สำลักนมแม่ อันตราย
วิคตอเรีย ดอว์สัน คุณแม่มือใหม่วัย 30 ปี เกือบต้องสูญเสีย เอ็ดดี้ ลูกชายวัย 4 สัปดาห์ หลัง สำลักนมแม่ ! แต่ดีที่ วิคตอเรียเป็นนางพยาบาล จึงสามารถช่วยลูกชายไว้ได้ทัน!
เธอเล่าว่า “หลังจากที่พวกเรากลับมาอยู่บ้าน ทุกอย่างก็เหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดี เอ็ดดี้ดูดนมแม่เก่งมาก ๆ และจู่ ๆ ในขณะที่เธอกำลังอุ้มเอ็ดดี้อยู่ในอกเพื่อกินนมแม่นั้น เอ็ดดี้ก็ไอเพราะสำลักน้ำนม ไม่กี่วินาทีต่อมาร่างเล็ก ๆ ของเอ็ดดี้ก็อ่อนปวกเปียก ร่างกายเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา ใช่!! เขาหยุดหายใจ!!!
วิคตอเรีย รีบตะโกนเรียกตะโกนขอความช่วยเหลือจาก อเล็กซ์ ผู้เป็นสามี จากน้ำเสียงของเธอ ทำให้สามีรู้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ ๆ อเล็กซ์ รีบวิ่งมาแล้วโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากรถพยาบาลฉุกเฉินโดยทันที
แต่ด้วยสัญชาตญาณของนางพยาบาล เธอจึงรีบทำ CPR ให้กับเอ็ดดี้ทันที “วินาทีนั้นยาวนานมาก ฉันรู้แต่ว่าความเป็นกับความตายนั้นห่างกันเพียงนิดเดียว และไม่นานเอ็ดดี้ก็เริ่มกลับมาหายใจได้อีกครั้งนึง พวกเราจึงรีบให้ออกซิเจนแก่เขา และนำส่งโรงพยาบาลโดยทันที ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ฉันจะมีโอกาสได้ทำ CPR ให้กับลูกชายของตัวเอง โชคดีที่ตอนนั้นฉันมีสติ ไม่อย่างนั้น ฉันอาจจะต้องสูญเสียเขาไปแล้ว “ วิคตอเรียกล่าว
คลิกเพื่ออ่านเพิ่มเติม เรื่อง สำลักนมแม่ ที่หน้าถัดไปค่ะ
ปัจจัยสี่ยงที่ทำให้เกิดการสำลักนม
1. จากตัวเด็กเอง
เด็กแรกเกิดที่มีปัญหาเรื่องของโรคหัวใจหรือโรคปอดนั้น จะส่งผลให้เด็กต้องหายใจเร็วขึ้น จึงมีโอกาสสำลักนมได้มากกว่าเด็กปกติทั่วไป ทั้งนี้ รวมถึงเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า หรือมีประวัติการชักด้วย
2. ปัจจัยภายนอก
ยกตัวอย่างเช่น วิธีการให้นม การให้ลูกดูดนมแม่นั้น โอกาสที่จะเกิดการสำลักนมนั้นอาจเกิดได้น้อยมาก เว้นแต่คุณแม่อุ้มลูกให้นมไม่ถูกวิธี หรือจากอีกสาเหตุหนึ่งนั่นก็คือ การให้ลูกดูดขวดนม เพราะต่อให้ลูกจะดูดหรือไม่ดูดก็แล้วแต่ น้ำนมก็ไหลออกมาอยู่ดี และค่อนข้างที่จะไหลเร็วกว่านมแม่เสียด้วย ทั้งนี้ รวมถึงลูกทานนมล้นกระเพาะ ก็เป็นสาเหตุของการสำลักนมด้วยเช่นกัน
จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกสำลักนมแม่
อาการ คือ ระหว่างที่เด็กกินนมนั้น แรก ๆ เด็กจะไอ และเหมือนจะขย้อนนมหรืออาหารออกมา หากสำลักไม่มาก ก็อาจไอเล็กน้อย 2-3 ครั้งแล้วก็หายไป แต่ถ้าหากเด็กไอแรงจนถึงขนาดหน้าเขียว หรือมีเสียงหายใจผิดปกติ ดังครืดคราด คุณพ่อคุณแม่ควรรีบพาลูกน้อยไปพบคุณหมอโดยด่วน
