อุทาหรณ์เตือนใจพ่อแม่ทุกคนที่กำลังเลี้ยงลูกในยุคที่การแข่งขันสูงเหลือเกิน เด็กชายชาวจีน ทำการบ้านติดต่อกัน นานหลายชั่วโมง จนส่งผลต่อระบบประสาทและทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
เหตุการณ์นี้เกิดที่เมืองฉางซา มณฑลหูหนาน ประเทศจีน เมื่อเด็กชายวัย 11 ปีชื่อ “เหลียงเหลียง” (นามสมมติ) ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วนหลังจากพยายามเร่งทำการบ้านช่วงปิดเทอมให้เสร็จ
บทเรียนเฉียดตาย! เด็กชายวัย 11 ปี ทำการบ้านติดต่อกัน 14 ชั่วโมง
เหลียงเหลียงนั่ง ทำการบ้านติดต่อกัน ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 4 ทุ่ม (รวม 14 ชั่วโมง) โดยแทบไม่ได้หยุดพัก รายงานระบุว่ามีแรงกดดันจากผู้ปกครองร่วมด้วย จนกระทั่ง 5 ทุ่ม เหลียงเหลียงเริ่มมีอาการกระวนกระวาย วิงเวียนศีรษะ ชาตามแขนขา และที่น่ากลัวที่สุดคือ เริ่มหายใจเร็วและถี่ จนนิ้วมือหงิกเกร็งคล้าย กรงเล็บไก่ (Claw-like hands) พ่อแม่ตกใจมากและรีบพาลูกส่งโรงพยาบาลทันที
แพทย์วินิจฉัยว่า นี่คือภาวะหายใจเร็วเกินไป (Hyperventilation) ซึ่งเกิดจากความเครียด ความวิตกกังวล และความเหนื่อยล้าสะสมอย่างหนัก ภาวะนี้ทำให้ระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อระบบประสาทและทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัว ผู้อำนวยการแผนกกุมารเวชศาสตร์เตือนว่า หากรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ โรงพยาบาลรายงานว่าในเดือนสิงหาคม (ช่วงปิดเทอม) พวกเขาพบเคสเด็กที่มีอาการคล้ายกันนี้มากกว่า 30 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าจากปกติ โดยมีสาเหตุหลักจากความเครียดเรื่องเรียน กังวลเรื่องสอบ หรือแม้แต่การใช้มือถือนานเกินไป

“ความกดดัน” ที่มองไม่เห็น
เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความกดดันในสังคมที่มีการแข่งขันสูง ทำไมเด็กอายุแค่ 11 ปี ถึงยอมทรมานตัวเอง ทำการบ้านติดต่อกัน 14 ชั่วโมง จนร่างกายพัง?
1. ความกดดันทางการศึกษา
ในหลายประเทศของเอเชีย รวมถึงจีนและไทย เราอยู่ในสังคมที่เน้นผลงาน คุณค่าของเด็กมักถูกวัดด้วย เกรด และการแข่งขัน
- การบ้านที่ล้นเกิน จนเด็กไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเอง
- ความกลัวการตกขบวน ถ้าคุณหยุดพัก คุณคือผู้แพ้ ถ้าคุณไม่เรียนพิเศษ คุณจะตามเพื่อนไม่ทัน
- โลกที่เน้นผลงาน มากกว่าความสงบสุข ข่าวนี้สะท้อนชัดเจนว่า สังคมกำลังให้คุณค่ากับผลงาน (การบ้าน) ที่เสร็จ มากกว่าความสงบสุขของจิตใจเด็กคนหนึ่ง
คุณแม่ลองมองรอบตัวสิคะ สังคมไทยเราต่างกันไหม? การแข่งขันสอบเข้า ป.1, การเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน วันเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้พัก เรากำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่บีบให้ลูกต้องเร่งสปีด จนลืมวิธีผ่อนลมหายใจหรือเปล่า?
2. แรงกดดันจากความรักของพ่อแม่
ในรายงานข่าวระบุว่า เหลียงเหลียงมีแรงกดดันจากผู้ปกครอง theAsianparent เชื่อว่า ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากทำร้ายลูกหรอกค่ะ ทุกสิ่งที่เราทำ เพราะรักและหวังดี อยากให้ลูกมีอนาคตที่ดี ไม่อยากให้เขาลำบาก
แต่บางครั้ง… ความรักที่ผิดวิธี ก็อาจกลายเป็นยาพิษได้ค่ะ
การที่เด็กคนหนึ่งจะนั่ง ทำการบ้านติดต่อกัน 14 ชั่วโมง ได้ ไม่ได้แปลว่าเขาขยันอย่างเดียวนะคะ แต่มันอาจแปลว่าเขากำลัง “กลัว”
- กลัวพ่อแม่ผิดหวัง
- กลัวโดนดุว่า “ยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
- กลัวถูกเปรียบเทียบกับลูกบ้านอื่น
- กลัวไม่เก่งเท่าที่พ่อแม่คาดหวัง
เรากำลังถ่ายโอนความคาดหวัง และความกังวลของเราไปให้ลูกแบกรับหรือเปล่า?
