5 ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเมื่อ ลูกไม่ยอมสบตา

lead image

การสบตา เป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารที่สำคัญต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเด็ก แต่ถ้า ลูกไม่ยอมสบตา จะเป็นไรไหม เสี่ยงออทิสติกหรือเปล่า

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การสบตา เป็นจุดเริ่มต้นของการสื่อสารของทารกที่สำคัญต่อพัฒนาการทางสังคมและอารมณ์ของเด็ก พ่อแม่หลายคนอาจรู้สึกกังวลใจเมื่อ ลูกไม่ยอมสบตา ไม่แน่ใจว่าอาการแบบนี้เป็นเรื่องปกติหรือเป็นสัญญาณของปัญหาหรือไม่ เราจะพาคุณแม่มาทำความเข้าใจ สาเหตุที่ลูกไม่ยอมสบตา วิธีสังเกต และวิธีแก้ไข เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยค่ะ

 

ลูกไม่ยอมสบตา สาเหตุเกิดจากอะไร

  1. ขาดการกระตุ้นจากผู้ใกล้ชิด

ตั้งแต่แรกเกิด – 3 ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างสัมพันธภาพและพัฒนาทักษะทางสังคม เด็กที่ไม่ได้รับการสบตา โต้ตอบ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ดูแลอย่างเพียงพอ เช่น พ่อแม่ปล่อยลูกไว้กับขวดนม ไม่มีใครเข้ามาเล่นหรือเข้ามาคุยด้วย อาจไม่พัฒนาทักษะการสบตาเท่าที่ควร เพราะขาดการเรียนรู้และแบบอย่าง

  1. มีความผิดปกติของตาและการรับภาพ

ลูกอาจมีปัญหาสายตา เช่น สายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือโรคตาบางชนิด ทำให้เด็กมองเห็นภาพไม่ชัดเจน และส่งผลต่อการสบตาได้ นอกจากนี้ ความผิดปกติของการรับรู้ภาพ เช่น ปัญหาในการแยกแยะใบหน้า หรือการประมวลผลข้อมูลภาพ ก็อาจทำให้เด็กรู้สึกไม่สบายตาเมื่อสบตา ความผิดปกติบางอย่างอาจพบได้ตั้งแต่แรกเกิด บางอย่างอาจแสดงอาการชัดเจนขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น

  1. มีความบกพร่องในการทำงานของระบบประสาท จากการขาดออกซิเจน

ภาวะขาดออกซิเจนในสมอง (เช่น ระหว่างการคลอด) อาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง รวมถึงบริเวณที่ควบคุมการมองเห็นและการประมวลผลข้อมูลทางสังคม ทำให้เด็กมีปัญหาในการสบตาและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยมักพบตั้งแต่แรกเกิด หรือในช่วงขวบปีแรกๆ

  1. โรคออทิสติกสเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder: ASD)

เด็กที่มีภาวะออทิสติกสเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder: ASD) มักมีความบกพร่องในการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม รวมถึงการสบตา ซึ่งอาจเป็นผลมาจากความบกพร่องในการทำงานของสมอง ซึ่งอาการมักเริ่มปรากฏชัดเจนในช่วง 1-3 ปี

  1. ความขี้อายหรือความวิตกกังวลทางสังคม

เด็กบางคนอาจมีบุคลิกขี้อาย หรือมีความวิตกกังวลในสถานการณ์ทางสังคม ทำให้รู้สึกไม่สบายใจที่จะสบตาผู้อื่น โดยทั่วไปมักเริ่มสังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อเด็กเริ่มเข้าสังคมมากขึ้น เช่น ช่วงวัยเข้าโรงเรียนอนุบาล

  1. ความไวของประสาทสัมผัส (sensory processing differences)

เด็กบางคนมีความไวต่อสิ่งเร้าทางประสาทสัมผัสมากกว่าปกติ เช่น แสง เสียง หรือการสัมผัส การสบตาอาจทำให้เด็กรู้สึกไม่สบาย หรือรู้สึกถูกกระตุ้นมากเกินไป ซึ่งพ่อแม่อาจเริ่มสังเกตเห็นรูปแบบการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่แตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ตั้งแต่วัยทารก

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

5 ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเมื่อ ลูกไม่ยอมสบตา

ปัจจุบันมีความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาการไม่สบตาของเด็ก ดังนี้

  1. เด็กที่ไม่สบตาคือเด็กที่ไม่มีมารยาท หรือดื้อ

ความจริง: การไม่สบตาของเด็กอาจมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งทางพัฒนาการ ประสาทสัมผัส หรือความวิตกกังวล การตัดสินว่าเด็กไม่มีมารยาทจึงไม่ถูกต้อง

