วัคซีนป้องกันโรคไอกรน คล้ายหวัดควรระวัง 100 เรื่องพ่อแม่ต้องรู้ก่อนลูก 1 ขวบ

วัคซีนป้องกันโรคไอกรน คล้ายหวัดควรระวัง 100 เรื่องพ่อแม่ต้องรู้ก่อนลูก 1 ขวบ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วัคซีนป้องกันโรคไอกรน เริ่มฉีดตอนไหน คุณพ่อคุณแม่ทรายมั๊ยคะว่าโรคไอกรนจะมีความรุนแรงหากเกิดในวัยเด็ก เราไปดูกันเลยค่ะว่า ทำไมต้องฉีด วัคซีนป้องกันโรคไอกรน

 

โรคไอกรน 

ไอกรน (Pertussis) เป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียบอร์เดเทลลา เพอร์ทัสซิส หลังติดเชื้อในช่วงแรกจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด เช่น ไอ มีไข้ น้ำมูกไหล หลังจากนั้นผู้ป่วยจะมีอาการไอต่อเนื่องอย่างรุนแรงและมีเสียงไอที่เป็นเอกลักษณ์  (ไอมีเสียงที่เกิดจากการหายใจลำบาก) จึงมีอีกชื่อเรียกว่า Whooping Cough เป็นที่มาของชื่อไอกรนในภาษาไทย

ในทารกหรือเด็กเล็กอาจไม่พบอาการไอ แต่จะมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจเป็นหลัก ไอกรนเป็นโรคติดต่อจากคนสู่คน โดยเชื้อสามารถแพร่กระจายได้จากการไอหรือจาม ทารกและเด็กเล็กจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากที่สุด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

 

วัคซีนป้องกันโรคไอกรน ควรเริ่มฉีดตอนไหน ?

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

วัคซีนป้องกันโรคไอกรน

เริ่มฉีด 3 เข็มแรกเมื่อเด็กที่มีอายุ 2 เดือน, 4 เดือน, 6 เดือน, และเข็มที่ 4 เมื่อเด็กมีอายุ 18 เดือน จากนั้นควรฉีดวัคซีนกระตุ้น (Booster Dose) เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังฉีดครบชุด 4 ครั้งแรกแล้ว ตอนอายุ 4-6 ปี และเด็กที่มีอายุมากกว่า 7 ปี ผู้ใหญ่ที่ได้รับการฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้ว แนะนำให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นทุก 10 ปี เนื่องจากวัคซีนที่ได้รับในวัยเด็กจะหมดลงในช่วงวัยรุ่น และในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ แพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนในช่วงสัปดาห์ที่ 27 และ 36 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจช่วยปกป้องทารกจากโรคไอกรนในช่วง 2-3 เดือนแรกหลังการคลอดอีกด้วย

 

อาการของโรคไอกรน 

หากโรคไอกรนเกิดกับเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 3 ขวบ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงเพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ที่พบบ่อยคือไอหนักจนตัวเขียวหรือไอจนหยุดหายใจ ทำให้สมองขาดออกซิเจน และอาจเสียชีวิตได้ ส่วนอาการชัก สามารถพบได้เช่นกัน แต่พบไม่บ่อยนัก

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

  • ระยะต้น 

ผู้ป่วยจะมีอาการนําามูกไหล แน่นจมูก ไอเล็กน้อยเหมือนอาการหวัด ระยะนี้อาจเป็นอยู่นานประมาณ 1-2 สัปดาห์

 

  • ระยะรุนแรง 

ผู้ป่วยจะมีอาการไอรุนแรงติดกันไม่มีจังหวะพักตั้งแต่ 5 ครั้งขึ้นไปและเมื่อจบชุด ผู้ป่วยจะพยายามหายใจเข้าอย่างแรง จนเกิดเสียงดังฮู้ปขึ้น ในเด็กเล็กอาจมีอาการเขียวได้เนื่องจากอาการไอรุนแรงมาก  ผู้ป่วยส่วนมากมีอาการอาเจียนร่วมด้วยหลังการไอ ผู้ป่วยบางรายอาจมีเลือดออกในตาขาวและมีจุดเลือดออกกระจายอยู่บริเวณใบหน้าและลําตัวท่อนบน อาการในระยะนี้จะเป็นอยู่นานประมาณ 10 วันถึง 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นนานถึง 2-6 สัปดาห์

