X
TAP top app download banner
theAsianparent Thailand Logo
theAsianparent Thailand Logo
คู่มือสินค้า
เข้าสู่ระบบ
  • อยากท้อง
  • ระยะการตั้งครรภ์
    • โภชนาการ เเม่ท้อง เเม่ให้นม
    • ไตรมาส 1
    • ไตรมาส 2
    • ไตรมาส 3
    • ตั้งชื่อลูก
  • แม่ผ่าคลอด
    • พัฒนาการเด็กผ่าคลอด
    • เตรียมตัวผ่าคลอด
    • สุขภาพเด็กผ่าคลอด
    • คู่มือคุณแม่ผ่าคลอด
    • การดูแลหลังผ่าคลอด
    • โภชนาการเด็กผ่าคลอด
  • หลังคลอด
    • คลอดธรรมชาติ
    • ผ่าคลอด
    • การให้นมลูก
  • สุขภาพและโภชนาการ
    • โภชนาการ
    • สุขภาพ
  • ลูก
    • ทารกแรกเกิด
    • ทารก
    • เด็กวัยหัดเดิน
    • เด็กก่อนวัยเรียน
    • เด็ก
    • เด็กก่อนวัยรุ่น และวัยรุ่น
  • ชีวิตครอบครัว
    • ความรักและความสัมพันธ์
    • การเลี้ยงลูก
    • มุมคุณพ่อ
    • ประกันชีวิต
    • การวางแผนการเงิน
    • ความรัก และ เซ็กส์
  • การศึกษา
    • เด็กวัยประถม
    • โรงเรียนประถม
    • มัธยมศึกษา
    • แบบฝึกหัดและข้อสอบ
    • แนะแนวการศึกษาต่างประเทศ
  • ผู้หญิง
    • แฟชั่น
    • ความงาม
    • ฟิตเนส
  • ที่เที่ยว
    • เที่ยวไทย
    • เที่ยวต่างประเทศ
    • ที่พัก และ โรงแรม
  • ที่กิน
    • ร้านอร่อย
    • ร้านอร่อยสำหรับเด็ก
    • คาเฟ่
    • เมนูอาหาร
  • ไลฟ์สไตล์
    • ดวง
    • ทำนายฝัน
    • สีมงคล
    • บทสวดมนต์
    • ข่าว
    • ดูแลบ้าน
    • แนะนำโดย TAP
    • อีเว้นท์
  • TAPpedia
  • วิดีโอ
    • การตั้งครรภ์
    • ทารก
    • คำแนะนำในการเลี้ยงลูก
    • การให้นมบุตร
    • อาหารเสริมทารก & โภชนาการ
    • เด็กเล็ก
  • ชอปปิง
  • #สอนลูกเรื่องเงิน ฉบับพ่อแม่
  • VIP

เอาวัยเด็กของหนูมา!! หมอบอก ลูกเข้าเรียนเร็ว ให้ลูกเรียนมาก อาจทำให้ลูกสมาธิสั้น?

บทความ 5 นาที
เอาวัยเด็กของหนูมา!! หมอบอก ลูกเข้าเรียนเร็ว ให้ลูกเรียนมาก อาจทำให้ลูกสมาธิสั้น?

แน่นอนว่าการเลี้ยงลูกของแต่ละครอบครัวแตกต่างกัน พ่อแม่ทุกคนต่างก็มีจุดหมายที่วางไว้ให้ลูกแต่ละคน ในยุคที่สังคมเมืองมีการแข่งขันกันอย่างเห็นได้ชัด มีใครบ้างล่ะที่ไม่อยากจะเห็นลูกตัวเองประสบความสำเร็จที่ดีในอนาคต

พ่อแม่บางคนยังตัดสินใจไม่ถูก ว่าควรจะให้ลูกเข้าเรียนตอนวัยอนุบาลเมื่อถึงอายุครบ 3 ขวบเลยดีมั้ย หรือบางบ้านส่งลูกไปเข้าชั้นเตรียมอนุบาลตั้งแต่อายุ 1 ขวบกว่าแล้ว ลูกเข้าเรียนเร็ว ไปได้ผลดีหรือมีผลแย่กันแน่?

หมอบอก ลูกเข้าเรียนเร็ว ให้ลูกเรียนมาก อาจทำให้ลูกสมาธิสั้น?

