แพทย์หญิงดาริน จตุรภัทรพร อดีตอาจารย์ประจำโรงพยาบาลรามาธิบดี ได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง กับการทำหน้าที่แม่อย่างเต็มตัว ภายหลังจากที่ลูกสาวของตัวเองต้องคลอดก่อนกำหนด
ย้อนไปในปี 2012 ตอนนั้นเป็นอาจารย์แพทย์สาขาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาตร์ผู้สูงอายุ ของรพ.รามาธิบดี …ได้ไปประชุมที่แคนาดาซึ่งเป็นช่วงที่กำลังท้องประมาณ 5.5 เดือน ขากลับแวะไปเยี่ยมสามีซึ่งทำงานอยู่ที่แคลิฟอร์เนีย ..วันต่อมาปวดท้องมากๆ แอดมิทอยู่ 6 วันก็คลอดเลย จากภาวะรกลอกตัวก่อนกำหนด …ตอนนั้นไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกบ้าง ด้วยความที่เป็นหมอซึ่งรู้ภาวะแทรกซ้อนเยอะ ในใจก็มีแต่ความกังวล และรู้สึกผิดมาก คิดโทษตัวเองอยู่ซ้ำๆว่าเพราะเรา ลูกถึงเป็นแบบนี้
ด้วยอายุครรภ์เพียง 24 สัปดาห์ กับอีก 2 วัน ทำให้ ลินลา ลูกสาว ได้ถือกำเนิดออกมาโดยมีน้ำหนักเพียง 555 กรัม ขนาดตัวของลินลานั้นเท่า ๆ กับตุ๊กตาบาร์บี้ ลินลาจึงเข้าข่ายเป็นเด็ก Micro preemie (Micro Peemie หมายถึงเด็กคลอดก่อนกำหนดที่อายุครรภ์น้อยกว่า 26 สัปดาห์ หรือ มีน้ำหนักน้อยกว่า 800 กรัม)
หลังคลอดไม่นาน พยาบาลก็เข็นไปเยี่ยมลูก ซึ่งมันจะผ่านกระดิ่งอันนึง เค้าให้เราสั่น มันจะมีเสียงเพลงดังไปทั่ว รพ. แล้วพยาบาลก็พูดขึ้นมาว่า “Congratulations!” ตอนนั้นเหมือนสติถูกดึงกลับมาว่า “ใช่แล้ว นี่เป็นเรื่องน่ายินดีนะ มีชีวิตใหม่ถือกำเนิดขึ้นมา นี่ลูกออกมาเจอเราแล้วนะ” ความคิดที่ลบอยู่ก็ค่อยๆกลับมาเป็นบวก…
วันที่ 3 ที่ลินลาเกิดมา ก็ถามพยาบาลเล่นๆว่า เมื่อไหร่จะได้กอดลูกเนี่ย เค้าเลยตอบว่ากอดเลยไหมตอนนี้ แล้วก็เอาลูกออกจากตู้มาให้อยู่บนหน้าอกเรา มือเล็กๆเค้าไต่บนหน้าอกเรา มันตื้นตันใจมาก อยากบอกว่าคิดถึงลูกมาก เพราะที่ผ่านมาเกือบ 6 เดือน เราได้อยู่ใกล้กันตลอด แต่ 3 วันที่ผ่านมาทำได้แค่เพียงยืนมองลูกอยู่ห่างๆจากนอกตู้ จะจับลูกก็กล้าๆกลัวๆ เพราะตัวเล็กมาก และกลัวเอาเชื้อโรคไปให้ลูก แต่พอวันนี้ได้ใช้เวลาด้วยกัน 1 ชั่วโมงครึ่ง จึงดีใจเป็นที่สุด เป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก รู้แค่มันพิเศษมากๆ เหมือนมาเติมแรงที่กำลังจะหมด ให้สู้ต่อได้
คลิกเพื่ออ่านประสบการณ์เรื่องเล่าของคุณหมอได้ที่หน้าถัดไป
