เมื่อคุณแม่กำลังจะต้องไปผ่าคลอดตามคำแนะนำของแพทย์ จนอาจเกิดข้อสงสัยต่าง ๆ ขึ้นมามากมาย ยิ่งถ้าเป็นครั้งแรกของคุณแม่อาจมีความกังวลหลายเรื่อง เช่น ผ่าคลอดเจ็บไหม หรือแผลเป็นจะเป็นอย่างไร ต้องดูแลตนเองแบบไหน บทความนี้จะช่วยหาคำตอบให้คุณแม่เบาใจได้อย่างแน่นอน
ผ่าคลอดเจ็บไหม ?
สำหรับคุณแม่บางคนอาจมีความกังวลถึงความเจ็บปวด ว่าหากต้องผ่า อาจต้องเจ็บมากแน่ ๆ เลย แต่เช่นเดียวกับการผ่าตัดอื่น ๆ แพทย์จะมีวิธีทำให้คุณแม่รับมือกับความเจ็บปวดได้ ด้วยการให้ยาสลบ หรือบล็อกหลังของคุณแม่ ทำให้คุณแม่ไม่เจ็บขณะผ่าคลอด ดังนั้นคุณแม่สามารถสบายใจเรื่องความเจ็บปวดไปได้เลย ในทางกลับกันการคลอดโดยธรรมชาติ จะมีความเจ็บปวดจากการคลอดมากกว่าแบบผ่าตัดด้วย อย่างไรก็ตามคุณแม่ยังต้องเผชิญกับบาดแผลจากการผ่าคลอดด้วย ซึ่งทั้ง 2 แบบมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- การดมยาสลบ : ทำให้ไม่รู้สึกตัวขณะที่ผ่าคลอดเลย ช่วยลดความกังวล หรือความเครียดได้ดี ในส่วนของวิสัญญีแพทย์จะสามารถควบคุมการหายใจ และระบบไหลเวียนเลือดได้สะดวกขึ้น ส่วนข้อเสีย คือ หลังผ่าคลอดแล้วจะทำให้ปวดแผลมากขึ้น เพราะไขประสาทยังเจ็บอยู่ คุณแม่จะมีเวลาปรับตัวน้อย หรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น เจ็บคอ, เสียงแหบ, คลื่นไส้อาเจียน หรือมีอาการเบลอ ๆ เป็นต้น
- การบล็อกหลัง : เป็นวิธีที่ทำให้คุณแม่ยังรู้สึกตัว แต่จะไม่มีความเจ็บปวด ด้วยการใช้ยาชาจะไปกดระบบประสาททำให้ไม่เจ็บแผลในทันที เมื่อทารกคลอดสามารถเห็นหน้าลูกได้เลย ส่วนข้อเสีย คือ หลังคลอดจะขยับตัวลำบาก ไม่สามารถขยับขาได้ 2 – 4 ชั่วโมง อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน และอาจมีอาการปวดหลังหลังจากผ่าคลอดมาใหม่ ๆ เป็นต้น
บทความที่เกี่ยวข้อง : เคยผ่าคลอดมาแล้ว จะคลอดแบบธรรมชาติได้ไหม มีความเสี่ยงอะไรบ้าง
วิดีโอจาก : PRAEW
แผลหลังผ่าคลอดกี่วันหาย ?
