อาการปวดหลังหลังผ่าคลอดเป็นเรื่องปกติที่คุณแม่บางท่านอาจพบเจอ อาการปวดมักเริ่มภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังคลอดและอาจคงอยู่เป็นเวลาหลายวันหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน บทความนี้จะกล่าวถึงสาเหตุที่เป็นไปได้ของอาการ ปวดหลัง หลังผ่าคลอด รวมถึงวิธีบรรเทาอาการปวดให้คุณแม่เตรียมตัวรับมืออีกด้วย
ผ่าคลอดและคลอดธรรมชาติ แบบไหนปวดหลังหลังคลอดมากกว่ากัน
การผ่าคลอดและการคลอดธรรมชาติ มักจะมีลักษณะการปวดหลังที่แตกต่างกันไป ดังนี้
- การผ่าคลอด: มักจะมีอาการปวดแบบเฉียบพลัน รู้สึกเสียวแผลบริเวณท้องน้อย เนื่องมาจากการผ่าตัด กล้ามเนื้อและกระดูกสะโพกถูกทำลาย และอาจมีอาการชาจากยาชาที่ใช้ระหว่างผ่าตัด
- การคลอดธรรมชาติ: มักจะมีอาการปวดแบบตื้อ ๆ ปวดเมื่อยบริเวณหลังล่าง เนื่องมาจากมดลูกขยายตัว กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานและข้อต่อต่าง ๆ ถูกยืดขยาย
ดังนั้นทั้งการผ่าคลอดและการคลอดธรรมชาติ ล้วนมีความเสี่ยงต่ออาการปวดหลังหลังคลอด โดยระดับความรุนแรงและระยะเวลาการปวด ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ คุณแม่การปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยง และแนะนำวิธีการป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลังหลังคลอดที่เหมาะสม
บทความที่น่าสนใจ: 15 คำถามที่พบบ่อยเรื่องผ่าคลอด เรื่องน่ารู้ก่อนเป็นคุณแม่
สาเหตุของการ “ ปวดหลัง หลังผ่าคลอด ”
อาการปวดหลังหลังคลอดบุตรอาจสร้างความกังวลใจให้กับคุณแม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่คุณแม่ยังอยู่ในช่วงพักฟื้นหลังการผ่าคลอด เพราะคุณแม่อาจจะคาดว่าคงจะรู้สึกไม่สบายตัวจากแผลผ่าคลอดเท่านั้น แต่การปวดหลังหลังผ่าคลอดนั้นก็ส่งผลทำให้คุณแม่หลายคนไม่สบายตัวมากกว่าที่คิด ดังนั้นเรามารู้ถึงสาเหตุของอาการปวดหลังหลังผ่าคลอดกันเถอะว่าสามารถมาจากสาเหตุใดได้บ้าง
-
การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน
การตั้งครรภ์ไม่เพียงแต่ทำให้ขนาดของท้องเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่มองไม่เห็นในร่างกายของคุณแม่อีกด้วย ซึ่งบางอย่างอาจมีส่วนทำให้เกิดอาการปวดหลังหลังการคลอดได้ เพราะในระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายจะปล่อยฮอร์โมนที่เรียกว่ารีแล็กซิน (Relaxin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่มีบทบาทสำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอด ฮอร์โมนนี้จะทำให้เอ็นและข้อต่อในร่างกายหลวมลงเพื่อให้ง่ายต่อการคลอดทารก ซึ่งการคลายตัวของเอ็นและข้อต่อนี้จะช่วยให้ข้อต่อในกระดูกเชิงกรานสามารถเคลื่อนที่ได้มากขึ้น ทำให้การคลอดทางช่องคลอดเป็นไปได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะบริเวณกระดูกเชิงกรานเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อเอ็นและข้อต่อทั่วร่างกาย ดังนั้นการปล่อยฮอร์โมนรีแล็กซินนี้จะเกิดขึ้นไม่ว่าการคลอดจะเป็นทางช่องคลอดหรือการผ่าคลอด การคลายตัวของเอ็นและข้อต่อทั่วร่างกายทำให้สามารถบาดเจ็บหรือเคล็ดขัดยอกได้ง่ายขึ้น แม้จะเป็นการทำกิจกรรมเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างหรือกลางหลังได้
