เมื่อการตั้งครรภ์เข้าสู่ช่วงสัปดาห์ที่ 38 คุณแม่หลายคนอาจเริ่มรู้สึกตื่นเต้นและกังวลเกี่ยวกับการคลอดที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่สำคัญมากเนื่องจากอาการใกล้คลอดจะเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้น อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้มักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าเวลาคลอดใกล้เข้ามาแล้ว มาดูอาการ ท้อง 38 สัปดาห์ อาการใกล้คลอด ที่คุณแม่ควรทราบอย่างละเอียดกันดีกว่า
ความเสี่ยงของแม่ท้อง 38 สัปดาห์ อันตรายที่แม่ต้องรู้!
เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ถึง 38 สัปดาห์ หรือประมาณ 9 เดือน จะถือว่าอยู่ในช่วงสุดท้ายของการตั้งครรภ์แล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกพร้อมที่จะเกิดได้ทุกเมื่อ แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ใกล้คลอดแล้ว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงบางอย่างที่คุณแม่ควรทราบและเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การคลอดเป็นไปได้อย่างราบรื่นและปลอดภัยสำหรับทั้งคุณแม่และทารก ดังนี้
-
ภาวะความดันโลหิตสูงในครรภ์ (Preeclampsia)
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพของคุณแม่และทารก อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ช้า และการคลอดก่อนกำหนด โดยอาการที่ควรระวังได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรง มองเห็นไม่ชัด ปวดท้องส่วนบน และหายใจไม่สะดวก ควรตรวจความดันโลหิตเป็นประจำและรับการตรวจเช็กร่างกายจากแพทย์ตามนัด
-
น้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด (Preterm Rupture of Membranes)
หากน้ำคร่ำแตกก่อนถึงกำหนดการคลอด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อในครรภ์และเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด สัญญาณที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ น้ำใส ๆ ไหลออกจากช่องคลอด ซึ่งอาจมีลักษณะเหมือนปัสสาวะ แต่ไม่มีกลิ่นและไม่ควบคุมได้ ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีน้ำคร่ำแตก เพื่อรับการดูแลและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
-
ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ (Gestational Diabetes)
ระดับน้ำตาลในเลือดสูงระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของทารก และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น ทารกมีน้ำหนักมาก การคลอดยาก และภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหลังคลอด ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ ปรับการรับประทานอาหารให้สมดุล และออกกำลังกายอย่างเหมาะสมตามคำแนะนำของแพทย์ ดังนั้นการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเคร่งครัดจะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทั้งสำหรับคุณแม่และทารก
-
ภาวะทารกอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้อง (Malpresentation)
ทารกอาจอยู่ในท่าก้น (Breech) หรือท่าขวาง (Transverse Lie) ซึ่งทำให้การคลอดทางช่องคลอดเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้ แพทย์อาจแนะนำให้ทำการเปลี่ยนท่าทารกในครรภ์ (External Cephalic Version) หรือวางแผนการคลอดด้วยการผ่าตัด (Cesarean Section) เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารก
-
ภาวะทารกน้ำหนักน้อยหรือมากเกินไป (Low or High Birth Weight)
น้ำหนักทารกน้อยเกินไปอาจเป็นสัญญาณของภาวะทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ (Intrauterine Growth Restriction – IUGR) ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ การขาดสารอาหาร หรือโรคประจำตัวของคุณแม่ และหากน้ำหนักทารกมากเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดยาก การเกิดการบาดเจ็บขณะคลอด และการเกิดภาวะเบาหวานหลังคลอด ควรตรวจติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
-
การเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนด (Preterm Labor)
การเจ็บท้องก่อนถึงกำหนดการคลอดอาจเป็นสัญญาณของการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อในครรภ์ ภาวะครรภ์เป็นพิษ หรือการขาดสารอาหารอาการที่ควรระวังได้แก่ การเจ็บท้องเป็นจังหวะ น้ำคร่ำแตก หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด ควรไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้ เพื่อรับการดูแลและรักษาที่เหมาะสม
-
ภาวะรกเกาะต่ำ (Placenta Previa)
รกเกาะต่ำอาจทำให้เกิดการเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงใกล้คลอด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารก การตรวจอัลตราซาวนด์ในช่วงตั้งครรภ์จะช่วยตรวจพบภาวะนี้ได้และวางแผนการคลอดที่เหมาะสม ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเลือดออก เพื่อรับการดูแลที่เหมาะสม
-
ภาวะทารกตัวเหลือง (Jaundice in Newborn)
ภาวะตัวเหลืองเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในทารกแรกเกิด ซึ่งเกิดจากระดับบิลิรูบินในเลือดสูง ควรเฝ้าระวังอาการและตรวจระดับบิลิรูบินในเลือดของทารกตามคำแนะนำของแพทย์ การรักษาอาจรวมถึงการใช้แสงสว่างเพื่อช่วยลดระดับบิลิรูบินในเลือดของทารก