คุณหมอหมอสังคม จงพิพัฒน์วณิชย์ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ จากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้มีการนำเสนอข้อมูลไว้ในเพจ คลินิกเด็กหมอสังคม ในเรื่องนี้ไว้ว่า “จากการศึกษาในเด็กวัย 3-9 ปี ประเทศอเมริกา เปรียบเทียบระหว่างปี 1997-2000 (พ.ศ.2540-2543) พบว่าในปี 2000 เด็กจะเข้าเรียนอนุบาลเร็วขึ้น ต้องอ่านหนังสือ ทำการบ้านเพิ่มขึ้น และพ่อแม่ก็มีบทบาทที่จะต้องช่วยสอนและช่วยทำการบ้านมากขึ้น ทำให้เด็กมีเวลาเล่น มีความเป็นเด็กในวัยของตัวเองน้อยลง ส่งผลให้มีเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 1997”

ลูกเข้าเรียนเร็ว

สังคมเกี่ยวกับการศึกษาลูกในบ้านเราก็ไม่ต่างกัน พ่อแม่บางคนเริ่มส่งให้ลูกเข้าเตรียมอนุบาลตั้งแต่อายุ 1 ขวบกว่า ๆ ซึ่งอาจเกิดได้จากปัจจัยที่พ่อแม่ต้องกลับไปทำงาน จึงต้องให้ลูกเข้าเรียนเร็ว หรืออาจเป็นเพราะกลัวลูกจะไม่เก่ง สอบเข้าโรงเรียนดัง ๆ ไม่ได้ จึงรีบให้ลูกเข้าเรียนเพื่อปูทางการเรียน ให้ลูกได้อ่าน ออก เขียน และบวกเลขได้ มีการบ้านกลับมาให้ทบทวนมหาศาล เลิกเรียนต้องให้ลูกเรียนพิเศษ หรือวันหยุดก็พาไปติวกวดวิชา แทบไม่ได้หยุดพักผ่อน หรือไม่มีเวลาได้เล่น หรือทำกิจกรรมอย่างเหมาะสมกับวัยลูก ชีวิตความเป็นเด็กของลูกกำลังเริ่มหายไป ความสนุก สดใส ในวัยของเด็กของลูกมันหดหายไปเร็วขึ้น ต่างจากวัยของคุณพ่อคุณแม่ที่ตอน 6-7 ขวบยังวิ่งเล่น ไล่จับ ปีนต้นไม้กันอย่างสนุกสนาน ซึ่งมี ผลให้เด็กมีโอกาสเป็นโรคสมาธิสั้นเพิ่มขึ้น

ลูกเข้าเรียนเร็ว

Advertisement

จากงานวิจัยของ จอห์น ฟอร์เรสเตอร์ (John Forester) นักวิจัยการศึกษาของอเมริกา ได้ค้นพบอย่างไม่คาดคิดว่า เด็กที่เป็นหัวหน้าด้านสังคมและกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่เป็นเด็กที่เข้าโรงเรียนช้า มีหลักฐานว่าในเด็กที่เข้าเรียนช้าหรือตามเกณฑ์นั้นจะมีแนวโน้มที่เรียนเก่งกว่า มีความประพฤติดีกว่า และมีทักษะทางด้านสังคมก็ดีกว่า มีความคิดสร้างสรรค์ มีความเชื่อมั่นในตนเอง และในอนาคตจะเป็นประชากรที่ดีมีคุณภาพ

นักวิจัยชื่อ ยูรี บรอนเฟนเบรนเนอร์ (Urie Bronfenbrenner : Cornell University) และ อัลเบิร์ต แบนดูร่า (Standford U.) พบว่าเด็กเล็ก ๆ ที่เข้าโรงเรียนเร็วเกินไป ไม่ค่อยได้อยู่ใกล้ชิดพ่อแม่ มักจะตามความคิดของเพื่อน ๆ เด็กเหล่านี้มักจะติดเพื่อน เชื่อฟังเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ และไม่เชื่อมั่นในตนเอง เกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เช่น เพื่อน ๆ ชอบดูการ์ตูนหรือทีวี มือถือ ก็ดูตาม เป็นต้น ในที่สุดก็อาจทำให้เด็กไร้ที่พึ่งทางความคิดที่ดีจากผู้ใหญ่ ทำตามเพื่อน ๆ อย่างไร้หลักการ ไม่มองโลกในแง่ดี ดำเนินชีวิตตามอย่างเพื่อน ๆ โดยไม่เข้าใจอะไรเลย และจากงานวิจัยหลายแห่งยืนยันว่า เด็กที่อยู่กับพ่อแม่ช่วงก่อนวัยเรียนและไปโรงเรียนหลังจากที่พร้อมแล้ว ในอนาคตมักจะเป็นหัวหน้าชั้นหรือหัวหน้าในสังคมและเป็นเด็กที่เข้ากับสังคมได้ดี