-
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
ในระหว่างการตั้งครรภ์ ร่างกายของคุณแม่ต้องปรับตัวเพื่อรองรับทารกที่กำลังเติบโต น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้มาจากแค่ทารกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงน้ำคร่ำ รก และการขยายตัวของเต้านมอีกด้วย ดังนั้นทุกส่วนของร่างกายคุณแม่มีบทบาทในการสนับสนุนการเติบโตและพัฒนาการของทารก ซึ่งการที่น้ำหนักส่วนใหญ่ของคุณแม่กระจุกตัวอยู่ที่ด้านหน้าของร่างกาย หรือตรงช่วงท้อง ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายเปลี่ยนแปลง
คุณแม่อาจต้องปรับเปลี่ยนท่าทางในการเดินและยืนเพื่อรักษาสมดุล ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังของคุณต้องทำงานหนักขึ้น นั่นหมายถึงว่าต่อให้คุณคลอดบุตรด้วยการผ่าคลอด ก็อาจได้รับผลกระทบนี้เช่นกัน เพราะคุณมีความจำเป็นที่จะต้องแบกน้ำหนักเหล่านี้ไปจนกว่าจะถึงวันผ่าคลอด
-
การอุ้มลูกน้อยของคุณ
การอุ้มทารกแรกเกิดของคุณอาจดูเหมือนไม่ใช่งานหนัก แต่เมื่อทารกมีน้ำหนักเพียง 2-4 กิโลกรัม ซึ่งแม้จะดูเหมือนไม่มาก แต่ก็เป็นน้ำหนักที่คุณต้องอุ้มไว้ในอ้อมแขนทุกวัน การอุ้มทารกตลอดเวลาสามารถเพิ่มความตึงให้กับร่างกายของคุณแม่ได้
นอกจากนี้ การที่คุณแม่ต้องก้มและอุ้มทารกขึ้นจากเตียงนอนเด็ก เบาะนั่งในรถ และรถเข็นทารกหลายครั้งในแต่ละวันก็อาจทำให้เกิดการเคลื่อนไหวซ้ำ ๆ และทำให้เกิดความตึงของกล้ามเนื้อและข้อต่อ ซึ่งการเคลื่อนไหวเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบต่อท่าทางของคุณ และอาจทำให้เกิดอาการปวดคอและหลังได้
-
การให้นมบุตร
การให้นมแม่ไม่เพียงแต่เป็นการเลี้ยงลูกด้วยอาหารที่ดีที่สุด แต่ยังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการสร้างความผูกพันกับลูกน้อยอีกด้วย แต่ในระหว่างการให้นม คุณแม่ต้องอุ้มพวกเขาในท่าให้นม ดังนั้นการอุ้มให้นมลูกในท่าทางนั้นไว้นานเกินไปอาจทำให้เกิดอาการไม่สบายในคอและหลังได้
เพราะการอยู่ในท่าทางเดียวกันนาน ๆ โดยเฉพาะท่าที่คุณต้องก้มมองลูกตลอดเวลา อาจทำให้คอตึง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดคอที่ร้าวลงไปถึงหลังได้ นอกจากนี้ การยกไหล่ขึ้นเข้าหาลูกน้อยเพื่อให้มั่นใจว่าลูกอยู่ในตำแหน่งที่ดีสำหรับการให้นม ก็อาจทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน
-
ผลของการใช้ยาชา
การใช้ยาชาก่อนการผ่าคลอดทำให้เกิดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังการคลอดเสร็จสิ้นได้ เช่น คุณแม่อาจได้รับการวางยาชาเฉพาะที่หรือบล็อกหลังเพื่อชาบริเวณที่จะทำการผ่าตัด ซึ่งการใช้ยาชาเฉพาะนั้น ก็เพื่อหยุดความรู้สึกจากบริเวณใกล้ไขสันหลังขณะที่แพทย์กำลังผ่าคลอด ทั้งนี้กระบวนการนี้ถูกเรียกว่า “บล็อกหลังคลอด” โดยแพทย์จะฉีดยาชาไปในพื้นที่รอบ ๆ ไขสันหลัง และยาชาจะถูกฉีดใกล้กับไขสันหลังมากขึ้น โดยการบล็อกหลังนี้จะมีระยะเวลา 20-40 นาทีในการชาในช่องท้อง แต่หลังจากที่ยาชาหมดฤทธิ์คุณแม่อาจรู้สึกเจ็บและปวดบริเวณที่มีการฉีดยาชาได้นั่นเอง
บทความที่น่าสนใจ: สาเหตุอาการปวดหลัง เกิดจากอะไร? ปวดหลังแบบไหนอันตราย ต้องรีบรักษา!