หลังจากที่ผ่าคลอดแล้ว จะต้องรอให้แผลหายสนิทก่อน โดยปกติแล้วจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 30 – 45 วัน ถึงแม้จะทำการผ่าคลอดไปแล้ว แต่หลังจากผ่าคลอดแพทย์อาจทำการนัดคุณแม่ เพื่อตรวจความสมบูรณ์ และลักษณะของแผลผ่าตัดว่าปกติดีหรือไม่ ซึ่งขณะอยู่ที่บ้าน คุณแม่สามารถดูแลแผลผ่าคลอดได้เบื้องต้น ดังนี้
- ระมัดระวังการเคลื่อนไหว ไม่ให้เร็วเกินไป หรือกระทบกับแผล เวลาลุกนั่ง ยืน หรือเดิน ควรทำอย่างค่อย ๆ ช้า ๆ เพื่อไม่ให้แผลที่หน้าท้องเกิดความตึงมากจนเกินไป โดยอาการปวดแผลส่วนใหญ่จะค่อย ๆ บรรเทาลงหลังจากผ่านไป 48 ชั่วโมง
- ไม่ควรยกของหนัก หรือใช้งาน หรือเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ควรงดเว้นการออกกำลังกาย หรือกิจกรรมใด ๆ ที่ต้องยืดกล้ามเนื้อจนกว่าแผลจะหาย เนื่องจากอาจจะทำให้มีอาการเจ็บแผล หรือแผลเกิดอักเสบได้
- ระวังห้ามแกะแผล และระวังไม่ให้แผลโดนน้ำโดยเด็ดขาด โดยแพทย์จะนัดตรวจแผลผ่าตัด หลังจากตัดไหม หรือหลังจากแผลแห้งดีแล้ว หากโดนน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ ควรใช้ผ้าสะอาดซับน้ำออก หรือเช็ดแผลเบา ๆ เท่านั้น
- คุณแม่สามารถใส่ผ้ารัดหน้าท้องได้ โดยผ้าจะช่วยให้อาการเจ็บแผลบรรเทาลงได้ดี และไม่ให้แผลผ่าตัดถูกดึงรั้งจากผนังหน้าท้องที่อาจยังหย่อนอยู่ หลังจากผ่านการผ่าคลอดมา
ผ่าคลอดได้กี่ครั้ง ?
จริง ๆ แล้วสำหรับการผ่าคลอด สามารถทำได้หลายครั้ง ไม่ใช่ครั้งเดียว แต่ไม่ควรผ่าเกิน 3 ครั้ง เนื่องจากอาจทำให้คุณแม่เริ่มมีความเสี่ยงในการผ่าตัดมากขึ้น เพราะทุกครั้งที่มีการผ่าตัด จะเกิดผลกระทบต่อร่างกายในระยะยาวได้ เช่น จะมีพังผืดเป็นแผลเป็นเกิดขึ้นที่อวัยวะภายในของร่างกาย พังผืดเหล่านี้จะดึงรั้งอวัยวะที่อยู่ใกล้กับมดลูกเข้ามาใกล้ เมื่อมีการผ่าตัดใด ๆ เกี่ยวกับอวัยวะเหล่านั้น จะทำให้มีความเสี่ยงที่จะผ่าโดนอวัยวะใกล้เคียงมากขึ้นตามไปด้วย โดยอวัยวะที่เสี่ยงต่อการผ่าตัดเพื่อรักษาโรค ได้แก่ กระเพาะปัสสาวะ และระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น
นอกจากนี้หากเคยผ่าคลอดมาก่อน เมื่อคุณแม่มีท้องสอง ควรผ่าคลอดอีกครั้ง เนื่องจาก การผ่าคลอดทำให้คุณแม่มีแผลเป็นที่มดลูก ท้องถัดไปเมื่อมดลูกขยาย และบีบตัว ความยืดหยุ่นของมดลูกจะลดลง ทำให้มดลูกตึงมีโอกาสแตกประมาณ 1 % จากที่มดลูกปริได้ การคลอดธรรมชาติจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม นอกจากจะเป็นคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ผ่าคลอดมีเพศสัมพันธ์ได้ตอนไหน ?
หลังจากผ่าคลอดแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ 6 สัปดาห์ขึ้นไปหลังจากนั้น แต่ต้องให้แพทย์ทำการตรวจแผลก่อนทั้งแผลด้านนอก และแผลด้านในว่าแห้งแค่ไหน ปกติหรือยัง หากยังไม่แห้ง การมีเพศสัมพันธ์จะเจ็บมาก แน่นอนว่าระยะเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ได้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของคุณแม่แต่ละคนด้วย
นอกจากนี้หลังจากคลอดแล้ว ร่างกายจะต้องใช้เวลาในการปรับฮอร์โมนอยู่ อาจจะทำให้ประจำเดือนยังไม่มา อาจกินเวลาหลายเดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของคุณแม่แต่ละคนเช่นกัน
ผ่าคลอดน้ำคาวปลาหมดกี่วัน ?
