แนวทางการรักษา ไข้เลือดออก ในปัจจุบัน ยังเป็นแบบประคับประคองตามอาการ เนื่องจากยังไม่มียารักษาจำเพาะ สำหรับกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการของไข้เลือดออกแบบรุนแรง เช่น เกล็ดเลือดต่ำ มีเลือดออกในทางเดินอาหาร มือเท้าเย็น ช็อกเพราะไข้ขึ้น และลดลงอย่างรวดเร็ว หากถึงมือแพทย์ช้าก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
“ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีตัวเลขการระบาดของ ไข้เลือดออก เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมแล้วมากกว่า 350,000 ราย แค่เฉพาะในปี พ.ศ. 2562 มีรายงานผู้ป่วยสูงสุดถึง 130,000 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลมาก โดยเฉพาะหากมีการระบาดสูงอีกครั้งในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย เนื่องจากหลายหน่วยงาน รวมทั้งประชาชนเอง ก็ต่างโฟกัสไปที่การป้องกันโควิด-19 โดยหลงลืมไปว่าจริง ๆ แล้ว ไข้เลือดออกยังคงแพร่ระบาดอยู่อย่างหนัก และอยู่ใกล้ตัวเรามากที่สุด อีกทั้งเด็ก ๆ เองก็ยังคงเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยงที่มีแนวโน้มป่วย และเสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกสูงขึ้นมาโดยตลอด”
ไข้เลือดออก โรคเขตร้อนที่ถูกลืม (Neglected Tropical Diseases)
โรคไข้เลือดออก จัดเป็นหนึ่งในโรคเขตร้อนที่ถูกละเลย หรือ NTD (Neglected Tropical Diseases) โดยโรคไข้เลือดออกจะไม่ติดต่อจากคนสู่คน แต่มียุงลายเป็นพาหะ และสามารถแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วจากการวางไข่ในจุดเล็ก ๆ ที่มีน้ำขัง อย่าง ใบไม้ กระถางต้นไม้ กาบใบของไม้น้ำต่าง ๆ หรือตามเศษขยะที่ถูกทิ้งไว้ เช่น ถุงขนม ฝาขวดน้ำ ภาชนะใส่อาหารแบบเดลิเวอรี่ ซึ่งพบได้ง่ายทุกพื้นที่ในครัวเรือน จึงป้องกันและควบคุมได้ยาก
นอกจากจำนวนผู้ป่วยไข้เลือดออกที่มีการรายงานอย่างเป็นทางการแล้ว คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อไข้เลือดออกที่ไม่มีอาการอีก 3-4 เท่าตัว แฝงอยู่ท่ามกลางประชาชนทั่วไปจำนวนมาก เพราะการติดเชื้อแบบไม่มีอาการนั้นเป็นสัดส่วนประมาณ 3 ใน 4 เลยทีเดียว หากคนกลุ่มนี้ถูกยุงกัดเข้า ยุงก็จะกลายเป็นพาหะนำเชื้อไวรัสเดงกีไปสู่ผู้อื่นได้อีกมากมาย จึงจัดเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อไข้เลือดออกกระจายออกไปในวงกว้าง และกลุ่มผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยที่เคยเป็นอาการไข้เลือดออกแล้ว ยังอาจติดเชื้อซ้ำ และป่วยด้วยโรคนี้ได้อีกตลอดเวลา จึงถือเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
แพทย์หญิง ดารินทร์ อารีย์โชคชัย รองผู้อำนวยการ กองโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์โรคไข้เลือดออกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทับซ้อนกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า รายงานตัวเลขผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกลดต่ำลงอาจเป็นเพราะการที่มีประกาศ Work from Home อยู่เป็นระยะ ๆ เมื่อประชาชนมีเวลาอยู่บ้านมากขึ้น ก็ปัดกวาดเช็ดถู เก็บเศษขยะ ทำความสะอาดบ้านได้ทุกวัน ผลพลอยได้ก็คือ เรามีโอกาสในการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้มากขึ้น แต่อย่างไรก็ยังต้องคอยจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป เนื่องจากไข้เลือดออกจะมีลักษณะการระบาดแบบปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี โดยในปี พ.ศ. 2564 มีอุบัติการณ์ของไข้เลือดออกลดต่ำลง จึงมีแนวโน้มว่าในปี พ.ศ. 2565 สถานการณ์โรคไข้เลือดออกอาจมีความรุนแรงมากที่สุด และอาจมีผู้ป่วยสูงถึง 95,000 ราย
จับตาเป็นพิเศษ หากโรงเรียนยังเปิด ๆ ปิด ๆ อาจกลายเกิดวิกฤตไข้เลือดออกระบาดซ้ำ
เนื่องจากสถานการณ์โควิด – 19 ยังไม่น่าไว้วางใจ จึงทำให้มีการประกาศเปิดเรียนแบบ On Site สลับกับการเรียน Online อยู่เป็นระยะ ทำให้น่ากังวลว่าหากเด็ก ๆ ต้องกลับไปเรียนในโรงเรียนในทันที
โดยที่ยังไม่ได้มีมาตรการในการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย และควบคุมการแพร่ระบาดของไข้เลือดออกอย่างจริงจัง อาจทำให้เด็ก ๆ มีโอกาสโดนยุงลายกัดสูงขึ้นกว่าการเปิดเรียน On Site แบบ 100% ซึ่งทางโรงเรียนจะมีแนวทางในการกำจัดลูกน้ำยุงลายก่อนเปิดเรียนอย่างจริงจัง ซึ่งช่วยลดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายได้มากกว่า
นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กฯ เผย “เด็กวัยเรียน” มีแนวโน้มป่วยไข้เลือดออกสูงสุด!