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

  • ระยะฟื้นตัว 

อาการไอจะค่อย ๆ ทุเลาและหายไปในเวลา 6-10 สัปดาห์ อาการไอแต่ไม่รุนแรงอาจคงอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์

 

สาเหตุของโรคไอกรน

  • โรคไอกรนสามารถติดต่อกันได้ง่ายมาก จากคนสู่คน ผ่านการไอ จาม หรือการหายใจร่วมกับผู้ที่ติดเชื้อเป็นเวลานาน
  • เชื้อโรคจะกระจายอยู่ในละอองของเสมหะ น้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ป่วย และจะติดต่อไปสู่ผู้อื่นต่อไป เมื่อผู้นั้นสัมผัสละอองเชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ถึงแม้จะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคแล้ว
  • หากไม่สบาย หรือมีร่างกายอ่อนแอ ก็สามารถติดเชื้อได้ โดยเฉพาะเด็กทารกที่มักจะติดเชื้อจากพี่น้อง พ่อแม่ หรือผู้ที่ดูแล
  • โรคไอกรนสามารถพบได้กับคนทุกวัย ในประเทศไทยมีการให้วัคซีนโรคนี้อย่างทั่วถึง แต่มักพบผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กทารกที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี เพราะยังได้วัคซีนไม่ครบตามโปรแกรม ซึ่งจะได้วัคซีนไอกรนครบ 3 เข็มเมื่ออายุ 6 เดือน

 

การวินิจฉัย โรคไอกรน มีวิธีไหนบ้าง 

วัคซีนป้องกันโรคไอกรน

  • การเพาะเชื้อ

โดยการเก็บตัวอย่างเชื้อหรือสารคัดหลั่งที่บริเวณจมูกหรือลำคอไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของการเกิดโรค

 

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา
  • การตรวจเลือด 

เพื่อตรวจสอบจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งมีหน้าที่กำจัดเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย หากพบว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวมีจำนวนที่มากขึ้นจะแสดงถึงการติดเชื้อหรือการอักเสบที่เกิดขึ้นในร่างกาย

 

  • การเอกซเรย์ทรวงอก

เพื่อตรวจความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นที่ปอด เช่น ปอดอักเสบ หรือมีน้ำในปอด เป็นต้น ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากโรคปอดบวม

 

ภาวะแทรกซ้อน บางครั้งรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต 

ทารกและเด็กเล็กเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากที่สุด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ไม่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีนหรือได้รับวัคซีนไม่ครบตามกำหนด อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เช่น ภาวะหยุดหายใจชั่วคราว การติดเชื้อที่ปอด หรือปอดบวม อาการชักอย่างรุนแรง กลุ่มอาการทางสมอง หรือเสียชีวิต เป็นต้น

ส่วนเด็กโตและผู้ใหญ่ ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจะไม่รุนแรง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค เช่น น้ำหนักตัวลดลง กลั้นปัสสาวะไม่ได้ เป็นลม กระดูกซี่โครงหักจากการไออย่างรุนแรง ไส้เลื่อน เส้นเลือดแดงที่ผิวหรือในตาขาวแตก เป็นต้น

 

การรักษาโรคไอกรน

  • รับประทานยาต่อเนื่องนานประมาณ 2 สัปดาห์ ควรปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่ควรหยุดใช้ยาก่อนที่แพทย์กำหนด เพราะจะส่งผลต่อระดับของยาปฏิชีวนะในเลือดและอาจทำให้ดื้อยาได้
  • เด็กทารกหรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อดูแลอย่างใกล้ชิดเกี่ยวกับระบบการหายใจ หรือมีการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำร่วมด้วยหากผู้ป่วยมีอาการของภาวะขาดน้ำ
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ในสถานที่ที่เงียบสงบ มืด และมีอุณหภูมิที่เหมาะสมแก่การนอน
  • ดื่มน้ำมาก ๆ ทั้งน้ำเปล่า น้ำผลไม้ หรือซุป ควรระวังการเกิดภาวะขาดน้ำโดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็ก สามารถสังเกตได้จากหลายอาการ เช่น ปากแห้ง ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ปัสสาวะน้อยลงและมีสีเข้ม เป็นต้น
  • รับประทานอาหารมื้อเล็กลง เพื่อหลีกเลี่ยงการอาเจียนหลังอาการไอ
  • อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง ปราศจากตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการไอ เช่น ควันบุหรี่ ควันไฟ เป็นต้น