ย้อนกลับมาในเรื่องที่คุณหมอกล่าวถึงการกระตุ้นลูกให้เรียนเร็วหรือมากเกินไป ตั้งแต่อายุยังน้อยหรือในวัยที่ลูกยังไม่พร้อม แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุชัดเจนที่ทำให้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เชื่อว่าน่าจะเกิดได้จากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงดูของพ่อแม่ การกระตุ้นที่มากเกินไป ทำให้ลูกมีความรู้สึกต้องเร่งรีบ หรือกับเด็กเล็กที่ยังไม่มีสมาธิดีพอที่จะนั่งเรียนเป็นเวลานาน ๆ ก็อาจส่งผลให้มีสมาธิสั้นได้ ทั้งนี้คุณหมอกล่าวทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า “เด็กในวัยเดียวกันจะมีความพร้อมไม่เท่ากัน เหมือนกับผลไม้ต้นเดียวกันแต่สุกไม่พร้อมกัน หรือดอกไม้ต้นเดียวกันจะบานไม่พร้อมกัน การยัดเยียดเด็กที่ยังไม่พร้อมเข้าโรงเรียน เปรียบเสมือนไปเร่งเด็ดผลไม้ที่ยังไม่สุกลงมารับประทานหรืออ้ากลีบดอกไม้ที่ยังตูมอยู่ให้บาน ผลปรากฏว่าผลไม้ที่ยังไม่สุกหรือยังอ่อนจะมีรสฝาด ไม่หวานเท่าที่ควร หรือกินไม่ได้ต้องทิ้งไป และดอกไม้ตูมที่เราอ้ากลีบเร่งให้บานอาจจะเหี่ยวเฉา ไม่สวยงามเหมือนดอกไม้ที่บานตามธรรมชาติ

ถึงเวลาหรือยัง ที่เราต้องมาช่วยกันคิด ทบทวนว่าควรจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ลูกถูกเร่งเร้า กระตุ้นให้เรียนหรือทำกิจกรรมมากมาย จนแทบไม่มีเวลาได้พัก ได้อยู่กับครอบครัว และให้เอาชีวิตความเป็นเด็กของลูกคืนมา”.

เอาวัยเด็กของหนูมา!! หมอบอก ลูกเข้าเรียนเร็ว ให้ลูกเรียนมาก อาจทำให้ลูกสมาธิสั้น?

รู้จักโรคสมาธิสั้น

โรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactivity Disorder) คือ ภาวะผิดปกติทางจิตเวชที่ส่งผลให้มีสมาธิสั้นกว่าปกติ ขาดการควบคุมการเคลื่อนไหว ทำให้มีลักษณะอาการซุกซน วอกแวกง่าย ไม่เคยอยู่นิ่ง เวลาที่พูดด้วยจะไม่ตั้งใจฟังและเก็บรายละเอียดไม่ค่อยได้ ขาดความรับผิดชอบ พบได้ค่อนข้างบ่อยในเด็กที่มีช่วงอายุระหว่าง 3 – 7 ปี แต่ในรายที่เป็นไม่มาก อาการจะแสดงออกชัดเจนกว่าในช่วงหลัง 7 ขวบขึ้นไป เพราะเป็นช่วงที่ต้องเข้าโรงเรียน มีงานและการบ้านต้องรับผิดชอบหลาย ๆ ชิ้นในเวลาเดียวกัน มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคุณครู รวมไปถึงการที่จะต้องรู้จักปรับตัวในการทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่นและการเข้าสังคม โดยสาเหตุแท้จริงนั้นไม่สามารถทราบได้ชัดเจน แต่หนึ่งในนั้นคือการที่สมองส่วนหน้าซึ่งเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสมาธิและการยับยั้งชั่งใจทำงานน้อยกว่าปกติ

