คุณแม่คงกำลังคิดอยู่ใช่ไหมคะว่าก็ฉันพยายามคลอดเองแล้วแต่มันคลอดไม่ได้ หมอก็แนะนำให้ทำการผ่าคลอด แล้วจะให้ฉันทำอย่างไรละทีนี้
ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ทีมนักวิจัยชาวสก๊อตแลนด์ได้ทำการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของทารกแรกเกิดพบว่าการคลอดทารกในรูปแบบต่าง ๆ นั้นมีผลต่อสุขภาพโดยตรงของทารกแรกเกิด โดยทารกที่เกิดจากคุณแม่กำหนดวันผ่าท้องคลอดนั้นมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาทางด้านสุขภาพมากกว่าเด็กที่ต้องผ่าคลอดแบบฉุกเฉิน
ดร.ไมรีด แบล๊ค หัวหน้าทีมค้นคว้ากล่าวว่า “เด็กที่เกิดโดยวิธีการทางธรรมชาตินั้นจะได้รับจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “จุลินทรีย์บิฟิดัส” โดยเจ้าจุลินทรีย์ตัวนี้จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและทำให้ทารกมีสุขภาพดี แต่ในกรณีเด็กที่เกิดมาโดยวิธีการกำหนดวันนัดวันผ่าคลอดจะไม่มีโอกาสรับจุลินทรีย์ตัวนี้เข้าสู่ร่างกายเลย ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อการก่อให้เกิดเป็นโรคภูมิแพ้และการติดเชื้อในลำไส้ในระยะยาวได้”
การคลอดด้วยวิธีการทางธรรมชาติหรือแม้แต่การคลอดด้วยวิธีการผ่าคลอดที่คุณแม่ได้มีโอกาสสัมผัสถึงความเจ็บปวดในช่วงเจ็บท้องคลอดก่อนทำการผ่าหรือเจ็บท้องคลอดและมดลูกเปิดแล้วแต่คุณแม่ก็ยังไม่สามารถคลอดได้เองนั้นสามารถส่งต่อตัวจุลิทรีย์ดังกล่าวได้ถึงทารกเช่นกัน โดยจุลิทรีย์ดังกล่าวนั้นเป็นจุลินทรีย์เพื่อสุขภาพ เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณที่เพียงพอก็จะส่งผลดีต่อลำไส้และระบบภูมิคุ้มกัน
สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้าถัดไปค่ะ >>
จากสถิติที่ได้ทำการเทียบกันระว่างทารกที่เกิดจากคลอดโดยการผ่าแบบกำหนดวันผ่าคลอดล่วงหน้ากับทารกที่เกิดจากการผ่าคลอดแบบฉุกเฉินนั้นพบว่า เด็กที่เกิดจากการผ่าคลอดแบบกำหนดวันนั้นมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหอบหืดมากถึง 10.3 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กที่เกิดจากการผ่าคลอดแบบฉุกเฉินนั้นมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคหอบหืดเพียง 10.19 เปอร์เซ็นต์ โดยหากเปรียบเทียบเพิ่มเติมกับเด็กที่เกิดจากวิธีการคลอดโดยธรรมชาตินั้นมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคดังกล่าวเพียง 9.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ดังนั้นถ้าหากมองจากภาพรวมจะพบว่ามีเด็กที่ป่วยเป็นโรคหอบหืดในปัจจุบันมากขึ้นถึง 22 เปอร์เซ็นต์หากเทียบกับเด็กที่คลอดโดยวิธีการทางธรรมชาติ ด้วยเหตุผลดังกล่าวทางการแพทย์จึงอยากให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการผ่าคลอดโดยการกำหนดวันล่วงหน้าและอยากให้คุณแม่ใช้เวลาในการคลอดเองให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก่อน
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :
การคลอดเองหลังจากที่เคยผ่าคลอดมาก่อน
15 อาการหลังคลอดลูกที่ไม่เคยมีใครบอกคุณ
ที่มา : sg.theasianparent.com