วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันโรคมะเร็งตับในเด็กจริงหรือ?

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี โรคที่คนส่วนใหญ่เป็นโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ หากเป็นแล้วจะถ่ายทอดสู่ลูกและเป็นอันตรายต่อทารก ต่อการเป็นโรคมะเร็งตับได้อย่างไร ไปอ่านกันค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี มีความสำคัญต่อทารกอย่างมาก เนื่องจากคุณแม่ตั้งครรภ์ไม่สามารถทราบได้ว่าตนเองนั้นเป็นพาหะนำโรคชนิดนี้ไปสู่ลูกน้อยหรือไม่ ซึ่งหากแม่มีโรคดังกล่าว อาจจะนำมาซึ่งการถ่ายทอดไปสู่ทารกได้ขณะคลอด ได้ถึง 90 % ดังนั้น วัคซีนต้านไวรัสชนิดนี้ คือหนึ่งในวัคซีนที่สำคัญที่สุดสำหรับทารก

 

มารู้จัก ไวรัสตับอีกเสบ บี กันก่อน!

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B)  มีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B virus; HBV)  ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่อันตรายอย่างยิ่ง  หากได้รับเชื้อแล้วไม่ได้รับรักษา อาจนำไปสู่การอักเสบเรื้อรัง ตับวาย ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยสามารถติดต่อผ่านทางการคลอด การสัมผัสเลือดหรือแผลเปิดของผู้ติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ และการใช้อุปกรณ์ที่แหลมคมหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน เช่น เข็มฉีดยา มีดโกนหนวด หรือแปรงสีฟัน

 

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ป้องกันอะไร ?

โรคที่น่ากลัวที่สุดสำหรับมนุษย์เราคือ มะเร็ง ดังนั้น อาจเรียกได้ว่าเป็นวัคซีนชนิดนี้ สามารถป้องกันมะเร็งชนิดแรก เนื่องจากสามารถช่วยป้องกันมะเร็งตับ อันเกิดต่อเนื่องจากภาวะไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งตับ และเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับสองของโรคมะเร็งทั้งหมด ซึ่ง วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี  ประกอบด้วยโปรตีนจากผิวของไวรัส (HBsAg)  ซึ่งไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่จะไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย

บทความที่เกี่ยวข้อง: คนท้องเป็นไวรัสตับอักเสบบี ถ่ายทอดจากแม่ท้องสู่ทารก ท้อง เป็นไวรัสตับอักเสบบี ลูกเสี่ยงมะเร็งตับ

คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถป้องกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบีไปสู่ลูกได้อย่างไร

  • ควรรีบฝากครรภ์ทันทีเมื่อทราบว่าตั้งครรภ์
  • แพทย์จะทำการตรวจเลือดเพื่อหาโรคทางพันธุกรรมต่างๆ เช่น เชื้อไวรัสตัวอักเสบบี
  • แพทย์จะตรวจหาภูมิต้านทานต่อโรคเชื้อไวรัสตัวอักเสบบีนี้ว่าอยู่ในระดับใด เพื่อความปลอดภัย
  • หากพบว่ามีโรคดังกล่าว แพทย์จะดูแลด้านทางเดินอาหารและโรคตับโดยเฉพาะเพื่อดูแลครรภ์มารดา
  • หากตรวจเลือดแล้วไม่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี จะได้รับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

ทารกควรฉีด วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ตอนเมื่อไหร่?

คุณแม่ท้องหรือคุณแม่มือใหม่ ควรจำไว้ว่า ลูกน้อยสามารถฉีดป้องกันได้ตั้งแต่ทารกแรกเกิด โดยฉีดเหมือนกับผู้ใหญ่ ทั้งหมด 3 เข็ม  หลังจากฉีดเข็มแรกแล้ว 1 เดือนจึงฉีดเข็มที่ 2 และฉีดเข็มที่ 3  หลังจากฉีดเข็มที่ 2 แล้ว 5 เดือน เมื่อฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ครบ 3 เข็ม ส่วนใหญ่พบว่าร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ และสามารถป้องกันการติดเชื้อได้นานตลอดชีวิต  อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ประมาณ 1-2 เดือน  ควรเข้ารับการตรวจเลือดเพื่อยืนยันว่ามีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี หากยังไม่มีภูมิต้านทาน  ควรฉีดวัคซีนเพิ่มตามคำแนะนำของแพทย์

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

ทารกต้องตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนหรือไม่ ?

  • เด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 10 ปี) ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีน
  • เด็กโต (อายุ 10 ปีขึ้นไป) และผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเคยติดเชื้อมาแล้ว ซึ่งอาจมีภูมิคุ้มกันโรคแล้วตาม
  • ธรรมชาติหรือเป็นพาหะ ซึ่งจะไม่ได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนโดยไม่จำเป็น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อตรวจเลือดประกอบกับการพิจารณาว่าควรฉีดวัคซีนหรือไม่

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การตรวจเลือด สามารถตรวจได้ 3 แบบ

  • การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (บางทีก็เรียกว่า การเป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบบี) ได้แก่ การตรวจ HBsAg
  • การตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่ HBsAb หรือ Anti HBs
  • การตรวจหาภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสตับอักเสบบี หรือเคยได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน ได้แก่ HBcAb หรือ Anti HBc ซึ่งถ้าพบตัวใดตัวหนึ่ง Positive ก็ไม่ต้องฉีดวัคซีน

 

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ต้องกระตุ้นหรือไม่ ?