อาการเด็กสมาธิสั้น

การจะรู้ว่าเจ้าตัวเล็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่ นอกจากต้องสังเกตจากลักษณะอาการที่ปรากฏแล้ว ยังจำเป็นจะต้องพิจารณาจากระยะเวลาที่เป็น และสถานที่ที่เด็กมีอาการ กล่าวคือ

1) อาจมี (A) หรือ (B)

(A) หากเด็กมีอาการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ต้องมี 6 ข้อ (หรือมากกว่า) ของอาการขาดสมาธิ ติดต่อกันเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน โดยที่อาการต้องถึงระดับที่ผิดปกติและไม่เป็นไปตามพัฒนาการตามวัยของเด็ก ได้แก่ อาการขาดสมาธิ (Inattention) คือ

  • มักไม่สามารถจดจ่อกับรายละเอียดหรือไม่รอบคอบเวลาทำงานที่โรงเรียนหรือทำกิจกรรมอื่น
  • มักไม่มีสมาธิในการทำงานหรือการเล่น
  • มักดูเหมือนไม่ได้ฟังสิ่งที่คนอื่นพูดกับตนอยู่
  • มักทำตามคำสั่งได้ไม่ครบ ทำให้ทำงานในห้องเรียน งานบ้าน หรืองานในที่ทำงานไม่เสร็จ (โดยไม่ใช่เพราะต่อต้านหรือไม่เข้าใจ)
  • มักมีปัญหาในการจัดระบบงานหรือกิจกรรม ทำงานไม่เป็นระเบียบ
  • มักเลี่ยงไม่ชอบหรือไม่เต็มใจในการทำงานที่ต้องใช้ความคิด (เช่น การทำการบ้านหรือทำงานที่โรงเรียน)
  • มักทำของที่จำเป็นในการเรียนหรือการทำกิจกรรมหายบ่อย ๆ (เช่น อุปกรณ์การเรียน)
  • มักวอกแวกไปสนใจสิ่งเร้าภายนอกได้ง่าย
  • มักหลงลืมทำกิจวัตรที่ต้องทำเป็นประจำ

(B) ต้องมี 6 ข้อ (หรือมากกว่า) ของอาการอยู่ไม่นิ่ง – หุนหันพลันแล่น นานติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน โดยที่อาการต้องถึงระดับที่ผิดปกติและไม่เป็นไปตามพัฒนาการตามวัยของเด็ก ได้แก่

  • อาการอยู่ไม่นิ่ง (Hyperactivity)
  • หยุกหยิก อยู่ไม่สุข ชอบขยับมือและเท้าไปมา หรือนั่งนิ่ง ๆ ไม่ได้
  • มักลุกจากที่นั่งในห้องเรียนหรือในสถานการณ์อื่นที่เด็กจำเป็นต้องนั่งอยู่กับที่
  • มักวิ่งไปมาหรือปีนป่ายสิ่งต่าง ๆ ในที่ ๆ ไม่สมควรกระทำ
  • ไม่สามารถเล่นหรือทำกิจกรรมอย่างเงียบ ๆ ได้
  • มัก “พร้อมที่จะวิ่งไป” หรือทำเหมือนเครื่องยนต์ที่เดินเครื่องอยู่ตลอดเวลา
  • มักพูดมาก พูดไม่หยุด
  • อาการหุนหันพลันแล่น (Impulsivity)
  • มักโพล่งคำตอบโดยที่ฟังคำถามไม่จบ
  • มักไม่ชอบการเข้าคิวหรือการรอคอย
  • มักขัดจังหวะหรือสอดแทรกผู้อื่น (ระหว่างการสนทนาหรือการเล่น)

2) เริ่มพบอาการเหล่านี้ตั้งแต่ก่อนอายุ 7 ขวบ

3) พบความบกพร่องที่เกิดจากอาการเหล่านี้ในสถานการณ์อย่างน้อย 2 แห่ง เช่น ที่บ้านหรือที่โรงเรียน

4) อาการต้องมีความรุนแรงจนกระทั่งรบกวนการเรียน การเข้าสังคม หรือการทำงานอย่างชัดเจน

5) อาการไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างที่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยเป็น Pervasive Developmental Disorder, Schizophrenia, Psychotic Disorder และอาการต้องไม่เข้าได้กับอาการของโรคทางจิตเวชอื่น ๆ (เช่น Mood Disorder, Anxiety Disorder, Dissociative Disorder หรือ Personality Disorder)

 

สัญญาณเตือนรีบรักษา

หากเด็กเป็นโรคสมาธิสั้น มีเพียง 15 – 20% เท่านั้นที่สามารถหายได้เองเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่อีกประมาณ 60% นั้นไม่หายขาดและจะเป็นโรคนี้ไปจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นการสังเกตและรู้เท่าทันสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่ต้องเข้ารับการรักษาคือสิ่งสำคัญ ได้แก่

  • ผลการเรียนตกต่ำลง ถ้ามีอาการมากมักพบได้ตั้งแต่ในช่วงที่เด็กเรียน ป.1 – ป.2และผลการเรียนจะยิ่งตกมากขึ้นในช่วง ป.4 แต่ในกรณีที่เด็กมีไอคิว (IQ – Intelligence Quotient) ความสามารถทางเชาวน์ปัญญาสูง อาจไม่ส่งผลกระทบต่อผลการเรียนมากเท่าไรนัก และอาจเริ่มสังเกตเห็นอาการในช่วงมัธยม แต่ในเด็กที่เป็นทั้งโรคสมาธิสั้นและโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ (LD – Learning Disorder) ควบคู่กันจะส่งผลต่อผลการเรียนค่อนข้างมากคือ คะแนนคาบเส้นหรือหวุดหวิดเกือบสอบตก
  • คุณครูมีการรายงานพฤติกรรมความผิดปกติของเด็กกับพ่อแม่ผู้ปกครอง
  • พ่อแม่ผู้ปกครองเริ่มสงสัยและเห็นความผิดปกติของเด็กชัดเจนมากขึ้น
  • เด็กหรือเพื่อนที่เด็กเล่นด้วยมีอาการบาดเจ็บ เนื่องจากเล่นรุนแรงและผาดโผนมากเกินไป
  • เด็กเริ่มแยกตัวออกจากกลุ่ม อยู่โดดเดี่ยวคนเดียว ไม่ชอบสื่อสารและเข้าสังคม (ถูกเพื่อนปฏิเสธหรือรังแก)

วิธีรักษาแก้โรค

ปัจจุบันวิธีรักษาโรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactive Disorder) มี 4 วิธี ได้แก่

  1. ปรับพฤติกรรมและกระตุ้นพัฒนาการเด็ก ซึ่งจะได้ผลดีมากในเด็กที่ยังเป็นไม่มากและยอมเต็มใจที่จะเข้ารับการฝึกเพื่อให้อยู่นิ่ง
  2. รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง โดยแพทย์จะเลือกชนิดยาที่เหมาะกับอาการและวัยของเด็ก เช่น Methylphenidate ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองให้หลั่งสารสื่อประสาทเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการรับประทานทานยานั้นให้ผลในการรักษาที่ดีได้ถึง 70 – 80% โดยประมาณ และเด็กจะมีอาการดีขึ้นหลังจากรับประทานยาไปแล้วภายใน 1 – 4 สัปดาห์
  3. เรียนแบบตัวต่อตัว เพื่อช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กให้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นโรคบกพร่องทางการเรียนรู้ร่วมด้วยนั้นจะเรียนไม่ทันเพื่อน พ่อแม่ผู้ปกครองควรหาวิธีพัฒนาการเรียนของเด็กอย่างเหมาะสม
  4. ปรึกษาแพทย์ต่อเนื่อง เพื่อทำความเข้าใจและขอคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง การสื่อสารกันระหว่างแพทย์ ครู และผู้ปกครอง เพื่อลดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กที่อาจเกิดขึ้นได้

อ้างอิงข้อมูลจาก :

เพจคลินิกหมอสังคม

www.doctor.or.th

บทความเกี่ยวข้องที่น่าสนใจ :

