คุณพ่อแชร์ มะเร็งกะเพาะอาหารและรังไข่ พรากภรรยาที่รักไป ในเวลาแค่ 6 เดือน เรื่องมะเร็งนั้นไม่รู้สาเหตุของโรค และมะเร็งร้ายบางอย่างก็ไม่มีทางรักษา แต่มะเร็งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ บางทีก็พรากคนที่เรารักไปรวดเร็วเหลือเกิน
ถึงเพื่อนๆทุกคนที่ผ่านมาอ่านกระทู้นี้ผมอยากให้อ่าน เผื่อคนในครอบครัวท่านเคยประสบพบเจออาการแบบนี้อย่านิ่งนอนใจนะครับ
ผมกับแฟนแต่งงานอยู่ด้วยกันมา 7 ปี มีลูกสาว 1 คน อายุ 5 ขวบ ตอนนี้ผมอายุ 30 ปีครับ แฟนผมอายุ 29 ปี ทำงานธนาคารรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เราอยู่ด้วยกันที่จังหวัดฉะเชิงเทรา
เดือนเมษายน 2560 เรื่องมีอยู่ว่าเธอทานอาหารได้น้อยลงโดยเธอสังเกตจากน้ำหนักตัวเธอที่หายไป 1-2 KG โดยเธอมักถามผมว่าเธอผอมลงไหม ผมก็ตอบเธอว่าก็ปกตินี่นา ไม่คิดว่าน้ำหนัก 1-2 KG มันจะมีปัญหาอะไร
อาการเริ่มแรก
ต่อมาเดือน พฤษภาคม 2560 เธอจะมีอาการ เมื่อทานอาหารเข้าไปเยอะๆ หรือทานอาหารรสจัดจะมีอาการอาเจียนออกมา ผมก็จะบอกเธอว่าไปหาหมอไหมเป็นโรคกรดไหลย้อยรึเปล่า เพราะเธอทำงานธนาคาร เธอจะทานข้าวไม่ค่อยเป็นเวลา
ประมาณกลางเดือน พฤษภาคม 2560 เธอสังเกตตัวเองว่าเริ่มมีหน้าท้องนิด เธอเลยชวนผมไปออกกำลังกายเพื่อที่จะลดหน้าท้อง ถ้าเธอไม่มีเวลา เธอก็จะกลับมาบริหารหน้าท้องที่บ้าน และเจ้าตัวเล็กก็จะมาออกกำลังกายกับคุณแม่ของเธอ
แต่หน้าท้องของเธอก็ไม่ลดลงเลยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ส่วนอาการที่เธอทานอาหารรสจัดหรือทานอะไรเข้าไปเยอะก็จะมีอาการอาเจียน ผมจึงตัดสินใจพาเธอไปหาหมอที่คลินิคโรคทางเดินอาหารแห่งหนึ่งในจังหวัดฉะเชิงเทรา หมอก็สอบถามอาการแล้วก็แจกยาลดกรด ยาขับลม ยาเคลือบกระเพาะมาให้ทาน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นก็ให้ไปหาใหม่อีกรอบ
อาการแย่ลง
ต่อมามิถุนายน อาการเธอไม่ดีขึ้น แถมท้องก็ใหญ่ขึ้นจึงตัดสอนใจไปหาหมอที่ รพ.ในเมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งหมอได้ทำอัลตราซาวนด์ พบว่ามีน้ำในช่องท้องและพบก้อนเนื้อที่บริเวณรังไข่ จึงทำการเจาะเลือดเพื่อหาค่า CA พบว่ามีค่าสูงกว่าปกติ ทาง รพ.ฉะเชิงเทรา จึงทำการ Refer ไปที่ รพ.แห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็น รพ.ที่รักษาโรคมะเร็งนี้เฉพาะทาง
ภายในวันนั้นผมก็ไปที่ รพ.ชลบุรีทันที ผมได้เข้าไปติดต่อที่ รพ.ชลบุรีเพื่อทำการรักษา ก็ได้เข้าสู้กระบวนการใหม่อีกครั้ง โดยตรวจเลือด อัลตราซาวนด์ ก็พบว่าผลตรงกัน และทาง รพ. ก็ให้ผมกลับบ้านไปก่อนรอพบอาจารย์หมอ
ตรวจแล้วรอ และ ตรวจแล้วรอ
วันที่ 21/6/2560 ซึ่งผมต้องรออีก 2 สัปดาห์ทางพยาบาลจึงแนะนำให้ทางผมไปทำ CT Scan และตรวจน้ำในช่องท้อง ก่อนเพราะถ้ารอทาง รพ.ชลบุรีคิวจะยาวมากและผลน้ำต้องส่งไปตรวจข้างนอก จากนั้นผมจึงไปหา รพ.เอกชนแห่งหนึ่งเพื่อทำการ CT Scan และกลับมาเจาะน้ำในท้องออกที่ รพ.ฉะเชิงเทรา