  1. เด็กที่ไม่สบตาเป็นเด็กออทิสติกเสมอไป

ความจริง: แม้ว่าการไม่สบตาจะเป็นอาการหนึ่งของออทิสติก แต่เด็กที่ไม่สบตาก็อาจมีสาเหตุอื่นๆ ได้ เช่น ความขี้อาย ความแตกต่างทางประสาทสัมผัส หรือปัญหาด้านการมองเห็น การวินิจฉัยออทิสติกต้องอาศัยการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ

  1. เด็กที่ไม่สบตาจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมได้

ความจริง: เด็กแต่ละคนมีวิธีการสื่อสารและสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่แตกต่างกัน แม้เด็กจะไม่สบตา แต่ก็อาจแสดงความสนใจและความรู้สึกผ่านทางอื่นได้ เช่น การแสดงท่าทาง การใช้เสียง หรือการสัมผัส

  1. การบังคับให้เด็กสบตาจะช่วยแก้ปัญหาได้

ความจริง: การบังคับอาจทำให้เด็กเกิดความเครียดและวิตกกังวลมากขึ้น ควรใช้วิธีการที่อ่อนโยนและค่อยเป็นค่อยไปในการส่งเสริมทักษะการสบตาของเด็ก

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  1. ออทิสติกเทียม คือเด็กที่ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่ที่ไม่ใส่ใจเลยทำให้เด็กมีอาการไม่สบตา

ความจริง: แม้ว่าการเลี้ยงดูมีผลต่อพัฒนาการของเด็ก แต่การวินิจฉัยออทิสติกเทียมนั้นจำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยอย่างถูกต้อง ซึ่งออทิสติกเทียมก็มีอาการหลายๆอย่างร่วมด้วยไม่ใช่แค่อาการไม่สบตาอย่างเดียว

 

ลูกไม่ยอมสบตา ทำยังไงดี

เมื่อคุณพ่อคุณแม่สังเกตเห็นว่าลูกไม่ยอมสบตา หรือสบตาน้อยกว่าปกติ ควรรีบหาสาเหตุ และให้การช่วยเหลืออย่างเหมาะสม โดยมีแนวทางดังนี้

  1. ตรวจเช็คความสามารถของเด็ก

  • ประเมินพัฒนาการโดยรวม การไม่สบตา อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความล่าช้า หรือความผิดปกติในการพัฒนาการด้านอื่นๆ เช่น ด้านภาษา การสื่อสาร การเคลื่อนไหว หรือการเรียนรู้ ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นสังเกตพัฒนาการของลูกในด้านต่างๆ และเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานในสมุดสุขภาพ
  • ปรึกษากุมารแพทย์ หากไม่แน่ใจ หรือพบความผิดปกติ ควรพาลูกไปพบกุมารแพทย์ เพื่อตรวจเช็คพัฒนาการอย่างละเอียด แพทย์จะช่วยประเมิน และวินิจฉัยหาสาเหตุของปัญหา รวมถึงให้คำแนะนำในการดูแล และส่งเสริมพัฒนาการของลูก
  1. หาต้นเหตุของปัญหา

  • ขาดการกระตุ้น หากพ่อแม่สบตา พูดคุย และมีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้อยเกินไป อาจส่งผลต่อพัฒนาการด้านการสบตา ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรมีปฏิสัมพันธ์กับลูกให้มากขึ้น เช่น
    • ใกล้ชิดลูกน้อย เข้าหาลูกบ่อยๆ ในระยะใกล้ประมาณ 1 ฟุต
    • พูดคุยและเล่นกับลูก เรียกชื่อลูก พูดคุยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ยิ้ม และเล่นกับลูก
    • สบตาลูกน้อย พยายามสบตาลูกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใบหน้าของคุณพ่อคุณแม่ คือ สิ่งที่ลูกน้อยให้ความสนใจมากที่สุด การสบตาและการแสดงสีหน้าของคุณ จะช่วยดึงดูดความสนใจของลูก และกระตุ้นพัฒนาการด้านการสบตา

ยิ่งคุณพ่อคุณแม่อุ้ม พูดคุย และเล่นกับลูกบ่อยๆ ลูกก็จะยิ่งสนใจมองใบหน้า และเรียนรู้ที่จะสบตาได้นานขึ้น เมื่อลูกน้อยคุ้นเคยกับการสบตา ระยะเวลาที่ลูกสบตาจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น อาจเริ่มจาก 2 วินาที พัฒนาขึ้นเป็น 3 วินาที, 5 วินาที, และ 10 วินาที หรือมากกว่านั้น

