โรคผื่นผ้าอ้อมนั้น มักจะพบเห็นในเด็กวัยแรกเกิดระหว่าง 3- 24 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่มีปัสสาวะและอุจจาระบ่อยเป็นพิเศษ จึงต้องสวมใส่ผ้าอ้อมตลอดเวลา นอกจากนี้เด็กทารกอายุระหว่าง 9-12 เดือน จะมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นผื่นผ้าอ้อมมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงวัยที่เริ่มหัดนั่ง จึงทำให้ลูกน้อยนั่งทับผ้าอ้อมเปียกชื้นบ่อยครั้ง และผิวหนังมีโอกาสเสียดสีกับพื้นผิวสัมผัสที่อาจมีเชื้อโรคปะปนมา
สาเหตุหลักของการเป็นโรคผื่นผ้าอ้อม คือ เชื้อราในบริเวณผิวหนังที่สวมใส่ผ้าอ้อม ความอับชื้นหรือการหมักหมมของอุจจาระหรือปัสสาวะในบริเวณนั้นอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อรา ส่วนสาเหตุอื่นๆของผื่นผ้าอ้อม คือ อาการแพ้อาหาร โรคเลือดบางประเภท แพ้น้ำยาหรือสารเคมี เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือแพ้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวบางชนิด เช่น แป้งหรือโลชั่น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรเฝ้าระวังอาหารหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ลูกน้อยใช้ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผื่นผ้าอ้อมหรือโรคผิวหนังอื่นๆ ได้
อาการของโรคผื่นผ้าอ้อมนั้นส่วนใหญ่รุนแรงไม่มาก คือ อาการคันและเกาจนผิวหนังอักเสบ ซึ่งส่งผลให้เกิดรอยผื่นแดงและผด หากอาการมีความรุนแรงปานกลาง ผื่นจะแดงมากขึ้น โดยจะมีขนาดและรอยถลอกกว้างขึ้น ในกรณีรุนแรงก็อาจมีผื่นแดงจัด เป็นตุ่มนูน ตุ่มน้ำ ตุ่มหนอง รอยถลอกอาจขยายเป็นบริเวณกว้างไปที่ลำตัวหรือต้นขาด้านใน หรือกลายเป็นแผลลึกได้ ส่วนใหญ่แล้วผื่นผ้าอ้อมจะหายเองหลังจากมีการดูแลรักษาบริเวณผิวเป็นเวลาประมาณ 3-4 วัน แต่ถ้าหากอาการไม่บรรเทาลงภายในหนึ่งอาทิตย์ คุณพ่อคุณแม่ควรพาลูกน้อยไปพบแพทย์
วิธีง่ายๆที่คุณพ่อคุณแม่สามารถดูแลและปกป้องผิวของลูกน้อยให้ห่างไกลจากโรคผื่นผ้าอ้อม คือ การเปลี่ยนผ้าอ้อมอย่างสม่ำเสมอตลอดวัน เพื่อป้องกันการอับชื้นและหมักหมมของเชื้อโรค เช่น แบคทีเรียในอุจจาระ และเพิ่มความสบายตัวให้แก่ลูกน้อยไม่ให้เกิดอาการระคายเคืองตามตัว การทำความสะอาดบริเวณนี้ที่ถูกต้องคือ ถ้ามีอุจจาระทุกครั้งให้พาลูกไปล้างที่ก๊อกน้ำทันที่ เพื่อชะล้างเศษอุจจาระออกให้มากที่สุด หลังจากล้างเสร็จให้สำรวจดูว่าอาจมีเศษอุจจาระติดอยู่ตามซอก ค่อยใช้สำลีชุบน้ำเช็ดออกเบาๆเพิ่มเติมจนเกลี้ยง วิธีที่ดีที่สุด คือถ้ามีก๊อกน้ำควรใช้น้ำล้างทุกครั้ง เพราะการใช้สำลีชุบน้ำ หรือกระดาษเปียกเช็ดปริมาณอุจจาระที่เปื้อนเป็นบริเวณกว้าง อาจทำได้ไม่สะอาดเต็มที่ และหากเช็ดถูแรงเกินไป จะทำให้ผิวหนังที่บอบบางของลูกถลอก ทำให้แบคทีเรียหรือเชื้อราจากอุจจาระเข้าสู่ชั้นใต้ผิวหนังทำให้ติดเชื้อตามมาได้ง่าย แต่ถ้าเป็นเพียงการเปียกเปื้อนปัสสาวะการบีบน้ำราดบริเวณนี้เพียงเล็กน้อยแล้วซับให้แห้งก่อนเปลี่ยนผ้าอ้อมผืนใหม่ก็สะอาดเพียงพอแล้วค่ะ นอกจากนี้คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกเสื้อผ้าให้ลูกน้อยที่ไม่แน่นคับจนเกินไป เพื่อให้ลูกน้อยสวมใส่อย่างคล่องตัวและมีอากาศระบายถ่ายเท ทำให้ไม่อับชื้นและเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา ในกรณีที่ลูกน้อยเป็นผื่นผ้าอ้อมติดต่อกันหลายครั้ง คุณพ่อคุณแม่ควรพิจารณาเปลี่ยนยี่ห้อผ้าอ้อมสำเร็จรูป
พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิดกล่าวถึงโรคผื่นผ้าอ้อมในเด็กว่า “คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรละเลยการดูแลผิวของลูก โดยเฉพาะในวัยใส่ผ้าอ้อม เนื่องจากเด็กทุกคนมีอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคผื่นผ้าอ้อมได้ วิธีที่ง่ายที่สุดในการปกป้องและดูแลผิวของลูกให้ห่างไกลจากผื่นผ้าอ้อม คือการทาครีมบำรุงหลังการเปลี่ยนผ้าอ้อมทุกครั้ง เพื่อเคลือบผิวไม่ให้เสียดสีกับผ้าอ้อมโดยตรง ป้องกันความเปียกชื้นจากปัสสาวะหรืออุจจาระที่หลงเหลือและอาจก่อให้เกิดผื่นผ้าอ้อมได้ นอกจากนี้การทาครีมเคลือบผิวยังช่วยให้ผิวหนังของลูกน้อยชุ่มชื้นและนุ่มนวลอยู่เสมอ ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องคำนึงถึงส่วนผสมหลักของครีมป้องกันที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะซิงค์ ออกไซด์ (Zinc Oxide) ซึ่งช่วยในกระบวนการซ่อมแซมผิวให้กลับสู่สภาวะสมดุล และ ลาโนลิน ไฮโปอัลเลอเจนิค (Lanolin Hyper-allergenic) ที่ช่วยลดการสูญเสียน้ำ ให้ความชุ่มชื้น และบรรเทาอาการระคายเคืองของผิว”
นอกจากนี้ พญ. สุธีรา ยังได้กล่าวถึงผลข้างเคียงของโรคผื่นผ้าอ้อม ต่อพัฒนาการของเด็กเล็ก “การที่ลูกน้อยมีอาการระคายเคืองจากผื่นผ้าอ้อมหรือโรคผิวหนังอื่นๆ อาจทำให้เขานอนหลับไม่สนิทหรือไม่เต็มอิ่ม ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ได้ นอกจากนี้อาการเจ็บตามบริเวณที่สวมใส่ผ้าอ้อมเวลาที่นั่งทับ อาจทำให้ลูกน้อยไม่อยากหัดนั่ง ทำให้งอแงอยากให้อุ้มตลอดเวลา อาการเจ็บอาจทำให้ลูกอั้นอุจจาระปัสสาวะเพราะกลัวว่าจะเจ็บผิวหนังเวลาทำความสะอาด ทำให้มีปัญหาด้านการขับถ่ายเกิดภาวะท้องผูกเพราะอั้นไว้ หรือกลายเป็นเด็กกลัวการขับถ่าย หรือ หากอั้นปัสสาวะก็จะทำให้ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะตามมา ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงไม่ควรละเลยปัญหาโรคผื่นผ้าอ้อม เพราะนอกจากจะทำให้ลูกน้อยมีปัญหาทางสุขภาพแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและการเรียนรู้อีกด้วย”
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!