บางครั้งการสำลักนั้น ไม่จำเป็นจะต้องเกิดในขณะที่ลูกกินนมแต่เพียงอย่างเดียว ยังสามารถเกิดได้ในขณะที่เด็กนอนหลับด้วยเช่นกัน
คลิกเพื่ออ่านวิธีการป้องกันลูกสำลักนมแม่และการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ที่หน้าถัดไปค่ะ
วิธีการป้องกันไม่ให้ลูกสำลักนมแม่
1. ควรให้ลูกได้รับนมแม่เพียงอย่างเดียวก่อนในช่วง 6 เดือนแรก ที่สำคัญ ควรเริ่มต้นให้อาหารเสริมตามวัยที่เหมาะสม คือเมื่ออายุ 4 – 6 เดือนไปแล้ว เพราะทักษะการดูดกลืนของลูกทำงานได้ดีมากขึ้นกว่าช่วงแรกเกิด และสามารถชันคอตั้งตรงได้ดี โอกาสที่จะเกิดการสำลักก็มีน้อยลง
2. ไม่ควรนำของเล่นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย หรือของเล่นที่สามารถแตกหักออกได้ง่ายมาให้ลูกเล่น เช่นกระพรวน กระดิ่ง เหรียญ และลูกปัด เป็นต้น
3. เลือกประเภทอาหารที่เหมาะกับวัย เช่น โดยทั่วไปเด็กที่อายุน้อยกว่า 3 ปี ไม่แนะนำให้กินถั่วเม็ดเล็ก ข้าวโพด เม็ดทานตะวัน เพราะมีโอกาสที่เด็กจะเกิดการสำลักมีได้ง่าย แต่หากจะนำมาปรุงให้กับเด็กเล็กๆ ก็ควรบดหรือตัดให้ขนาดเล็กพอควร
4. จับลูกเรอทุกครั้งหลังที่กินนมเสร็จ
สำลักนมแม่
วิธีช่วยเหลือเบื้องต้น
หากลูกสำลักนม ให้จับ เด็กนอนตะแคง ให้ศีรษะเด็กต่ำลง เพื่อป้องกันไม่ให้นมหรืออาหารที่อาจมีอยู่ในปาก ไหลย้อนกลับไปที่ปอด ที่สำคัญ ไม่ควรจับเด็กอุ้มขึ้นทันทีเมื่อเกิดอาการสำลัก
สำลักสิ่งแปลกปลอม เช่น ถั่ว, เมล็ดผลไม้, ลูกอมเม็ดเล็ก, ของเล่นชิ้นเล็กๆ
– วิธีตบหลัง โดยจับเด็กนอนคว่ำ ให้ศีรษะต่ำลงบนแขน แล้วใช้ฝ่ามือตบกลางหลังบริเวณกระดูก ติดต่อกัน 5 ครั้ง และสังเกตสิ่งแปลกปลอมในปากเด็ก ถ้าเห็นสิ่งแปลกปลอม ให้เอาออก ถ้าไม่เห็นให้ทำขั้นตอนต่อไป
– วิธีกระแทกหน้าอก โดยจับเด็กพลิกหงายขึ้นบนตัก ในท่าศีรษะต่ำ ใช้นิ้วมือ 2 นิ้วกระแทกแรงๆ ลงบนกระดูกหน้าอก เหนือลิ้นปี่ 5 ครั้ง แล้วสังเกตสิ่งแปลกปลอมในปากเด็ก ตบหลังและกระแทกหน้าอกครบทั้ง 5 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะเห็นสิ่งแปลกปลอม
สิ่งสำคัญในการช่วยเหลือ เด็ก ที่สำลักวัตถุของแข็งคือ ไม่ควรรีบใช้มือหยิบจับ หรือดึงของออกมาจากปากเด็ก เพราะนิ้วมืออาจไปกดทับสิ่งของที่อยู่ด้านใน และทำให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นบวมขึ้นและบางครั้งอาจดันทำให้สิ่งแปลกปลอม
ที่มา: ph.theasianparent.com , The Sun และ Natur
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
สำลักนมในเด็กเล็กอันตรายที่คาดไม่ถึง
หยุดกังวล…ลิ้นเป็นฝ้าขาวในเด็กเล็ก
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!