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิง กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ นายกสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออกในกลุ่มเด็กเล็ก เด็กวัยเรียน และกลุ่มวัยรุ่น รวมทั้งกลุ่มผู้ใหญ่ตอนต้นในประเทศไทยว่าปัจจุบันมีรายงานผู้ป่วยที่มีอาการโรคไข้เลือดออกรุนแรงในกลุ่มของวัยรุ่น และผู้ใหญ่ตอนต้นเพิ่มมากขึ้น โดยในกลุ่มของผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มีตัวเลขรายงานว่ามีจำนวนผู้ป่วย และเสียชีวิตน้อยกว่ากลุ่มอื่น ๆ อาจเป็นเพราะมีคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา และเมื่อลูกมีอาการป่วย ก็จะรีบพามาพบแพทย์ทันที ส่วนในกลุ่มของเด็กวัยเรียน อายุระหว่าง 5 – 14 ปี กลับพบว่ามีอัตราป่วยสูงที่สุด คิดเป็น 1:4 หรือ 25% ของผู้ป่วยทุกช่วงอายุ แต่มีอัตราการเสียชีวิตไม่สูงมาก
แต่กลุ่มผู้ป่วยที่มีแนวโน้มเสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกมากขึ้น กลับเป็นกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น อายุระหว่าง 15 – 24 ปี ซึ่งเมื่อมีอาการป่วย ก็จะอดทน ซื้อยาทานเอง และจะมาหาหมอก็ต่อเมื่อมีอาการหนักขึ้น ทำให้ได้รับการรักษาช้าเกินไป และมีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น เช่นเดียวกับกลุ่มที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์ ก็จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิตได้ หากมีการติดเชื้อไวรัสเดงกีจากยุงลาย
แพทย์ชี้ คนที่แข็งแรงที่สุด กลับมีความเสี่ยงป่วยไข้เลือดออกรุนแรงมากที่สุด
จากมุมมองของแพทย์ผู้รักษา จะทราบกันดีว่า โรคไข้เลือดออก เป็นโรคที่ค่อนข้างประหลาด คือ คนที่แข็งแรงสุด จะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงมีอาการป่วยรุนแรงมากที่สุด โดยสิ่งที่ทำให้ผู้ป่วยไข้เลือดออกเสียชีวิต ไม่ใช่เกิดจากตัวโรคเองแบบที่หลายคนเข้าใจ หากแต่เกิดจากกระบวนการโต้ตอบไวรัสของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ซึ่งยิ่งตอบโต้รุนแรงมากเท่าไร ก็จะทำให้เกิดการอักเสบของอวัยวะ ส่งผลให้และระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลวลง
โดยเฉพาะในวัยหนุ่มสาวที่มีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงมากที่สุด ทำให้ต่อสู้กับไวรัสได้อย่างเต็มที่ บ่อยครั้งที่แพทย์ตรวจเลือดแล้วพบว่าไวรัสหายไป แต่อาการของผู้ป่วยกลับเป็นรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำการตอบโต้เพื่อเร่งกำจัดไวรัสอย่างรุนแรง ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันซึ่งแต่เดิมเคยทำหน้าที่ปกป้องร่างกายอย่างเข้มแข็ง กลับมาเป็นกลไกให้เกิดอาการรุนแรง และ อาจถูกโจมตีด้วยโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ในภายหลัง ดังนั้น ถ้าถามว่าโรคอะไรที่สามารถล้มวัยรุ่นที่มีร่างกาย และภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงลงได้ง่าย ๆ คำตอบ คือ โรคไข้เลือดออก นั่นเอง และยิ่งถ้ามีน้ำหนักมาก ท้วมหรืออ้วน ก็จะยิ่งเสี่ยงกับโรคนี้มากขึ้น รักษายากขึ้น
ชวนเช็ก อาการ ไข้เลือดออก ถึงมือหมอไว ลดการเสียชีวิตได้มากขึ้น
ระยะฟักตัวของไวรัสเดงกีที่เกิดจากการถูกยุงลายกัดจะอยู่ที่ประมาณ 5 – 8 วัน ก็จะเริ่มแสดงอาการของโรค ซึ่งจะมีความรุนแรงแตกต่างกันไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ที่มีแนวโน้มเป็นไข้เลือดออก จึงควรหมั่นสังเกตอาการป่วยของตนเอง หรือสมาชิกในบ้านอยู่เสมอ โดยสามารถสังเกตอาการต่าง ๆ ซึ่งจะมีรูปแบบเฉพาะตัวคร่าว ๆ ทั้ง 3 ระยะ คือ ระยะไข้ ระยะวิกฤต/ช็อก และระยะฟื้นตัว ดังนี้
ระยะไข้
- มีไข้สูงเฉียบพลัน อุณหภูมิเกิน 38.5 องศาเซลเซียส และไข้สูงลอย 2 – 7 วัน
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดเบ้าตา
- ในผู้ป่วยเด็กอาจมี อาการชัก
- มีอาการหน้าแดง (flushed face)
- เบื่ออาหาร อาเจียน ปวดท้อง
ระยะวิกฤต/ช็อก
- มีอาการมือและเท้าเย็น
- มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
- มีอาการเลือดออก ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากรณี เลือดออกตามผิวหนัง
- อาจมีอาเจียน หรือ ถ่ายเป็นเลือดปนสีดำ
- มีอาการตับโต ปวดท้องด้านขวาบน กดเจ็บ
- อาจมี ภาวะไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือ ภาวะช็อก
