ทุกคนเคยมีความสงสัยกันหรือไม่ว่า เข็มกลัดคนท้อง มีไว้เพื่ออะไรและเหตุใดผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จึงนำเข็มกลัดมาติดไว้ที่บริเวณท้อง ที่มาของคำตอบมีความแตกต่างกัน บ้างก็ว่าเป็นความเชื่อเก่าแก่ของคนโบราณที่ช่วยป้องกันสิ่งชั่วร้าย บ้างก็ว่าเพื่อเป็นการเตือนผู้ตั้งครรภ์เองให้ทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างระมัดระวังตัวและคิดถึงลูกในท้องให้มากขึ้น นับว่าเป็นความเชื่อที่หลากหลายและมีความแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งแต่ละความเชื่อของผู้คนแต่ละท้องถิ่นก็จะไม่เหมือนกัน วันนี้เราจะพามาไขคำตอบไปพร้อมๆ กันว่า เข็มกลัดคนท้อง ติดไว้เพื่ออะไร และมีความสำคัญอย่างไรกับผู้ตั้งครรภ์
เข็มกลัดคนท้อง ติดไว้เพื่ออะไร และมีความสำคัญอย่างไร ?
ความเชื่อของคนเก่าแก่โบราณที่เชื่อกันว่า หากผู้หญิงที่ตั้งครรภ์นำเข็มกลัดมาติดไว้บริเวณท้องจะเป็นการช่วยป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแท้งลูก เพราะด้วยที่มาของคำว่า เข็มกลัด หมายถึงการป้องกันการหลุดและการตกหล่น การกลัดเอาไว้ที่บริเวณท้องจึงถูกตีความเชื่อมโยงว่าเป็นการช่วยป้องกันเด็กไม่ให้หลุดออกจากท้องแม้ก่อนเวลาอันควร โดยการติดเข็มกลัดซึ่งเป็นความเชื่อและความสบายใจของคนโบราณเพื่อป้องกันการแท้งลูก แต่แท้จริงแล้วการป้องกันภาวะการแท้งลูกนั้นขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองของคุณแม่ที่จะเป็นส่วนช่วยในการป้องกันการแท้งลูกได้อย่างแท้จริง
บทความที่น่าสนใจ : แท้งลูกเกิดจากอะไร? สัญญาณอะไรบ่งบอกว่าคุณอาจแท้ง อาการเป็นไง?
-
ป้องกันเด็กในครรภ์จากสิ่งชั่วร้าย
อีกหนึ่งความเชื่อของคนโบราณที่จะคอยย้ำเตือนคุณแม่ตั้งครรภ์เสมอว่าการนำเข็มกลัดมาติดไว้ที่บริเวณท้อง นอกจากจะช่วยป้องกันการแท้งลูกแล้ว ยังเปรียบเสมือนเป็นการช่วยป้องกันเด็กจากภัยอันตรายต่างๆ ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เช่น ภูต ผี สัมภเวสี หรือวิญญาณ ทั้งนี้ ยังมีอีกหนึ่งความเชื่อคือการนำเอาพระมากลัดไว้ที่ท้องเพื่อเป็นเหมือนการแขวนพระให้คุ้มครองทารกในท้องจากภัยอันตรายต่างๆ
-
ป้องกันคุณแม่ตั้งครรภ์จากสิ่งชั่วร้าย
การติดเข็มกลัดไว้บริเวณท้องที่นอกจากจะมีความเชื่อว่าเป็นการป้องกันเด็กทารกจากภัยอันตรายต่างๆ แล้ว ยังมีความเชื่อว่าเข็มกลัดจะสามารถช่วยปกป้องคุณแม่ตั้งครรภ์จากสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อไหร่ที่คนตั้งครรภ์ต้องไปงานศพ หลายคนมีความเชื่อว่าในช่วงที่คุณแม่กำลังตั้งครรภ์จะเป็นช่วงที่ร่างกายมีความอ่อนแอ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นที่จับจ้องของเหล่าภูต ผี ปีศาจ หรือสัมภเวสีที่จะคอยเข้ามาทำสิ่งมิดีมิร้ายที่เกิดอันตรายต่างๆ กับเด็กในครรภ์และตัวแม่เองได้
การนำเข็มกลัดมาติดไว้ที่บริเวณท้อง นับว่าเป็นความเชื่อของคนโบราณในแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกันออกไป แต่วัตถุประสงค์นั้นมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อป้องกันเด็กในท้องจากภัยอันตรายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยอันตรายที่สามารถพิสูจน์ได้ หรือภัยอันตรายจากสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการสืบทอดทางความคิดของผู้คนในท้องถิ่นนั้น
