พัฒนาการการตั้งครรภ์ประจำสัปดาห์ที่ 13
ยินดีด้วย คุณเข้าสู่ไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์แล้ว โอกาสที่คุณจะแท้งลูกจะยิ่งน้อยลงไปอีกเมื่อคุณก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่ 13 ของการตั้งครรภ์ เรามาดูกันดีกว่าว่าลูกของคุณมีพัฒนาการอย่างไรบ้างในสัปดาห์นี้
พัฒนาการการตั้งครรภ์ประจำสัปดาห์ที่ 13
พัฒนาการของทารกในครรภ์ช่วงสัปดาห์ที่ 13
เจ้าตัวน้อยตอนนี้มีขนาดพอ ๆ กับมะนาวเหลือง ไตและกล้ามเนื้อปากเพื่อใช้ดูดนมแม่หลังคลอดทำงานได้เองแล้ว ลองลูบ ๆ ที่ท้องดูเบา ๆ แล้วคุณจะสัมผัสได้ว่าลูกกำลังขยับตัว ลูกมีรอยนิ้วมือน้อย ๆ ตาและหูก็จะเริ่มชัดเจนขึ้น สิ่งเหล่านี้คุณจะได้เห็นเมื่อมีนัดอัลตราซาวนด์ครั้งต่อไป
เอาล่ะ เรื่องที่เรากำลังจะบอกคุณต่อไปนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจเอามาก ๆ ถ้าคุณกำลังอุ้มท้องลูกสาวอยู่ ตอนนี้ลูกคุณมีไข่กว่าสองล้านใบในรังไข่แล้วล่ะ แต่จำนวนไข่จะลดลงไปครึ่งหนึ่งตอนเกิด ตอนที่ลูกอายุ 17 ปี จำนวนไข่จะลดลงไปเหลือเพียง 700,000 เท่านั้น
สิ่งที่คุณสามารถทำได้ตอนนี้
การตั้งครรภ์ช่วงไตมาสที่สองเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด คุณจะรู้สึกเปล่งปลั่งเหมือนกับว่าที่คุณแม่ทุกคน อันที่จริงแล้วในช่วง 13 สัปดาห์ถัดไปเป็นช่วงเวลาให้คุณได้เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการตั้งครรภ์ช่วงสามเดือนสุดท้ายที่ลูกของคุณจะตัวโตขึ้นมากพอที่จะนั่งอยู่บนกระเพาะปัสสาวะของคุณเลยทีเดียว อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของคุณจะอยู่คงตัวมากขึ้นแล้ว ดังนั้นสำหรับตอนนี้จงดื่มด่ำช่วงเวลาที่สบายที่สุดในการตั้งครรภ์ของคุณเถอะ คุณตั้งครรภ์มาแล้ว 13 สัปดาห์ มาดูกันดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในสัปดาห์ถัด ๆ ไป
ท้อง 3 เดือน ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง ?
เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ท้องของคุณแม่จะเริ่มขยายใหญ่จนเห็นชัดมากขึ้น และมีอาการแพ้ท้องหรืออ่อนเพลียน้อยลง เนื่องจากระดับฮอร์โมนในร่างกายเริ่มคงที่ แต่คุณแม่ที่ตั้งครรภ์ลูกแฝดอาจยังมีอาการแพ้ท้องให้เห็นอยู่บ้าง ส่วนความเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่อาจพบได้ในช่วงการตั้งครรภ์เดือนที่ 3 ได้แก่
- น้ำหนักขึ้น ในช่วงนี้น้ำหนักตัวของคุณแม่จะเพิ่มจากเดิมประมาณ 0.6-2.5 กิโลกรัม ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการตั้งครรภ์ ในรายที่น้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น แพทย์อาจแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักด้วยตัวเองเพื่อผลดีต่อการตั้งครรภ์ แต่หากคุณแม่มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากเกินไปควรปรึกษาแพทย์เพราะอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคอันตรายระหว่างการตั้งครรภ์ เช่น โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะความดันโลหิตสูง เป็นต้น