เนื่องจากแฟนผมมีอาการแน่นท้องมากนอนไม่หลับ จึงต้องเจาะน้ำออกประมาณ 2 ลิตร จึงได้ทำการตรวจผลน้ำในช่องท้องไปในตัว สรุปตอนนี้ผมมีผลครบทุกอย่างในมือ ไปพบอาจารย์หมอวันที่ 21/6/2560 อาจารย์หมอที่ รพ.ชลบุรี ได้อ่านผลและรอประชุมประจำสัปดาห์เพื่อกำหนดวันผ่าตัด
ท้องใหญ่เหมือนตั้งครรภ์
ผมรอโทรศัพท์จากทาง รพ. ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ไม่มีการติดต่อกลับมาสุดท้ายผมต้องโทรไปตามกับพยาบาลเอง สรุปได้คิวผ่าตัดวันที่ 28/7/2560 ก็ต้องรออีกประมาณ 1 เดือนกว่าๆ ซึ่งตอนนั้นท้องของแฟนผมก็ใหญ่เหมือนกับคนตั้งครรภ์ประมาณ 6-7 เดือน คือ ผลอัลตราซาวด์ล่าสุดพบว่ามีน้ำในท้องประมาณ 8 ลิตร เท่ากับขวดโค๊ก 1.25 ลิตรประมาณ 6 ขวดกว่าๆ
ต่อมาเดือนประมาณกลางเดือน กรกฎาคม เธอทานอาหารได้น้อยลงมาก จาก 1 จานเหลือ 1 ถ้วยจนมาถึง 1 ทัพพี และมาจน 1 ช้อนโต๊ะ และเมื่อทานอาหารก็จะมีอาการอาเจียนทุกครั้งที่ทานอาหารเข้าไป
ได้ผ่าตัด แต่ก็พบกับข่าวร้าย
ผมจึงตัดสินใจพาเธอไป รพ.ใน กทม. ทันทีซึ่งเป็น รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง เพราะคิดว่าเธอคงไม่ไหว พอไปถึงหมอได้ทำการตรวจและนัดผ่าตัดในวันรุ่งขึ้นทันทีซึ่งตรงกับวันที่ 22/7/2560 หมอได้เดินออกจากห้องผ่าตัดในเวลา 21.30 น. พร้อมสีหน้าเหนื่อยและขอคุยกับทางพ่อแม่และผม ในใจผมตอนนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พยายามรวบรวมสติคุยกับหมอ
คุณหมอบอกว่าพยากรณ์โรคไม่ดี เราได้ทำการตัดมดลูกของคนไข้ พบว่ามีก้อนเนื้อมะเร็งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 13 CM อีกข้างเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 CM ตอนนี้เราได้ทำการผ่าออกไปหมดแล้ว แต่ยังมีอีกก้อนที่กระเพาะอาหารขนาดเท่ากำปั้น ซึ่งได้ให้อาจารย์อีกท่านที่ชำนาญในเรื่องระบบทางเดินอาหารมาดูพบว่าผ่าไม่ได้
โดยคนไข้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้แค่หลักเดือนเท่านั้น (ในใจคิดว่าทำไมตอนตรวจก่อนผ่าถึงไม่เจอก้อนนี้เลย) จากนั้นหมอก็ย้ายเธอไปห้อง ICU ผม พ่อตาและแม่ยายเดินออกจากห้องผ่าตัดด้วยน้ำตาและกลับมากอดลูกสาว ลูกสาวก็มองด้วยความมึนงง
อาการดีขึ้น แต่แล้ว…
23/7/2560 เธอได้ฟื้นและออกจากห้อง ICU มาอยู่ห้องพิเศษ เธอได้เจอลูกครั้งแรกเธอก็ยิ้มและน้ำตาไหลซึ่งอาการของเธอก็มีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงวันที่ 27/7/2560 อยู่ๆเธอก็เกิดอาการร้อนทั้งตัว หน้ามืด และก็หัวใจหยุดเต้น คุณหมอพยายามจะยื้อชีวิตเธอให้กลับมาเกือบ 1 ชม. แต่เธอก็ไม่กลับมา
เรื่องราวทุกอย่างเกิดขึ้นภายในระยะเวลาไม่ถึง 4 เดือน และ 2 เดือนในการตรวจเพื่อหาสาเหตุ ซึ่งก่อนหน้านี้เธอไม่มีอาการอะไรที่บ่งชี้เลยว่าผิดปกติจนมาถึงระยะที่ท้องมีน้ำ (ท้องมาร) ซึ่งเป็นระยะแพร่กระจายของโรคมะเร็ง คือระยะที่ 4 มีโรคแพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต (เลือด) ไปยังอวัยวะอื่นๆสำหรับผมมันเกิดขึ้นไวมากสำหรับผมและลูกสาว แต่ยังไงผมก็จะสู้ต่อไปครับ
ทิ้งท้าย