พอลาคลอดครบ 1 ปีก็ต้องลาออก(ชั่วคราว)จากอาชีพหมอ…แรกๆก็จิตตก เพราะที่ผ่านมาเป็นหญิงทำงานมาตลอด ต้องมาเจอสภาพอย่างนี้ ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสําคัญที่ทําให้ “ลดอัตตา” ลงได้มาก เมื่อ ก่อนยึดติดลาภ ยศ สรรเสริญ (แบบไม่ทันรู้ตัว) รู้สึกว่างานที่ทำมีคนนับหน้าถือตาเยอะ ตอนนี้เป็นแบบ no status แต่ก็รู้สึกว่า “ได้ทำงานที่มีคุณค่า” มากเช่นกัน คุณค่าอยู่ที่เนื้องานที่ทำ ไม่เห็นผลเร็ว วัดไม่ได้ชัดเจนเหมือนเมื่อก่อน ทำไปไม่รู้ดีหรือเปล่า “แต่รู้สึกโชคดี”ที่มีโอกาสได้ทำ เพราะถ้าไม่ใช่เหตุการณ์นี้ คงไม่มีวันได้เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง
การเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ทำให้มีความสงบในใจมากขึ้นไม่รู้สึกว่าต้องการวัตถุอะไรมาก แล้วก็ได้ฝึก “ตั้งใจที่เหตุ พอใจที่ผล” เพราะมีหลายอย่างมากที่เราควบคุมไม่ได้เลย เราทำได้แค่ทำดีที่สุดแล้วยอมรับผลเท่านั้นเอง ยิ่งพิเศษตรงที่ลูกคลอดก่อนกำหนด ทำให้เรามีความสุขกับ “สิ่งเล็กๆน้อยๆที่ธรรมดา ได้มากขึ้นและง่ายขึ้น” เช่น ลูกกินนมได้ 1 ซีซี ลูกหายใจได้เองโดยไม่ต้องใช้ออกซิเจน ลูกใส่เสื้อผ้าปกติ,ลูกนอนเปล ธรรมดาที่ไม่ใช่ตู้อบ ฯลฯ ทุกสิ่งคือเรื่องน่ายินดี เป็นการอนุญาตให้ตัวเองมีความสุข โดยการพลิกความทุกข์ให้เป็นโอกาส
ผ่านมาแล้ว 3 ปี มีทั้งเรื่องเศร้าและยิ้มเปื้อนน้ำตา ล้วนแต่เป็นบททดสอบของชีวิต..สิ่งสำคัญที่ทำให้ผ่านทุกๆเรื่องมาได้ คือ “กำลังใจ” และความช่วยเหลือจากสามีและครอบครัว … เคยรำพึงกับสามีว่า “ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับเราด้วยนะ” เค้าก็บอกว่า อย่างน้อยเราก็ยังมีกันและกันนะ แล้วลูกก็ยังสู้ไม่เคยถอยเลยสักวัน ถ้าเราสู้สุดกำลัง เราจะภูมิใจที่ได้ทำทุกอย่างเต็มที่แล้ว วันนึงข้างหน้ามองย้อนกลับมาดู เรื่องนี้ก็จะเป็นแค่”จุดเล็กๆจุดหนึ่งในชีวิตที่มันก็จะผ่านไป” ขอให้อยู่กับปัจจุบัน และยินดีกับทุกๆอย่างที่เกิดขึ้น สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ
นี่แหละ ความเสียสละและความรักที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นแม่ … ไม่ว่าจะต้องผ่านเรื่องราวร้าย ๆ อีกสักกี่เรื่อง หน้าที่ของความเป็นแม่ ก็ไม่เคยสิ้นสุด
ที่มา: https://wearethailander.com
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
ดูแลอย่างไร เมื่อลูกน้อยคลอดก่อนกำหนด
เด็กคลอดก่อนกำหนด เป็นอย่างไรบ้าง
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!