ถึงแม้ว่าจะคลอดด้วยวิธีการผ่าคลอด แต่คุณแม่ก็จะยังคงมีน้ำคาวปลาอยู่ตามปกติ ไม่ต่างจากการคลอดแบบธรรมชาติ โดยน้ำคาวปลาในวันแรก ๆ จะมีสีแดงสด และมีปริมาณมากด้วย หลังจากนั้นสีจะเริ่มเปลี่ยนไป โดยจะมีสีอ่อนลง และมีปริมาณลดลงตามไปด้วย คุณแม่ควรใช้ผ้าอนามัย และคอยดูแลเปลี่ยนบ่อย ๆ สำหรับน้ำคาวปลานี้ จะหยุด หรือแห้งไปเองในสัปดาห์ที่ 2 – 3 หลังจากการผ่าคลอด
ผ่าคลอดกินอะไรได้บ้าง ?
คำถามนี้หลายคนอาจรู้อยู่แล้วว่าการทานอาหารให้ครบ 5 หมู่คงเป็นคำตอบ สำหรับคุณแม่ที่ผ่าคลอดมาก็เช่นกัน นอกจากนี้ยังควรปรับให้มื้ออาหาร เน้นอาหารที่อยู่ในกลุ่มโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ โดยเฉพาะเนื้อปลา เพราะมีโปรตีนที่จำเป็นต่อร่างกาย มีส่วนช่วยในการซ่อมแซม และสร้างเนื้อเยื่อ รวมถึงอาหารประเภทผักใบเขียว และผลไม้ต่าง ๆ เช่น มะละกอสุก, ส้ม หรือฝรั่ง เป็นต้น เพราะมีวิตามินซีสูง จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้แผลหายไว และป้องกันการเกิดแผลเป็น
นอกจากนี้อาจมีคุณแม่หลายคนสงสัยว่า “ผ่าคลอดกินทุเรียนได้ไหม” สำหรับทุเรียนนั้น ถือเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ร้อน และมีธาตุอาหารสูง การที่คุณแม่หลังผ่านการคลอดกินทุเรียน อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยจากภาวะร้อนได้ หากทานมากจนเกินไป ดังนั้นจึงควรไว้ก่อนดีกว่า หากจะกินควรปรึกษาแพทย์ถึงปริมาณที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของคุณแม่เอง
การทำหมันกับการผ่าคลอด
การทำหมันหลังคลอด (Post-partum sterilization) ถือเป็นช่วงเวลาการทำหมันที่นิยมกันมากที่สุด โดยจะสามารถทำได้พร้อมกับการผ่าคลอด หรือทำภายหลังไม่กี่วันจากการคลอดธรรมชาติ ควรทำภายใน 12 – 24 ชั่วโมงหลังคลอด โดยสามารถเลือกทำได้หลายแบบ เช่น ทำผ่าน Laparoscope, ทำแบบ Laparotomy ข้อควรระวัง คือ ไม่แนะนำให้ทำแบบ Hysteroscope หลังจากแท้งน้อยกว่า 6 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามการตัดสินใจต่าง ๆ ควรปรึกษา และขอข้อมูล รวมถึงข้อควรระวังจากแพทย์ก่อน
การผ่าคลอดไม่ได้เจ็บอย่างที่คุณแม่คิด มีทั้งข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป หากสามารถดูแลตนเองตามวิธีที่ถูกต้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อยู่เสมอ คุณแม่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากจนเกินไปหลังจากผ่าคลอด
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
ผ่าคลอด VS คลอดธรรมชาติ ส่งผลกับภูมิต้านทานตั้งต้นอย่างไร
ผ่าคลอดเป็นยังไง แชร์ประสบการณ์ผ่าคลอด ละเอียดยิบ !
ผ่าคลอด มีกี่รูปแบบ ? มีข้อดี ข้อเสียต่างกันอย่างไร
ที่มา : phyathai, sikarin, samitivejhospitals
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!