โรคสมาธิสั้นของลูกเรื่องยาวของแม่

ให้ลูกกินอะไรเมื่อเจ้าหนูเป็นเด็กสมาธิสั้น

บทความจากพันธมิตร
นมสำหรับเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ สร้างสมองไว เสริมภูมิคุ้มกันแข็งแรง ที่แม่ยุคใหม่เลือก
นมสำหรับเด็กผ่าคลอดเจนใหม่ สร้างสมองไว เสริมภูมิคุ้มกันแข็งแรง ที่แม่ยุคใหม่เลือก
Dadi International Kindergarten เรียนรู้สนุก เล่นอย่างสร้างสรรค์ ด้วย 3 ภาษา พร้อมเสริมสร้างทักษะ EF
Dadi International Kindergarten เรียนรู้สนุก เล่นอย่างสร้างสรรค์ ด้วย 3 ภาษา พร้อมเสริมสร้างทักษะ EF
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
ดูแลทารกแรกเกิดวิกฤติน้ำหนักเพียง 500 กรัมสำเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญระดับสากล ที่ โรงพยาบาลเด็กสมิติเวช อินเตอร์เนชั่นแนล
ซีรีแล็ค จูเนียร์ โจ๊ก อร่อย ได้ประโยชน์ ตัวช่วยแม่ยุคใหม่
ซีรีแล็ค จูเนียร์ โจ๊ก อร่อย ได้ประโยชน์ ตัวช่วยแม่ยุคใหม่

มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!

Follow us on:
facebook-logo instagram-logo tiktok-logo
img
บทความโดย

Napatsakorn .R

  • หน้าแรก
  • /
  • พัฒนาการลูก
  • /
  • เอาวัยเด็กของหนูมา!! หมอบอก ลูกเข้าเรียนเร็ว ให้ลูกเรียนมาก อาจทำให้ลูกสมาธิสั้น?
แชร์ :
  • 100 ไอเดีย เมนูมื้อเช้าให้ลูกไปโรงเรียน อร่อยไม่ซ้ำ ทำง่าย ได้ประโยชน์

    100 ไอเดีย เมนูมื้อเช้าให้ลูกไปโรงเรียน อร่อยไม่ซ้ำ ทำง่าย ได้ประโยชน์

  • 5 เพลงคลาสสิก พัฒนาสมองลูก พร้อมเคล็ดลับให้เพลงพัฒนาสมองลูก

    5 เพลงคลาสสิก พัฒนาสมองลูก พร้อมเคล็ดลับให้เพลงพัฒนาสมองลูก

  • หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

    หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

  • 100 ไอเดีย เมนูมื้อเช้าให้ลูกไปโรงเรียน อร่อยไม่ซ้ำ ทำง่าย ได้ประโยชน์

    100 ไอเดีย เมนูมื้อเช้าให้ลูกไปโรงเรียน อร่อยไม่ซ้ำ ทำง่าย ได้ประโยชน์

  • 5 เพลงคลาสสิก พัฒนาสมองลูก พร้อมเคล็ดลับให้เพลงพัฒนาสมองลูก

    5 เพลงคลาสสิก พัฒนาสมองลูก พร้อมเคล็ดลับให้เพลงพัฒนาสมองลูก

  • หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

    หากลูกหมกมุ่นกับ 3 สิ่งนี้... พฤติกรรมที่ผู้ปกครองควรจับตา และรับมืออย่างทันท่วงที

ลงทะเบียนรับคำแนะนำเรื่องการตั้งครรภ์พัฒนาการลูกในท้องได้ที่นี่
  • เตรียมตัวเป็นผู้ปกครอง
  • พัฒนาการลูก
  • ชีวิตครอบครัว
  • ระยะการตั้งครรภ์
  • โภชนาการ
  • ไลฟ์สไตล์
  • TAP สังคมออนไลน์
  • ติดต่อโฆษณา
  • ติดต่อเรา
  • Influencer Marketing (KOL)
  • มาเข้าร่วมกับเรา


  • Singapore flag Singapore
  • Thailand flag Thailand
  • Indonesia flag Indonesia
  • Philippines flag Philippines
  • Malaysia flag Malaysia
  • Vietnam flag Vietnam
© Copyright theAsianparent 2025. All rights reserved
เกี่ยวกับเรา |ทีม|นโยบายความเป็นส่วนตัว |ข้อกำหนดการใช้ |แผนผังเว็บไซต์
  • เครื่องมือ
  • บทความ
  • ฟีด
  • โพล

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว

เราใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์คอนเทนต์ที่ดีที่สุดให้กับคุณ. เรียนรู้เพิ่มเติมตกลง เข้าใจแล้ว