ลองสำรวจตัวเองว่า ประโยคที่เราพูดกับลูกบ่อยที่สุดคือ “การบ้านเสร็จยัง?” หรือ “วันนี้ลูกเหนื่อยไหม?”
เราโฟกัสที่ผลลัพธ์ (งานต้องเสร็จ, ต้องสอบได้ที่ 1) จนเราละเลยกระบวนการ (ลูกเครียดไหม, ลูกยังไหวหรือเปล่า) หรือไม่?
แรงกดดันที่มองไม่เห็นเหล่านี้ อาจทำให้ลูกไม่กล้าแม้แต่จะบอกเราว่า… “หนูไม่ไหวแล้ว”

ผลร้ายที่เกิดขึ้น เมื่อร่างกาย “ลืม” วิธีผ่อนคลาย
ผลลัพธ์ของการที่เด็กต้องฝืนร่างกาย ทำการบ้านติดต่อกัน 14 ชั่วโมง ไม่ใช่แค่เกรดที่ดีขึ้น หรือการชื่นชมชั่วคราว แต่มันคือการสร้างบาดแผลระยะยาว ทั้งกายและใจ
ในทางการแพทย์ ร่างกายเรามีระบบประสาทอัตโนมัติ 2 ส่วน คือ “สู้หรือหนี” (Sympathetic – ทำให้ตื่นตัว) และ “พักและผ่อนคลาย” (Parasympathetic – ทำให้สงบ)
การที่เหลียงเหลียงเครียดจัดติดต่อกัน 14 ชั่วโมง มันคือการเหยียบคันเร่งของระบบ “สู้หรือหนี” ค้างไว้ตลอดเวลา จนร่างกายลืมไปแล้วว่า “เบรกหรือผ่อนคลาย” มันทำยังไง
เมื่อกลายเป็นความเครียดเรื้อรัง (Chronic Stress) จะส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง รบกวนระบบประสาท ทำให้ร่างกายเกร็งตัว หายใจติดขัด และนี่คือที่มาของสารพัดโรคในอนาคต
ที่สำคัญกว่าร่างกาย คือจิตใจค่ะ เรากำลังสร้างเด็กที่สูญเสียความสมดุลในชีวิต โลกของเขามีแค่การแข่งขัน และผลงาน จนไม่มีที่ว่างเหลือให้ความสงบสุข หรือความสุขง่าย ๆ
สิ่งที่เราจะได้มา อาจไม่ใช่เด็กเก่ง แต่เป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล หรืออาจนำไปสู่ ภาวะซึมเศร้าในเด็ก ซึ่งกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากลัวในสังคมไทย
พ่อแม่จะช่วยลูกได้อย่างไร?
ในฐานะพ่อแม่ theAsianparent อยากชวนแม่ ๆ มาปรับจูนคลื่นของเราใหม่ เพื่อปกป้องลูกเรา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปค่ะ
- เปลี่ยนคำถาม แทนที่จะกลับบ้านแล้วถามว่า “การบ้านเสร็จยัง?” ลองเปลี่ยนเป็นกอดลูกแน่น ๆ แล้วถามว่า “วันนี้ลูกเป็นยังไงบ้าง?” “เรียนเหนื่อยไหม?” “มีอะไรอยากเล่าให้แม่ฟังหรือเปล่า?” ให้เขารู้สึกว่า ตัวตนของเขามีค่ากว่า ผลงานของเขา
- สร้างกฎ “พัก” ให้ชัดเจน การพักคือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ สมองที่ได้พัก คือสมองที่เรียนรู้ได้ดีที่สุด อาจจะใช้กฎง่าย ๆ เช่น ทำงาน 45 นาที พัก 15 นาที หรือบังคับให้ลูกลุกไปยืดเส้นยืดสาย ดื่มน้ำ มองออกไปไกล ๆ ต้องไม่มีเด็กคนไหนสมควรต้อง ทำการบ้านติดต่อกัน 14 ชั่วโมง
- สอนลูกเรื่อง ความสมดุลในชีวิต สอนให้เขารู้จักร่างกายตัวเอง สอนให้เขารู้ว่า เครียดได้ แต่ก็ต้องผ่อนคลายให้เป็น
- เป็นพื้นที่ปลอดภัยให้ลูก สร้างบรรยากาศในบ้านให้ลูก กล้าที่จะบอกเราว่า “แม่จ๋า… หนูไม่ไหว” โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนดุ หรือถูกตัดสินว่าอ่อนแอ
สุดท้ายนี้… อยากให้แม่ ๆ ถามตัวเองเบา ๆ คืนนี้ก่อนนอนว่า…เราต้องการ ลูกที่เก่งที่สุด หรือ ลูกที่มีความสุขที่สุด… และยังมีลมหายใจอยู่กับเรา?
ที่มา : Spirit Science , ข่าวสด , clevelandclinic
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
โพสต์อวดเกรดลูก ความภูมิใจของแม่ อาจทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว
อย่ามองแค่เกรด! 5 ทักษะที่มีค่าที่สุด ช่วยลูกรับมือกับอุปสรรคในชีวิต
10 วิธีเลี้ยงลูกให้มีสุขภาพจิตดี ที่สำคัญยิ่งกว่าผลการเรียนเกรด A
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!