ในคนทั่วไป หลังมีภูมิต้านทานแล้ว ไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นซ้ำ ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจะลดลงตามระยะเวลา ในบางคนอาจมีภูมิต้านทานลดลงจนตรวจไม่พบ แต่ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นหากได้รับเชื้อ จึงไม่มีความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนกระตุ้นอีก ยกเว้นในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง

 

บทความที่เกี่ยวข้อง: อากาศเริ่มร้อน ระวังลูกป่วยไวรัสตับอักเสบเอ

 

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบี 

  1. อาการระยะเฉียบพลัน
  • ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายใน 1-4 เดือนหลังติดเชื้อ ดังนี้
    • อาการไข้ ตัวเหลืองตาเหลือง ปวดท้องใต้ชายโครงขวา
    • อาการอื่น ๆ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย ผื่น ปวดข้อ
  • ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการรุนแรง เกิดจากการที่เซลล์ตับถูกทำลายเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้อาจทำให้เกิดภาวะตับวายได้
  • อาการตับอักเสบระยะเฉียบพลันจะดีขึ้นใน 1-4 สัปดาห์ และจะหายเป็นปกติเมื่อร่างกายสามารถกำจัดและควบคุมเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ ซึ่งมักใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน แต่ผู้ป่วยส่วนน้อย (5-10%) ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้หมด ทำให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง

 

2. อาการระยะเรื้อรัง

  • ระยะเรื้อรังแบ่งผู้ป่วยได้เป็น 2 กลุ่มคือ
    • พาหะ คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย ผู้ป่วยจะไม่มีอาการแต่เป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นได้ ผลการตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับอยู่ในเกณฑ์ปกติ ดังนั้นก่อนแต่งงานหรือมีเพศสัมพันธ์ควรตรวจหาไวรัสตับอักเสบบีก่อน
    • ตับอักเสบเรื้อรัง คือ ผู้ป่วยที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในร่างกาย และตรวจเลือดพบค่าการทำงานของตับผิดปกติ
  • ผู้ป่วยส่วนมากมักไม่มีอาการ บางรายอาจมีอาการอ่อนเพลียหรือเบื่ออาหารได้
  • การติดเชื้อแบบเรื้อรังพบบ่อยในเด็กที่ติดเชื้อตั้งแต่แรกเกิด

 

บุคคลที่สามารถฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ได้

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

นอกจากสตรีมีครรภ์และทารกแล้ว ยังมีคนที่มีความเสี่ยงด้วยโรคมะเร็งตับหลายกลุ่มที่สามารถรับวัคซีนได้ดังนี้

  • ทารกแรกเกิด เด็ก และวัยรุ่นที่ไม่ได้รับวัคซีนเมื่อแรกเกิด
  • ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่ทำงานในสถานพยาบาล
  • ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ได้รับการฟอกไต
  • ผู้ป่วยที่ได้รับเลือดบ่อย ๆ
  • ผู้ที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น
  • ผู้ที่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาดของโรค
  • ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรมทางเพศ เช่น มีคู่นอนหลายคน

 

 

หากมีอาการเหล่านี้ควรงดรับวัคซีน

  • เคยมีประวัติแพ้ วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ บี ในครั้งก่อน หรือแพ้ต่อส่วนผสมต่าง ๆ ในวัคซีน
  • หากมีไข้ หรือเจ็บป่วยเฉียบพลัน ควรเลื่อนการฉีดวัคซีนออกไปก่อน รอให้หายป่วยก่อนจึงค่อยมารับวัคซีน
  • กรณีเป็นหวัดเล็กน้อย ไม่มีไข้ สามารถรับวัคซีนได้

 

อาการข้างเคียงหลังรับวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

  • วัคซีนอาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้ แต่อย่างไรก็ตาม อาการแพ้อย่างรุนแรงจากวัคซีนพบได้น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่มีปัญหาใด ๆ
  • ปฏิกิริยาที่อาจพบหลังจากฉีด ได้แก่ ไข้ต่ำ ๆ ปวด บวม แดง บริเวณที่ฉีดวัคซีน ซึ่งมักหายได้เองภายใน 1-2 วัน
  • อาการอื่น ๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่ ปวดเมื่อย เพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ข้ออักเสบ ผื่นที่ผิวหนัง และมี transaminase เพิ่มขึ้นชั่วคราว
  • หากมีอาการปวดบวมบริเวณที่ฉีดวัคซีนให้ประคบเย็น แต่ถ้ามีอาการผิดปกติอื่นนอกเหนือจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์

 

วิธีป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันได้ (ปกติถ้ามีภูมิแล้วจะป้องกันการติดเชื้อได้ตลอดชีวิต) หากไม่ทราบว่ามีภูมิคุ้มกัน หรือไม่ สามารถตรวจได้โดยการตรวจเลือด
  • สำหรับเด็กทารกแรกเกิด การได้รับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ตั้งแต่แรกคลอด หลังฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มแล้วเกือบทั้งหมดจะมีภูมิคุ้มกัน
  • ตรวจสุขภาพประจำทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตรวจเช็คตับให้ได้ปีละครั้ง
  • เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค

 

 

บทความที่น่าสนใจ : 

วิตามินเด็ก ต้องเสริมอะไรบ้าง? ทำไมเด็กถึงต้องกิน มีความจำเป็นอย่างไร?

การนัดตรวจสุขภาพลูก และทำวัคซีนครั้งแรก 100 สิ่งที่คุณแม่หลังคลอดต้องรู้ ตอนที่ 79

สร้างภูมิคุ้มกันรอบด้าน เทรนด์การเลี้ยงลูกของแม่สมัยใหม่

แชร์ประสบการณ์หรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี ได้ที่นี่!

วัคซีนไวรัสตับอักเสบบี เริ่มฉีดได้ตอนอายุเท่าไรคะ

 

ที่มา : (นพ. ปฏิพัทธ์ ดุรงค์พงศ์เกษม),(phyathai),(โรงพยาบาลเปาโล)

บทความโดย

Nanticha Phothatanapong