ระยะฟื้นตัว
- ในผู้ป่วยที่ไม่ช็อกเมื่อไข้ลดลงจะมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ในผู้ป่วยที่มีอาการช็อก หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็ว จะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 2 – 3 วัน
การที่ผู้ปกครองคอยสังเกตอาการของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด และรีบพามาพบแพทย์ทันทีที่สงสัยว่าลูกอาจเป็นไข้เลือดออก ก็จะช่วยให้เด็ก ๆ ปลอดภัยจากการได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะการถึงมือแพทย์เร็วเท่าไร ก็จะสามารถช่วยลดเปอร์เซ็นต์ในการเสียชีวิตได้มากยิ่งขึ้น
11 องค์กรพันธมิตร ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง ผลักดันประเทศไทย สู่สังคมปลอด ไข้เลือดออก ในปี 2569
จะเห็นได้ว่า ถึงแม้ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการกำจัด และควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นแนวทางในการลดการระบาดของโรคไข้เลือดออกมาโดยตลอด แต่การแพร่ระบาดของโรคนี้ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง
จากตัวเลขที่น่ากังวลนี้ จึงได้เกิดการส่งเสริมให้มีการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก รวมทั้งมีการพัฒนา และต่อยอดระบบการป้องกันที่มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมการระบาด และนำพาประเทศไทยเข้าสู่สังคมปลอดไข้เลือดออก จึงเป็นที่มาของของความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายองค์กรภาครัฐและเอกชน 11 องค์กร ได้แก่ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชน สมาคมนักบริหารโรงพยาบาลแห่งประเทศไทย และบริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด ภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก Dengue-Zero ขึ้น
ภายใต้พันธกิจหลักร่วมกัน 3 ประการ ได้แก่
- ลดอัตราการป่วยจากโรคไข้เลือดออกลงให้ได้ร้อยละ 25 หรือให้ไม่เกิน 60,000 รายต่อปี
- ลดอัตราการเสียชีวิตให้ต่ำกว่า 1:10,000 ราย
- ควบคุมแหล่งกำเนิดของลูกน้ำยุงลายในชุมชนให้ต่ำกว่า 5 หลังคาเรือน จากการสำรวจ 100 หลังคาเรือน
ซึ่งพันธกิจทั้ง 3 ข้อนี้ คาดว่าจะลุล่วงสำเร็จภายใต้กรอบระยะเวลาการทำงาน 5 ปี หรือภายในปี พ.ศ. 2569 ซึ่งทางองค์กรพันธมิตรจะผนึกกำลัง ร่วมกันผลักดัน และส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการควบคุม และป้องกันโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนให้การสนับสนุนนโยบายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคไข้เลือดออกอย่างดีที่สุด
มิสเตอร์ ปีเตอร์ สตรีบัล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาเคดา (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำทางด้านชีวเภสัชภัณฑ์ระดับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีกว่าและอนาคตที่สดใสขึ้น ได้กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไข้เลือดออกทั้งในประเทศไทย และทั่วโลกว่า
“ไข้เลือดออกมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ในแต่ละปีมีประชากรทั่วโลกติดเชื้อมากกว่า 390 ล้านคน แต่จำนวนผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคนั้นอาจสูงถึง 3,900 ล้านคน* โดยในจำนวนนี้ มีผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงสูงถึงกว่า 96 ล้านคน และในประเทศไทยก็ยังพบว่ามีอัตราการติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่า โรคนี้ไม่เคยหายไปจากเรา และยังสร้างความสูญเสียทั้งชีวิต และทรัพยากรมากมาย การเอาชนะโรคนี้ได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่มีความมุ่งมั่นเดียวกันในการป้องกันและควบคุมไข้เลือดออกให้ได้มากที่สุด ทาเคดา มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับโรคไข้เลือดออก Dengue-Zero นี้ ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่า ทาเคดา มุ่งมั่นมอบสุขภาพที่ดีกว่าให้คนไทย และพร้อมสนับสนุนทุกความร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายไปด้วยกัน”
ข้อมูลอ้างอิง:
1.https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/dengue-and-severe-dengue
2.https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=44
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!