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • สิ่งแวดล้อม พิจารณาว่ามีสิ่งเร้าในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ลูกรู้สึกไม่สบายใจหรือไม่ เช่น แสงสว่าง เสียงดัง หรือผู้คนพลุกพล่าน หากเป็นไปได้ ควรปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสมกับลูก

  1. สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและผ่อนคลาย

  • ลดความเครียด สร้างบรรยากาศที่อบอุ่น ผ่อนคลาย และปลอดภัย เพื่อให้ลูกรู้สึกสบายใจ และมั่นใจในการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
  • ความอดทนและเข้าใจ อย่าบังคับ หรือดุว่าลูก แต่ควรให้กำลังใจ และสนับสนุนลูกอย่างอดทน
  1. การใช้เทคนิคการสื่อสารที่เหมาะสม

  • สื่อสารระดับสายตา เมื่อพูดคุยกับลูก ควรนั่ง หรือย่อตัวลงให้ระดับสายตาอยู่ในระดับเดียวกับลูก เพื่อให้ลูกสบตาได้ง่ายขึ้น
  • ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ใช้ภาษาที่เรียบง่าย ชัดเจน และเข้าใจง่าย สื่อสารกับลูกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และเป็นมิตร
  • รอคอย ให้เวลากับลูกในการตอบสนอง อย่าเร่งรัด หรือขัดจังหวะลูก
  1. การส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

  • การเล่น ส่งเสริมให้ลูกเล่นกับเพื่อน หรือพี่น้อง เพื่อฝึกทักษะการสบตา การสื่อสาร และการเข้าสังคม
  • กิจกรรมกลุ่ม พาลูกเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม เช่น กลุ่มเล่น กลุ่มเรียนรู้ หรือกลุ่มบำบัด เพื่อให้ลูกมีโอกาสได้ฝึกปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น

 

ลูกไม่สบตา เมื่อไหร่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

การที่ลูกไม่สบตา ในบางกรณีควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยประเมินและหาแนวทางช่วยเหลือที่เหมาะสม

  1. มีความกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการโดยรวมของเด็ก

  • หากลูกมีพัฒนาการล่าช้าในด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ด้านภาษา การเคลื่อนไหว หรือการเรียนรู้
  • หากลูกไม่บรรลุพัฒนาการตามเกณฑ์มาตรฐานในสมุดสุขภาพ
  • หากคุณพ่อคุณแม่รู้สึกกังวลเกี่ยวกับพัฒนาการของลูก แม้ว่าจะไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน
  1. มีสัญญาณของ ASD หรือความผิดปกติอื่นๆ

  • สัญญาณออทิสติก: หากลูกมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงภาวะออทิสติกสเปกตรัม (ASD) เช่น
    • ไม่สบตา หรือสบตาน้อยมาก
    • ไม่ตอบสนองเมื่อถูกเรียกชื่อ
    • มีปัญหาในการสื่อสาร
    • มีพฤติกรรมซ้ำๆ
    • มีความไวต่อสิ่งเร้า
  • สัญญาณอื่นๆ: หากลูกมีพฤติกรรมที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติอื่นๆ เช่น
  1. การไม่สบตาส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเด็ก

  • ปัญหาการเรียน: หากการไม่สบตาส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ เช่น ไม่สามารถตั้งใจเรียน หรือมีปัญหาในการเข้าสังคมกับเพื่อน
  • ปัญหาครอบครัว: หากการไม่สบตาทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
  • ปัญหาพฤติกรรม: หากการไม่สบตามาพร้อมกับพฤติกรรมก้าวร้าว หรือทำร้ายตนเอง

การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ลูกได้รับการประเมิน วินิจฉัย และช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพัฒนา และปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ดีขึ้น

 

ที่มา DoctorAtHome , คู่มือการดูแลและพัฒนาเด็กเล็กวัย 0-3 ปี

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เช็กสัญญาณเสี่ยง! ออทิสติกเทียม รีบแก้ไข ก่อนเป็นภัยคุกคามพัฒนาการลูก

ทารกได้ยินตอนไหน การได้ยินของทารกเริ่มเมื่อไหร่ กระตุ้นการได้ยินอย่างไร

15 วิธีกระตุ้นสมองทารก ช่วยให้ลูกฉลาด ทำได้ตั้งแต่แรกเกิด

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา