ผ่าคลอด, แผลติดเชื้อ
ประสบการณ์คุณแม่เกือบตาย เพราะแผลผ่าคลอดติดเชื้อในกระแสเลือด
ผ่าคลอด, แผลติดเชื้อ ตั้งใจอยากจะเขียนประสบการณ์คลอดน้องเอื้อมเก็บไว้ตั้งนานแล้ว อยากให้ลูกได้รู้ว่า ในความเป็นแม่ไม่ง่ายเลยต้องผ่านอะไรมาบ้าง แต่คิดว่าด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ของแม่ที่มีให้ลูกแม่เลยผ่านจุดนั้นมาได้ เลยขอเอาเรื่องราวประสบการณ์ที่ตัวเองผ่าตัดคลอดแล้วแผลติดเชื้อในกระแสเลือดสูงถึง 200+ มาแชร์เล่าสู่แม่ๆคนอื่นๆ ที่อาจประสบปัญหาการตั้งครรภ์ หรือปัญหาช่วงการคลอดต่างๆ จะได้มีกำลังใจในการเลี้ยงลูกต่อไปค่ะ
เล่าย้อนไปเมื่อเกือบ 5 ปีก่อน ช่วงที่ท้องแก่ใกล้คลอด พอใกล้ถึงวันกำหนดคลอด แม่ปวดท้องก่อนคลอดจริงถึง 4 วัน ไปรพ.กลางดึกทุกคืนก่อนคลอดจริง เนื่องจากปวดท้องหน่วงๆ สลับกับท้องแข็ง อาการคล้ายกับคนจะคลอด
ตอนวันที่ 5 พฤษภาคม 2012 เป็นวันแรกที่เริ่มมีอาการปวดท้องเหมือนคนใกล้คลอด เลยได้ให้สามีและน้องพาไปหาหมอที่รพ. แต่พอไปหาหมอ หมอฝรั่งก็บอกว่าปากมดลูกยังไม่เปิดให้กลับบ้านไปก่อน
พอมาคืนที่สองวันที่ 6 พฤษภาคม 2012 ก็เป็นอีกปวดอีก ก็ไปหาหมออีก คราวนี้ได้เจอพยาบาลคนเอเชีย น่าจะเป็นคนจีน เห็นท้องเราปุ๊บก็บอกปัสสาวะไม่ออกใช่มั้ย เห็นท้องแล้วรู้เลยว่า อาการที่ปวดๆ นี่ เพราะว่าถุงน้ำคร่ำไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ขับปัสสาวะได้ไม่สุด และปวดท้องหน่วงๆ เหมือนใกล้คลอด พยาบาลคนเอเชียก็เลยไปเอาท่อมาสวนปัสสาวะให้ ซึ่งก็ออกมาเยอะมาก ประมาณ 2 ลิตรได้ที่ค้างอยู่ หลังจากสวนเสร็จอาการก็ดีขึ้น ก็กลับไปรอดูอาการสัญญาณเตือนที่บ้านต่อ เพราะปากมดลูกยังเปิดแค่เซ็นต์สองเซ็นต์ และอีกแค่สองวันจะถึงวันนัดตรวจครรภ์ตามรอบ
วันที่ 7 พฤษภาคม 2012 วันนี้ตกดึกก็อาการเดิมๆ ก็ไปหาหมออีก แต่หมอก็บอกเหมือนเดิมว่าปากมดลูกยังเปิดแค่เซ็นต์สองเซ็นต์ ถ้าเปิดกว้างซัก 4-5 เซ็นต์ถึงคลอดให้ได้ ก็เลยต้องกลับไปนอนรอที่บ้านต่อพร้อมความปวดถี่ๆ ขึ้น
วันที่ 8 พฤษภาคม 2012 วันนี้มีนัดตรวจที่รพ.ที่ฝากท้องไว้ สามี น้องสาว และสามีน้องสาว ก็ไปเป็นเพื่อนเรา ไปแบบยังไม่ได้ทานข้าวเช้ากันเลย เพราะกะว่าตรวจเสร็จถึงไปทานกัน ไปถึงรพ ประมาณ 9.00 โมง กว่าจะได้ตรวจก็ประมาณ 10.30 น. ช่วงแรกหมอก็ซักถามทั่วไป เราก็เล่าว่ามีอาการเหมือนคนใกล้คลอด หมอก็เลยให้ขึ้นเตียงเพื่อตรวจภายใน แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในระหว่างที่หมอใช้นิ้วควานตรวจภายใน นิ้วหมอได้ไปโดนถุงน้ำคร่ำแตก เราตกใจมากเพราะน้ำคร่ำไหลออกมาบนเตียงตรวจเยอะมากมีเลือดปนด้วย ต่อจากนั้นหมอก็ได้รีบโทรแจ้งแผนกคลอดให้มารับตัวไป เราและครอบครัวก็ได้ลงไปรอที่แผนกคลอดตั้งแต่เวลาประมาณ 11.00 น. แต่ยังไม่มีห้องคลอดว่างให้เข้าไปเตรียมการคลอดธรรมชาติ*
(*อธิบายตรงนี้ให้ฟังนิด เนื่องจากโดยปกติที่ออสเตรเลียเค้าจะสนับสนุนให้แม่ท้องคลอดเองธรรมชาติ เพราะเห็นข้อดีหลายอย่างของคลอดเองธรรมชาติ เลยไม่ได้มีการเตรียมการล่วงหน้าเกี่ยวกับการผ่าตัดมาก่อน)
จนประมาณบ่ายได้เราถึงได้เข้าไปนอนรอบนเตียงเตรียมคลอดแบบธรรมชาติ ช่วงที่รอน้ำคร่ำก็ไหลนองตลอด ไหลจนแบบรู้สึกเหมือนน้ำจะหมดตัวเลย ช่วงระหว่างรอเค้าอนุญาตให้ญาติเข้ามาอยู่ด้วยได้ 2 คน เราก็ให้สามีกับน้องสาวมาอยู่เป็นเพื่อน ระหว่างนั้นเราก็ปวดท้องถี่ขึ้นเรื่อยๆ พยาบาลก็เข้ามาเช็คเป็นระยะๆ ว่าปากมดลูกเปิดแค่ไหนแล้ว อาการปวดก็ปวดถี่และปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัวช่วยมีแค่ให้ดมแก๊สที่ช่วยผ่อนคลาย แต่เวลาเอาออกก็ปวดมากๆเหมือนเดิม ปวดร้องทุรนทุรายตั้งแต่ช่วงบ่ายจนตกค่ำ ปวดจนแทบหมดสติ มีสามีกับน้องสาวพลัดกันมาเฝ้าข้างๆ คอยกุมมือ เราดมแก๊สแก้ปวดจนปากแห้งคอแห้งก็ยังไม่ได้รู้สึกดีขึ้น ผ่านไปนานหลายชั่วโมงก็ไม่มีที่ท่าว่าจะคลอด หมอและพยาบาลมาเช็คเป็นระยะๆบอกปากมดลูกยังไม่เปิดกว้าง จนตอนประมาณ 20.00 น.หมอใหญ่เข้ามาดูแล้วบอกว่าลูกตัวโต คงคลอดเองไม่ได้ เรากับสามี และน้องสาวถึงกับงงแล้วทำไมตั้งนานหมอใหญ่ไม่มาเช็คนะ ปล่อยให้นอนปวดตั้งนาน แล้วมาตอนหลังบอกว่าลูกตัวโตแม่คงคลอดเองไม่ได้ ต้องผ่า
ประสบการณ์คุณแม่เกือบตาย
หลังจากนั้นหมอใหญ่ก็สั่งให้เตรียมทำการผ่าคลอดฉุกเฉิน ก็ได้ให้พยาบาลมาเตรียมความพร้อมเรา ช่วงนั้นคือบทจะไวก็ไวมาก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ารอมานานมากๆ พอพยาบาลจับเราขึ้นเตียงและเข็นไปรอหน้าห้องผ่า ก็จะมีการมาพูดคุยทำความเข้าใจเรื่องการเซ็นต์หนังสือยินยอมให้ทำการฉีดยาบล็อคหลังก่อนคลอด ช่วงนั้นคือปวดมากๆ แทบหมดสติอยู่แล้ว เค้าพูดไรกับเราแทบจับใจความฟังไม่รู้เรื่องแล้ว เลยให้น้องสาวเป็นคนฟัง และจับใจความให้เรา ก็เลยเข้าใจว่าต้องให้สามีเซ็นต์ยินยอม ก็จัดการเซ็นต์กันไป แล้วหมอวิสัญญี่ก็มาทำการฉีดยาบล็อคหลัง ตอนนั้นคือปวดมาก จนแบบทำไรกับชั้นกับทำเหอะ ปวดจนจะไม่ไหวแล้ว แถมน้ำคร่ำแตกไหลจนแห้งแล้วเป็นเวลานานหลายชั่วโมงแล้ว ไม่รู้ลูกจะเป็นไงบ้าง ความกลัวเรื่องผลกระทบที่อาจอกิดจากการบล็อคหลังเลยไม่เป็นปัญหาที่เราต้องวิตกว่าจะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตช่วงล่วงไหม
หลังจากบล็อคหลังเสร็จ ต่อจากนั้นก็เข้าห้องผ่าตัด เข้าไปมีบุคลากรการแพทย์เยอะมากทั้งห้องรวมกันเกือบ 10 คน โดยมีหมอทั้งหมด 3-4 คน ที่เหลือก็เป็นพยาบาล และอื่นๆ พอขึ้นเตียงพยาบาลก็ทำการเตรียมความพร้อมในการผ่าตัดต่างๆ ช่วงนี้ผ่านไปไวมากๆ แปบเดียวหมอก็ผ่าคลอดน้องเอื้อมออกมา ตัดสายสะดือที่เชื่อมกับรก แล้วพาไปที่โต๊ะ เพื่อให้พ่อทำการตัดสายสะดือด้วยตัวเอง หลังจากนั้นก็เอาผ้าห่อ แล้วพามาให้เราอุ้มแนบไว้ที่อก แต่ตอนนั้นแบบรู้สึกโล่งดีใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีลูกปลอดภัยครบ 32 ไม่ได้นึกถึงตัวเองเลยว่าเริ่มมีอาการแปลกๆ
ประสบการณ์คุณแม่เกือบตาย เพราะแผลผ่าคลอดติดเชื้อในกระแสเลือด
เราเริ่มมีอาการหนาวสั่นรุนแรงตั้งแต่ช่วงหลังผ่าในห้องผ่าแล้ว สามีมาบอกเราทีหลังว่าตัวเราสั่นและซีดมากๆ แต่เรามารู้ตัวว่ามีอาการแบบนี้ตอนที่ไปนอนรอห้องพักฟื้นหลังคลอด เราหนาวสั่นมากๆ พยาบาลเอาผ้าห่มมาให้หลายผืนก็ไม่หาย จนเอาผ้าห่มไฟฟ้ามาห่มให้ก็ไม่หาย สุดท้ายพยาบาลเลยไปขอยาหมอมาฉีดให้เราถึงดีขึ้น จริงๆมันมีชื่อเรียกอาการแบบนี้ แต่เราจำไม่ได้ เพราะแบบปวดทรมานและเพลียมาทั้งวัน ข้าวก็ไม่ได้กินเลย อ้อแล้วอีกอย่างสายนั่นนี่พะรุงพะรังมาก ทั้งสายสวนท่อปัสสาวะ สายน้ำเกลือ ระโยงไปหมด ต้องสวนท่อปัสสาวะค้างตั้งแต่ช่วงรอคลอดธรรมชาติ เพราะเรามีอาการร่วมคือมดลูกไปกดทับถุงปัสสาวะ ทำให้ขับปัสสาวะไม่ออก แล้วจริงๆ ก็มีอาการท้องผูกร่วมก่อนหน้ามาเป็นเวลาสองสัปดาห์แล้วจนคลอดเสร็จก็ยังผูกอีกถ่ายไม่ออกทรมานมาก
หลังจากพยาบาลเอายามาฉีดให้และหายจากอาการสั่น ซักพักพยาบาลก็พาเข้าห้องพัก ซึ่งเป็นห้องเตียงคู่ ที่นี่สำหรับคนผ่าคลอด เค้าจะไม่ให้อยู่ห้องเดี่ยว ถ้าคลอดเองธรรมชาติสามารถอยู่ห้องเดี่ยวและให้ญาติมาเฝ้าได้ แต่นี่ต้องอยู่ห้องคู่เพราะผ่าคลอด ญาติเลยไม่สามารถเฝ้าไข้ได้ คืนนั้นก็แทบไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะเริ่มรู้สึกอาการไม่ค่อยดีร้อนๆ หนาวๆ หันมองฝรั่งเตียงข้างๆที่มีลูกแฝดเค้าไม่ได้รู้สึกร้อนหรือหนาวผิดปกติแบบเราเลย อาการแบบนี้จะเป็นเฉพาะเวลากลางคืน
ทุกคืนก็คือจะแทบไม่ได้นอนเลย เพราะร้อนๆหนาวๆ ผวา หายใจลำบาก เหมือนหายใจไม่ออกเรื่อย จนคืนแรกพยาบาลต้องใส่ท่อช่วยหายใจให้เรา เพราะเรารู้สึกหายใจเองไม่ค่อยได้ ติดๆขัดๆ เหมือนคนวูบๆ วาบๆจะหมดสติ
เพราะแผลผ่าคลอดติดเชื้อในกระแสเลือด
คืนแรกพยาบาลเลยให้แม่พักฟื้นก่อน ส่วนน้องเอื้อมนั้นอยู่ในห้องเด็กแรกคลอดรวมกับเด็กอื่นๆ น้องเอื้อมเป็นเด็กเอเชียแรกคลอดที่น้ำหนักเยอะที่สุดในห้องเนิร์สเด็กเลย ด้วยน้ำหนัก 3.45 กิโลกรัม เด็กฝรั่งอื่นๆ นน.ส่วนมาก 2 กิโลกว่าๆเท่านั้น
พอวันรุ่งขึ้นพยาบาลก็พาลูกมาไว้ที่เราให้ฝึกให้นม ฝึกเข้าเต้า ฝึกบีบน้ำนมป้อนลูก แล้วก็เอาลูกไว้ที่เราเลย เราก็ต้องเลี้ยงลูกเองตั้งแต่เช้าวันใหม่หลังคืนที่ผ่าคลอด โดยที่อาการแปลกๆแบบคืนแรกก็ยังเป็นเหมือนเดิม คือ พอตกกลางคืนก็จะรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ หายใจลำบาก นอนไม่ได้กระสับกระส่ายกระวนกระวายเหมือนจะหายใจไม่ได้
ผ่านไป 3 คืน มาถึงวันที่ 4 ซึ่งโดยปกติแม่ที่ผ่าคลอดเค้าจะให้นอน 3 คืน 4 วันแล้วกลับบ้านได้ แต่ทีแรกพยาบาลพดุงครรภ์จะไม่ให้กลับเพราะน้องเอื้อมคลอดมาแล้วตัวเหลืองมาก น้ำหนักลดต่ำกว่าเกณฑ์ คือ ลดไป 11% จากแรกคลอด น้ำหนักในส่วนที่ลดที่เค้ายอมรับได้คือต้องไม่เกิน 10% แต่เราไม่ไหวแล้วเพราะอยู่โรงพยาบาลรู้สึกไม่ได้พักเลย เนื่องจากเด็กข้างเตียงเป็นเด็กแฝดร้องตลอด พอเด็กแฝดร้อง ลูกเราก็ร้องตาม แถมห้องที่พัก เป็นห้องตรงข้ามกับห้องเนิร์สเด็กแรกคลอด บวกกับอาการร้อนๆ หนาวๆ นอนไม่ได้กระสับกระส่าย แถมต้องเลี้ยงลูกเองตลอด แทบไม่ได้พักไม่ได้หลับเลย เลยเจรจากับพยาบาล บอกไม่ไหวแล้วอยากกลับไปพักที่บ้าน ในที่สุดก็ได้กลับ โดยมีข้อแม้ต้องให้พยาบาลตามไปตรวจเช็คที่บ้านต่อ และเราต้องพาน้องเอื้อมมาตรวจหาค่าระดับความเหลืองเป็นระยะๆ
หลังจากออกโรงพยาบาลอาการร้อนๆหนาวๆ วู่บๆว่าบๆ ในเวลาตอนกลางคืนก็ไม่หาย เวลาหลับก็เหมือนหลับไม่สนิทตลอดเหมือนหลับแบบตกในภวังค์ หลับแล้วตื่นไม่ได้อะไรประมาณนี้ แถมที่บริเวณแผลผ่า เริ่มมีอาการแดงและคันขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเวลาคันเราก็เกา แผลก็เริ่มบวมแดงใหญ่ขึ้นๆ จนแตกและเหว่อะขึ้น จึงได้ให้สามีพาไปหาหมอที่คลินิก (ยังไม่ไปโรงพยาบาล เพราะยังไม่สามารถไปได้ ปกติมีอะไรต้องไปที่คลินิกก่อน) พอหมอที่คลินิกประจำเห็น ก็บอกแผลติดเชื้อ ให้ยาเม็ดมาทาน แต่ทานไป 2-3 วันอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย แถมหนักกว่าเก่าอีก แผลแตกเหว่อะน่ากลัวมาก แตกยาวราวๆ 5 ซม. (แผลผ่าตัดยาวมากๆ ที่นี่ไม่ได้ผ่าเล็กๆแคบๆแบบที่ไทย ผ่ายาวราวๆ 10 ซม.) นอกจากแตกยาวครึ่งนึงของแผลผ่าตัดแล้ว ยังลึกจนเห็นชั้นไขมันสีขาวๆ คิดดูว่าขนาดหมอกับพยาบาลที่คลินิกเห็นยังตกใจ หมอนัดให้มาทำแผลเรื่อยๆ เปลี่ยนผ้าก็อตทุกวัน แต่ผ่านไปหลายวันบวกกับกินยาเม็ดฆ่าเชื้อแผลก็ไม่ดีขึ้น หมอเลยต้องทำเรื่องส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล
พอไปถึงโรงพยาบาล พยาบาลขอดูแผลก็ตกใจหน้าซีด ว่าทำไมมันเป็นมากขนาดนี้ ก็ได้ส่งตัวขึ้นห้องพัก ก่อนได้ห้องพักก็รอนาน 4-5 ชั่วโมง เพราะเค้ารอห้องปลอดเชื้อที่เป็นห้องเดี่ยวให้เรา พอขึ้นห้องพักหมอที่ผ่าตัดให้ก็พากันมาดูแผล และเหมือนเคย ทุกคนตกใจจนหน้าซีดเมื่อเห็นแผลผ่าตัด หมอก็ได้สั่งยาฆ่าเชื้อแบบให้ทางสายน้ำเกลือให้ พร้อมกับยาที่ไว้ฉีดกันเป็นอัมพฤกษ์ในช่วงที่ต้องนอนอยู่โรงพยาบาลเป็นส่วนใหญ่ ช่วงนั้นก็คือ ทั้งทานยาแก้ปวดชนิดแรง ให้ยาฆ่าเชื้อทางสายน้ำเกลือ ฉีดยาวันละ 2 เข็ม (โดยฉีดที่หน้าขา) แล้วก็ต้องเลี้ยงลูกแรกเกิดเองด้วย เพราะห้องเป็นห้องปลอดเชื้อญาติไม่สามารถนอนเฝ้าได้ มาเยี่ยมได้เฉพาะช่วงเวลา 9.00-18.00 น. เท่านั้น แต่เราไม่ไหวจริงๆ เพราะผ่าตัด น้ำนมก็ไม่ค่อยมี ลูกก็เลยกินไม่อิ่มตื่นตลอด นอนไปแค่ 20-30 นาทีก็ตื่น ตื่นอย่างนี้ทั้งวันทั้งคืน
กว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้นี่ไม่ได้ง่ายเลย