วิธีบรรเทาอาการปวดหลังหลังผ่าคลอด
ปวดหลังหลังการผ่าคลอดเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย โดยบางครั้งมันเป็นช่วงเวลาชั่วคราวและความเจ็บปวดจะลดลงเรื่อย ๆ ในระหว่างวันสัปดาห์และเดือนหลังจากการคลอด การดูแลรักษาอย่างถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น โดยสามารถทำได้ด้วยตนเองดังนี้
-
อย่าก้มมากจนเกินไป
พยายามหลีกเลี่ยงการอุ้มช้อนลูกน้อยของคุณบนที่นอนในทางท่าที่ไม่ถูกต้อง ควรรักษาท่าทางที่ดีเพื่อป้องกันอาการเจ็บปวดหลัง คือรักษาหลังตรงและก้มตัวด้วยข้อเข่า เมื่อคุณมั่นใจแล้วว่ามือของคุณประคองลูกน้อยของคุณได้อย่างมั่นคงจึงค่อย ๆ อุ้มพวกเขาขึ้นมา ทั้งนี้หากมีอาการปวดเมื่อย ควรขอให้สามีหรือบุคคลอื่นช่วยวางหรืออุ้มลูกน้อยของคุณในที่ที่ต้องการ เช่น เตียงเด็ก รถเข็น หรือเบาะนั่งในรถ เป็นต้น
-
การให้นม
การนั่งหลังตรงขณะให้นมลูกเป็นอีกหนึ่งท่าทางที่คุณแม่ควรฝึกก่อนคลอด เพื่อลดความตึงของเอ็นที่กระดูกสันหลังและคอ ทำให้บรรเทาอาการปวดหลังที่มีอยู่ได้ รวมถึงคุณแม่ควรหาที่นั่งที่สบายในขณะให้นม หรือจัดหาหมอนรองให้นมมาเพื่อช่วยทำให้ลูกน้อยของคุณอยู่ในตำแหน่งของการให้นมที่ถูกต้อง โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องอุ้มค้างเป็นเวลานาน
-
อาบน้ำอุ่น
การอาบน้ำอุ่นช่วยบรรเทาการตึงของกล้ามเนื้อและอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่หลังได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ความร้อนของน้ำยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดการอักเสบและอาการปวดหลังผ่าคลอดได้อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการผ่าคลอดเป็นการผ่าตัด ควรรอจนกว่าแผลจะหายดี หรือได้รับอนุญาตจากแพทย์ก่อนที่จะอาบน้ำอุ่นเสมอ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของแผลผ่าคลอดนั่นเอง
-
เลือกออกกำลังกายอย่างอ่อน ๆ
หลังจากผ่าคลอดได้ไม่นานคุณแม่สามารถขอคำปรึกษาจากแพทย์ที่ดูแลได้ว่าคุณแม่นั้นสามารถเริ่มออกกำลังกายเบา ๆ ได้แล้วหรือยัง โดยส่วนใหญ่การออกกำลังกายเบา ๆ ที่แพทย์จะแนะนำคุณแม่หลังคลอดคือ พิลาทิส หรือโยคะ ซึ่งช่วยเสริมกล้ามเนื้อหน้าท้องและลดความตึงหลังได้ นอกจากนี้การเดินเล่นอย่างเบาก็สามารถเพิ่มการไหลเวียนเลือดได้เช่นกัน
-
พักผ่อนอย่างเพียงพอ
การเคลื่อนไหวมากเกินไปอาจทำให้อาการปวดหลังหลังคลอดแย่ลง ดังนั้นจึงควรหยุดพักผ่อนร่างกาย เพราะการเคลื่อนไหวมากเกินไปอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดต่อเนื่องของแผลผ่าคลอด นอกจากนี้ควรพักผ่อนช่วงกลางวัน หรือระหว่างวันเท่าที่สามารถทำได้ เพราะการนอนหลับคือวิธีการซ่อมแซมร่างกายที่ดีที่สุด เราเข้าใจเป็นอย่างดีว่าในช่วงแรกของทารกแรกเกิด ทำให้คุณแม่พักผ่อนน้อย ซึ่งอาจส่งผลกระทบมากกว่าอาการปวดหลังได้นั่นเอง
สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญคือ คุณแม่ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เกี่ยวกับความกังวลเรื่องอาการปวดหลังหลังผ่าคลอด แพทย์จะสามารถประเมินสภาพร่างกาย และแนะนำแนวทางดูแลรักษาที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวจากการคลอดบุตรได้อย่างรวดเร็ว และปราศจากอาการปวดหลังในที่สุด
ที่มา: healthline.com, felixhospital.com, vinmec.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
ผ่าคลอดครั้งที่ 3 อันตรายไหม ผ่าคลอดได้ไม่เกินกี่ครั้ง
ผ่าคลอดกี่เดือนถึงจะมีเพศสัมพันธ์ได้ เมื่อไหร่ควรมีเพศสัมพันธ์ได้
ผ่าคลอดกี่วันถึงจะขับรถได้ คำแนะนำสำหรับคุณแม่มือใหม่