดาษเงินกระดาษทอง
ไป๊เป้บ๊อ คือการไหว้บรรพบุรุษ พ่อแม่ญาติพี่น้องที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นการแสดงความกตัญญูตามคติจีน การไหว้ครั้งนี้จะไหว้ไม่เกินเที่ยง เครื่องไหว้จะประกอบด้วย ซาแซ อาหารคาวหวาน (ส่วนมากจะทำตามที่ผู้ที่ล่วงลับเคยชอบ) รวมทั้งการเผากระดาษเงินกระดาษทอง เสื้อผ้ากระดาษเพื่ออุทิศแก่ผู้ล่วงลับ หลังจากนั้น ญาติพี่น้องจะมารวมกันรับประทานอาหารที่ได้เซ่นไหว้ไปเป็นสิริมงคล และถือเป็นเวลาที่ครอบครัวหรือวงศ์ตระกูลจะรวมตัวกันได้มากที่สุด จะแลกเปลี่ยนอั่งเปาหลังจากรับประทานอาหารร่วมกันแล้ว
ไป๊ฮ้อเฮียตี๋ เป็นการไหว้ผีพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เครื่องไหว้จะเป็นพวกขนมเข่ง ขนมเทียน เผือกเชื่อมน้ำตาล กระดาษเงินกระดาษทอง พร้อมทั้งมีการจุดประทับเพื่อไล่สิ่งชั่วร้ายและเป็นสิริมงคล
3. วันขึ้นปีใหม่ หรือ วันเที่ยว หรือ วันถือ
คือวันที่หนึ่งของเดือนที่หนึ่งของปี (ชิวอิก) วันนี้ ชาวจีนจะถือธรรมเนียมโบราณที่ยังปฏิบัติสืบต่อกันมาถึงปัจจุบัน คือ ไป๊เจีย คือ การไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่และผู้ที่เคารพรัก โดยนำส้มสีทองไปมอบให้ เหตุที่ให้ส้มก็เพราะออกเสียงภาษาจีนแต้จิ๋วว่า “กา” ซึ่งไปพ้องกับคำว่าทอง เพราะฉะนั้นการให้ส้มจึงเหมือนนำโชคดีไปให้ จะมอบส้มจำนวน 4 ผล ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าของผู้ชาย เหตุที่เรียกวันนี้ว่าวันถือคือ เป็นวันที่ชาวจีนถือว่าเป็นสิริมงคล งดการทำบาป จะมีคติถือบางอย่าง เช่น ไม่พูดจาไม่ดีต่อกัน ไม่ทวงหนี้กัน ไม่จับไม้กวาด และจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าใหม่แล้วออกเยี่ยมอวยพรและพักผ่อนนอกบ้าน เป็นต้น
ความเชื่อเรื่องโชคลางในวันตรุษจีน
1. หลีกเลี่ยงการทำงานบ้านในวันขึ้นปีใหม่ (วันตรุษจีน) เนื่องจากการทำงานบ้าน เช่น การซักล้าง หรือ การกวาดบ้านปัดฝุ่น จะเป็นการขับไล่ความโชคดีออกไป ดังนั้นการทำความสะอาดบ้านจึงควรเริ่มทำตั้งแต่ก่อนที่วันขึ้นปีใหม่จะมาถึง
2. ไม่พูดคำหยาบหรือพูดคำที่ไม่เป็นมงคล ความหมายเป็นนัย และคำว่า สี่ ซึ่งออกเสียงคล้ายความตายก็จะต้องไม่พูดออกมา ต้องไม่มีการพูดถึงความตายหรือการใกล้ตาย และเรื่องผีสางเป็นเรื่องที่ต้องห้าม
3. ไม่ควรสระผมในวันเริ่มต้นและวันสุดท้ายของวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากการสระผมถือเป็นการชะล้างความโชคดีที่มาถึงในวันขึ้นปีใหม่
4. หากร้องไห้ในวันปีใหม่ จะมีเรื่องเสียใจไปตลอดปี ดังนั้นแม้แต่เด็กดื้อที่ปฎิบัติตัวไม่ดีผู้ใหญ่ก็จะทน และไม่ตีสั่งสอน
5. หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานศพ และการฆ่าสัตว์ปีก
6. ไม่ควรใช้ของมีคมในวันขึ้นปีใหม่ ของมีคมต่างๆ เช่น มีด , กรรไกร , ที่ตัดเล็บ เนื่องจากถือว่าการกระทำของของมีคมนี้จะเป็นการตัดสิ่งหรืออนาคตที่ดี ที่จะนำมาในวันขึ้นปีใหม่
7. ควรระมัดระวังในการทำสิ่งใดๆ ไม่ควรที่จะให้เกิดการสะดุด หรือ ทำสิ่งของตกแตก ซึ่งนั่นจะหมายถึงการนำความโชคไม่ดีเข้ามาในอนาคต
8. การเข้าไปหาใครในห้องนอนในวันตรุษ ถือเป็นโชคร้าย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนป่วยก็ต้องแต่งตัวออกมานั่งในห้องรับแขก
9. ควรใส่เสื้อผ้าสีแดง ซึ่งถือเป็นสีสว่าง สีแห่งความสุข จะนำความสว่างและเจิดจ้ามาให้แก่ผู้สวมใส่
10. เชื่อกันว่าอารมณ์และการปฏิบัติตนในวันปีใหม่ จะส่งให้มีผลดีหรือผลร้ายได้ตลอดทั้งปี
11. บุคคลแรกที่พบและคำพูดที่ได้ยินคำแรกของปีมีความหมายสำคัญมาก ถือว่าจะส่งให้มีผลได้ตลอดทั้งปี จึงมักพูดแต่คำที่มีความหมายดีแก่กัน การได้ยินนกร้องเพลงหรือเห็นนกสีแดงหรือนกนางแอ่น ถือเป็นโชคดี
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
เมนูไหว้เจ้า จากหม้อทอดไร้น้ำมัน ทำได้ง่าย ๆ เมนูวันตรุษจีน
อั่งเปา กับ แต๊ะเอีย เรื่องน่ารู้ของวันตรุษจีนที่คุณอาจคาดไม่ถึง
10 ข้อห้ามวันตรุษจีน 2024 วันตรุษจีน ไม่ควรทำอะไรบ้าง อะไรที่ห้ามทำ
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!