ช่วงเข้ามานอนรักษาในโรงพยาบาลผ่านไปซัก 4-5 คืน อาการก็ยังไม่ค่อยดีขึ้น หมอเจาะเลือดไปตรวจเรื่อยๆ ค่าเชื้อที่ติดมาก็ยังสูงอยู่ แทบไม่ลด หมอเลยบอกว่าต้องเปลี่ยนยา เป็นตัวยาที่แรงที่สุด ที่ปกติเป็นยาสำหรับคนที่เป็นเบาหวานแล้วแผลหายยาก หมอเห็นว่าเราใช้ยามาสองตัวแล้วอาการไม่ดีขึ้นเลย แผลไม่ดีขึ้นเลย เลยใช้ตัวนี้แทน ช่วงที่รอเปลี่ยนยาก็ทรมานมากๆ เพราะต้องมีระยะเวลาทิ้งช่วง และต้องรอพยาบาลเวรมาเจาะเข็มที่เส้นเลือดเพื่อให้ยาตัวใหม่ แต่พยาบาลที่นี่ไม่เก่งในการหาเส้นเลือด พยาบาลคนแรกเจาะหาไม่เจอ เลยให้รอพยาบาลคนที่สองมาเจาะให้ พยาบาลคนที่สองมาเจาะก็เจาะไม่ได้ และขอเราเจาะอีกรอบก็เจาะไม่เจออีก สรุปโดนไป 3 เข็มก็ยังไม่เจอ เรียกว่าเจ็บตัวแล้วเจ็บตัวอีก พยาบาลคนที่สองหลังจากเจาะสองรอบไม่เจอเลยบอกให้รอหมอมาเจาะให้ ซึ่งหมอกว่าจะมาก็ดึกเลย แต่หมอเจาะครั้งเดียวก็เจอ หลังจากได้ยาตัวใหม่อาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนอยู่โรงพยาบาลครบ 10 วัน หมอขอเลือดไปตรวจอีกทีและพบว่าเชื้อในกระแสเลือดจาก 200 กว่าได้ลดลงมาเป็นปกติแล้วจึงได้ให้กลับบ้านได้ แต่ต้องแวะมาโรงพยาบาลเพื่อติดตามผลเรื่อยๆ อีกทั้งทุกๆวัน ต้องไปทำแผลที่คลินิกหมอประจำเรา
เรียกได้ว่ากว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้นี่ไม่ได้ง่ายๆ เลย เพราะทั้งอาการที่หนักเอาการ อีกทั้งต้องเลี้ยงลูกวัยแรกเกิดด้วยตัวเองแทบจะตลอด 24 ชม. แถมลูกก็มีอาการตัวเหลือง น้ำหนักลดต่ำกว่าเกณฑ์ แล้วน้ำนมเราก็แทบจะไม่มี ลูกงี้ตัวเหลืองแบบเห็นได้ชัดมาก อีกทั้งแผลผ่าตัดทั้งเจ็บและแตกลึก แต่ก็ต้องอุ้มลูกให้นม เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดตัวลูก เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ต้องพาตัวเองเข้าห้องน้ำพร้อมกับสายระโยงระยาง มานั่งคิดทีไรยังรู้สึกว่า เราช่างอดทนได้มากเสียเหลือเกิน คงเพราะด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ว่าเราต้องเข้มแข็งต้องอยู่เลี้ยงลูกนะ เลยหายและผ่านตรงนั้นมาได้
บทความเกี่ยวข้อง
ดูแลแผลผ่าคลอดไม่ให้นูน ให้แผลสมานด้วยตัวเองได้ไม่ยาก
แผลผ่าคลอดปริ เรื่องที่แม่ผ่าคลอดคนไหนก็ไม่อยากเจอ
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!