- หน้าท้องเริ่มขยาย การขยายตัวของผิวหน้าท้องอาจส่งผลให้เกิดรอยแตกลายในบริเวณดังกล่าวได้ คุณแม่อาจใช้โลชั่นหรือครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง เช่น โกโก้บัตเตอร์จากธรรมชาติ โดยควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือและปรึกษาแพทย์ก่อนการเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ ทุกครั้ง
- ปวดศีรษะ อาการปวดศีรษะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการตั้งครรภ์เดือนที่ 3 โดยอาจมีสาเหตุมาจากระดับฮอร์โมนที่สูงขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะขาดน้ำ นอนไม่หลับ หรือเกิดความเครียด ดังนั้น คุณแม่ควรรู้จักผ่อนคลายความเครียดและเอาใจใส่สุขภาพให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดศีรษะลงได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ควรรีบปรึกษาสูติแพทย์เพื่อความปลอดภัย
- วิงเวียนศีรษะ ระดับฮอร์โมนและความดันโลหิตที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ซึ่งหากไม่รุนแรงมากนักก็สามารถบรรเทาอาการโดยการนั่งหรือนอนพักสักครู่ แต่หากอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ นอกจากนี้ คุณแม่อาจป้องกันอาการวิงเวียนศีรษะได้ด้วยการรับประทานของว่างและดื่มน้ำให้เพียงพอ
- มีตกขาวมากขึ้น เป็นเรื่องปกติที่หญิงตั้งครรภ์จะมีตกขาวสีใสออกมาจากช่องคลอด เพื่อช่วยป้องกันช่องคลอดจากการติดเชื้อต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ควรสังเกตความผิดปกติของตกขาวเสมอ หากพบว่ามีสีปกติ เช่น สีเหลือง สีเขียว สีชมพู หรือสีน้ำตาล ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหรือการคลอดก่อนกำหนด
- เลือดออกกะปริบกะปรอย การมีเลือดออกทางช่องคลอดในช่วงตั้งครรภ์อาจเป็นสัญญาณของภาวะที่ร้ายแรงได้ โดยหากมีเลือดออกกะปริบกะปรอยหรือมีเลือดไหลออกมามากร่วมกับอาการปวดเกร็งหน้าท้อง ควรรีบแจ้งแพทย์เพื่อความปลอดภัย
- สภาพผิวหนังเปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์มักส่งผลต่อผิวพรรณของคุณแม่ด้วย โดยอาจทำให้เกิดฝ้าบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและแก้ม ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่เป็นอันตราย และจะค่อย ๆ หายไปหลังจากการคลอดบุตร
- เต้านมเกิดการเปลี่ยนแปลง ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์มักส่งผลให้บริเวณลานหัวนมมีสีเข้มขึ้น และอาจมีอาการคัดเต้านมไปจนถึงช่วงไตรมาสที่ 2 ของการตั้งครรภ์
ท้อง 3 เดือน กับความเปลี่ยนแปลงของทารก
ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการตั้งครรภ์เดือนที่ 3 ทารกจะมีพัฒนาการมากขึ้น โดยอาจเริ่มมีการตอบสนองที่ซับซ้อนกว่าเดิม เช่น การดูด หรือเริ่มขยับตัวเล็กน้อย ซึ่งคุณแม่อาจไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวดังกล่าวจนกว่าจะเข้าสู่ช่วงเดือนที่ 4 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ทารกจะมีพัฒนาการของอวัยวะต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้า เล็บ และดวงตา อีกทั้งไตของทารกจะเริ่มผลิตปัสสาวะเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แต่ยังไม่สามารถระบุเพศได้อย่างชัดเจนในช่วงนี้
ท้อง 3 เดือน คุณแม่ควรทำอย่างไรบ้าง ?
เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของคุณแม่และทารกในครรภ์ การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงการตั้งครรภ์เดือนที่ 3 ที่ทารกกำลังมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นมาก ทำได้ดังนี้
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ แม้การมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจะเป็นเรื่องปกติของการตั้งครรภ์ แต่คุณแม่ก็ควรเอาใจใส่ในการเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เพื่อป้องกันการมีน้ำหนักมากขึ้นเกินความจำเป็น ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ปวดหลัง ปวดขา และอาจรู้สึกอ่อนเพลียกว่าเดิม
- ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรับประทานวิตามินเสริม ในบางกรณี คุณแม่อาจต้องรับประทานวิตามินเสริมเพื่อช่วยให้ทั้งแม่และทารกได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย และช่วยป้องกันภาวะผิดปกติบางอย่างในระหว่างตั้งครรภ์ แต่เพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริมชนิดใดก็ตาม
- ฝึกกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอด การหมั่นฝึกขมิบช่องคลอดเป็นประจำตั้งแต่ในช่วงนี้ส่งผลดีต่อกล้ามเนื้อบริเวณช่องคลอด ทำให้คลอดง่ายและช่วยให้คุณแม่ฟื้นตัวหลังคลอดไวขึ้น ซึ่งหากคุณแม่ต้องการเริ่มฝึก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับทราบวิธีที่ถูกต้องและไม่ส่งผลกระทบต่อครรภ์
- บำรุงผิวอย่างสม่ำเสมอ ผิวหนังที่บอบบางลงเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอาจทำให้เกิดฝ้าที่ใบหน้าได้ง่าย ดังนั้น หากต้องออกไปภายนอกอาคาร คุณแม่ควรทาครีมกันแดดและสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเพื่อป้องกันแสงแดด ส่วนรอยแตกของผิวหนังบริเวณหน้าอก หน้าท้อง สะโพก และก้น ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ร่องรอยเหล่านี้จะค่อย ๆ จางลงไปเองหลังจากคลอดบุตร คุณแม่จึงไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด แต่ควรหมั่นบำรุงผิวอยู่เสมอเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง
- บำรุงผิวหนังอย่างสม่ำเสมอ ผิวหนังที่บอบบางลงจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนอาจทำให้เกิดฝ้าที่ใบหน้าได้ง่าย ดังนั้น หากต้องออกไปภายนอกอาคาร คุณแม่ควรทาครีมกันแดดและสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดเพื่อป้องกันแสงแดด ส่วนรอยแตกของผิวหนังบริเวณหน้าอก หน้าท้อง สะโพก และก้น ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างการตั้งครรภ์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ร่องรอยเหล่านี้จะค่อย ๆ จางลงไปเองหลังจากคลอดบุตร คุณแม่จึงไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด แต่ควรหมั่นบำรุงผิวอยู่เสมอเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้ผิวหนังและช่วยให้รอยแตกลายนั้นจางลงเร็วยิ่งขึ้น โดยอาจเลือกใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมจากธรรมชาติ เช่น โกโก้บัตเตอร์ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ทั้งนี้ ควรปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์
เมื่อใดควรไปพบแพทย์
สิ่งที่ควรระมัดระวังในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์คือภาวะแท้ง ซึ่งเสี่ยงเกิดขึ้นได้สูง และแม้จะมีความเสี่ยงน้อยลงในช่วงปลายเดือนที่ 3 คุณแม่ก็ควรสังเกตอาการต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ หากมีความผิดปกติต่อไปนี้ ควรไปพบแพทย์หรือขอความช่วยเหลือทางการแพทย์โดยด่วนที่สุด เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และทารกในครรภ์
- ปวดท้องอย่างรุนแรง
- มีเลือดหรือของเหลวไหลออกจากช่องคลอดผิดปกติ
- มีเลือดไหลกะปริบกะปรอยติดต่อกันมากกว่า 3 วัน
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรืออาเจียนอย่างรุนแรง
- ปวดศีรษะอย่างรุนแรง
- มองเห็นไม่ชัด หรือมองเห็นจุดภายในลานสายตา
- รู้สึกแสบขณะปัสสาวะหรือปัสสาวะขัด
- มือ เท้า และใบหน้าบวม
- มีอาการปวดหรือเป็นตะคริวที่แขนขาและหน้าอก
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พัฒนาการการตั้งครรภ์ประจำสัปดาห์ที่ 14
อาหารเด็ก 1 ขวบ เมนูผลไม้ อาหารเด็ก รสชาติอร่อย เพิ่มพัฒนาการ!
วิธีเล่นแบบไหนช่วยเสริมพัฒนาการลูก
https://www.phyathai-sriracha.com/pytsweb/index.php?page=department/ivf4-5
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!