ดังนั้นการพบแพทย์ตามนัด และการตรวจสุขภาพและการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อให้การตั้งครรภ์และการคลอดเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดีสำหรับทั้งคุณแม่และทารก การดูแลตนเองและการรับข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจในการเตรียมตัวสำหรับการคลอดที่ใกล้เข้ามา
บทความที่น่าสนใจ: เช็กด่วน 7 สัญญาณใกล้คลอด พร้อมเคล็ดลับดูแลร่างกายหลังคลอด แข็งแรงไว เบาใจเรื่องแผลเป็นจากการผ่าคลอด
ท้อง 38 สัปดาห์ อาการใกล้คลอด มีอะไรบ้าง
1. ปวดท้องคล้ายมีประจำเดือน
อาการปวดท้องคล้ายมีประจำเดือนเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยในช่วงใกล้คลอด อาการนี้เกิดจากการหดตัวของมดลูก ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการคลอด อาการปวดนี้อาจเริ่มจากเบา ๆ แล้วค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความเจ็บปวดที่ค่อนข้างหนัก ซึ่งบางครั้งอาจมีลักษณะเป็นช่วง ๆ หรือมีการหดตัวเป็นจังหวะ การสังเกตและจดบันทึกการหดตัวของมดลูกจะช่วยให้คุณแม่ทราบว่าความถี่และความรุนแรงของการหดตัวเป็นอย่างไร
2. มีน้ำใส ๆ หรือมูกเลือดออกจากช่องคลอด
การที่มีน้ำใส ๆ หรือมูกเลือดออกจากช่องคลอดเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าปากมดลูกเริ่มเปิดและบางลง มูกเลือดที่ออกมานั้นเป็นผลจากการที่ปากมดลูกขยายและเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนการคลอดหลายชั่วโมงหรือหลายวัน หากพบว่ามีน้ำคร่ำไหลออกมาอย่างต่อเนื่องหรือเป็นน้ำใส ๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก ควรรีบไปพบแพทย์หรือโรงพยาบาลทันที
3. ท้องลดต่ำลง
ท้องของคุณแม่อาจลดต่ำลงเมื่อหัวของทารกเริ่มเข้าสู่กระดูกเชิงกราน การที่ท้องลดต่ำลงนี้สามารถช่วยให้คุณแม่หายใจสะดวกขึ้นเนื่องจากการกดดันที่หน้าอกจะลดลง แต่ในขณะเดียวกันอาจทำให้รู้สึกเจ็บหรือไม่สบายบริเวณกระดูกเชิงกรานและขาหนีบมากขึ้น คุณแม่อาจรู้สึกว่าเดินได้ลำบากกว่าเดิมหรือมีอาการปวดเมื่อยบริเวณเชิงกราน
บทความที่น่าสนใจ: ท้องลดก่อนคลอด อาการท้องลด เป็นอย่างไร ท้องลดตอนกี่สัปดาห์ ท้องลดคือใกล้คลอด จริงไหม
4. ปัสสาวะบ่อยขึ้น
ในช่วงใกล้คลอด คุณแม่อาจต้องปัสสาวะบ่อยขึ้นเนื่องจากทารกที่เคลื่อนลงไปในกระดูกเชิงกรานจะกดดันกระเพาะปัสสาวะมากขึ้น นอกจากนี้การที่มดลูกขยายตัวอย่างต่อเนื่องยังทำให้ความจุของกระเพาะปัสสาวะลดลง ทำให้ต้องปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าปกติ
5. การเคลื่อนไหวของทารกลดลง
เมื่อทารกเติบโตมากขึ้นและพื้นที่ในมดลูกแคบลง การเคลื่อนไหวของทารกอาจลดลงบ้าง แต่คุณแม่ควรยังคงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกอย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง ถ้าการเคลื่อนไหวลดลงอย่างมากหรือหยุดเคลื่อนไหว ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าทารกมีปัญหาหรือขาดออกซิเจน
6. มดลูกบีบตัว (Braxton Hicks Contractions)
มดลูกบีบตัวตัวเป็นจังหวะที่เกิดขึ้นไม่สม่ำเสมอหรือไม่เจ็บปวดมาก เรียกว่า อาการมดลูกบีบตัว หรือ Braxton Hicks Contractions เป็นอาการที่เกิดจากมดลูกหดตัวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการคลอด แต่ถ้าอาการหดตัวนี้เริ่มเป็นจังหวะสม่ำเสมอและเจ็บปวดมากขึ้น อาจเป็นสัญญาณว่าเริ่มเข้าสู่การคลอด คุณแม่ควรจดบันทึกความถี่และระยะเวลาของการหดตัวเพื่อให้แพทย์สามารถประเมินสถานการณ์ได้
7. การเปิดของปากมดลูก
แพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์จะตรวจสอบการเปิดของปากมดลูกเพื่อดูว่าพร้อมสำหรับการคลอดหรือไม่ การเปิดของปากมดลูกเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าเวลาคลอดใกล้เข้ามาแล้ว ปากมดลูกจะเปิดและบางลงเพื่อให้ทารกผ่านออกมาได้ การตรวจสอบนี้มักจะทำในระหว่างการตรวจครรภ์หรือเมื่อคุณแม่มีอาการมดลูกบีบตัวเป็นระยะเวลานาน
การรู้จักและเข้าใจอาการใกล้คลอดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้คุณแม่เตรียมความพร้อมสำหรับการคลอดได้ดีขึ้น เมื่อคุณแม่เริ่มรู้สึกถึงอาการเหล่านี้ ควรจดบันทึกและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากมีข้อสงสัยหรือความกังวลใดๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลผดุงครรภ์ทันที เพื่อความปลอดภัยและสุขภาพที่ดีของทั้งคุณแม่และทารก การเตรียมตัวให้พร้อมทั้งทางกายและใจจะช่วยให้กระบวนการคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย
ในช่วงนี้ คุณแม่ควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอกจากนี้การเตรียมของใช้สำหรับทารกและการเตรียมความพร้อมในบ้านจะช่วยให้คุณแม่รู้สึกพร้อมรับมือกับการคลอดและการดูแลทารกหลังคลอดได้มากขึ้น
ที่มา: nhs.uk, whattoexpect.com, babycenter.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
ตั้งครรภ์ 37 สัปดาห์ อาการคนท้อง และพัฒนาการของทารกในครรภ์
น้ำเดิน ภาวะเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายสำหรับคุณแม่ใกล้คลอด
อาการคนท้องไตรมาส 3 ความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด และสัญญาณใกล้คลอด