 

การป้องกันโรคไอกรน

วัคซีนป้องกันโรคไอกรน

  • การให้วัคซีน

วัคซีนป้องกันไอกรนจะให้โดยการฉีดที่อายุ 2, 4, 6, 18 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี วัคซีนไอกรนนี้จัดเป็นวัคซีนพื้นฐานซึ่งเด็กทุกคนต้องได้รับ วัคซีนไอกรนที่เป็นวัคซีนพื้นฐานนี้เป็นชนิดเต็มเซลล์ อยู่ในรูปของวัคซีนรวมคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน มีประสิทธิภาพดีในการป้องกันโรค

 

  • ในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือนซึ่งยังได้รับวัคซีนไม่ครบ 3 ครั้ง

ระดับของภูมิคุ้มกันอาจไม่เพียงพอในการป้องกันโรค เมื่อสัมผัสกับผู้ป่วยก็อาจมีอาการได้ ปัจจุบันแนะนําให้ฉีดวัคซีนคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรนสําหรับผู้ใหญ่ จํานวน 1 ครั้ง แก่หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ระหว่าง 27-36 สัปดาห์ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์สร้างภูมิคุ้มกันต่อไอกรนในระดับที่สูงและสามารถให้ภูมิคุ้มกันนี้ผ่านไปยังทารกในครรภ์และป้องกันโรคไอกรนได้

 

  • ในเด็กโตอายุ 10-12 ปี สามารถรับวัคซีนป้องกันคอตีบ-บาดทะยัก-ไอกรน (ทีแด๊ป)

เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เช่นเดียวกันแต่วัคซีนที่ใช้จะเป็นชนิดที่ต่างกับวัคซีนที่ใช้ในเด็กเล็ก  เด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนไอกรนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังจากอายุ 10-12 ปี ก็สามารถรับวัคซีนนี้ได้เช่นกันจําานวน 1 ครั้ง หลังจากนั้นแนะนําให้ฉีดวัคซีนคอตีบ-บาดทะยักกระตุ้นซ้ำทุกๆ 10 ปี

 

นอกจากวัคซีนแล้วสามารถป้องกันได้ ดังนี้ 

  • การรับประทานยาปฏิชีวนะ หากพบว่ามีสมาชิกในครอบครัวได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไอกรน เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายของเชื้อ รวมถึงบุคคลที่อยู่ในกลุ่มดังต่อไปนี้
  • ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงและผู้ที่อยู่ใกล้ชิด
  • ทารกที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี ซึ่งจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคไอกรนได้มากที่สุด
  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนการคลอด
  • การดูแลสุขอนามัย ไอกรนเป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจ จะแพร่กระจายผ่านการไอหรือการจาม การมีสุขอนามัยที่ดีจะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
  • ปิดปากด้วยกระดาษทิชชูก่อนการไอหรือจามทุกครั้ง และทิ้งกระดาษทิชชูลงในถังขยะ
  • หากไม่มีกระดาษทิชชู ควรไอหรือจามใส่ที่ข้อพับแขน ไม่ควรไอหรือจามโดยใช้มือปิดปาก
  • ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เป็นประจำ แต่ละครั้งควรใช้เวลาในการล้างมือประมาณ 20 วินาที หรือใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือ

 

 

ที่มา : (rama.mahido),(pobpad),(rama)

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง : 

เสริมภูมิคุ้มกันเด็กเล็ก วัย 1-3 ปี อย่างไรใน สถานการณ์โรคระบาด

ไขข้อข้องใจ เด็กเล็กไม่ได้รับวัคซีนตามนัด มีผลเสียอย่างไร ? แม่อยาก เลื่อนนัดรับวัคซีน ในช่วง New Normal ได้ไหม ?

ลูกปอดบวม หลอดลมอักเสบ เป็นไข้หวัดใหญ่ แม่แชร์อุทาหรณ์ มโนไปว่าลูกร้อน จนป่วยเป็นชุด

บทความโดย

Nanticha Phothatanapong