-
เพื่อเตือนให้ผู้อื่นรู้ว่ากำลังตั้งครรภ์
หากมองย้อนกลับไปดูกุศโลบายของคนโบราณแล้ว เราจะสามารถเห็นความชาญฉลาดที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้แนวคิดนี้ได้อย่างชัดเจน เนื่องจากการติดเข็มกลัดไว้ที่บริเวณท้องจะเป็นการทำเพื่อความสบายใจทั้งฝ่ายผู้ใหญ่หรือตัวของคุณแม่ตั้งครรภ์เองแล้ว ยังเป็นการบ่งบอกให้ผู้คนรอบข้างได้สังเกตและรับรู้ด้วยว่ากำลังตั้งครรภ์ ส่งผลดีต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ในเวลาที่ต้องออกไปทำธุระข้างนอก อาทิเช่น มีผู้คนลุกให้นั่งบนรถขนส่งโดยสารสาธารณะ หรือผู้คนจะให้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เนื่องจากอาจเกิดการกระทบกระเทือนต่อเด็กในท้องได้ ทั้งนี้ การติดเข็มกลัดเอาไว้ที่บริเวณท้องยังทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์ทั้งหลายเกิดความสบายใจได้อีกด้วย
-
เพื่อเตือนคุณแม่ตั้งครรภ์ให้ระมัดระวังมากขึ้น
การติดเข็มกลัดไว้ที่ท้อง นอกจากจะเป็นสัญลักษณ์เพื่อบ่งบอกผู้คนรอบข้างให้รับรู้และระวังผู้ตั้งครรภ์ให้มากขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตือนคุณแม่ตั้งครรภ์ให้ระมัดระวังตัวเองให้มากๆ ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากผู้ตั้งครรภ์บางคนที่ยังต้องดำเนินชีวิตและทำกิจกรรมอื่นๆ อย่างปกติ เช่น เดินทางไปทำงาน การเดินเร็ว หรือยกของหนัก ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์บางคนอาจลืมตัวไปว่าตนนั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ ดังนั้นเข็มกลัดจึงเปรียบเสมือนเครื่องช่วยเตือนให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ระมัดระวังในทุกอิริยาบถต่างๆ ของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อตนเองและเด็กในท้อง
บทความที่น่าสนใจ : แม่ท้องทำงานบ้าน ได้หายห่วงเพียงเลี่ยง 5 ข้อ คนท้องทำงานบ้านต้องระวังอะไร
ท้องกี่เดือนถึงจะติดเข็มกลัดได้และวิธีติดทำอย่างไร ?
คำถามที่เหล่าคุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่หลายคนสนใจที่จะนำเข็มกลัดมาติด แต่ยังไม่รู้ว่าอายุครรภ์เท่าไหร่ถึงจะสามารถทำการติดได้ โดยการติดเข็มกลัดที่บริเวณท้องนั้นสามารถติดได้ตั้งแต่รู้ตัวเองว่าเริ่มท้องอ่อนได้ในทันที เนื่องจากช่วงท้องอ่อนยิ่งเป็นช่วงที่คุณแม่ต้องระมัดระวังตัวต่อสิ่งรอบข้างมากเป็นพิเศษ การติดเข็มกลัดในช่วงนี้จึงเป็นสัญญาณที่ดีที่จะทำให้ผู้คนรอบข้างคอยสังเกตและระมัดระวังต่อผู้ตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างมาก
ในส่วนของวิธีการติดเข็มกลัดไว้ที่บริเวณท้อง สามารถติดได้ที่ชุดคลุมท้องได้เลย ควรเลือกบริเวณติดที่สามารถมองเห็นและสังเกตได้ชัด เพื่อให้ผู้คนรอบข้างรับรู้ได้ว่ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ทั้งนี้ควรระมัดระวังเข็มให้เป็นอย่างดี ควรที่จะติดเข้าที่ให้เรียบร้อย เพราะมิฉะนั้นอาจทำให้เข็มทิ่มเข้าที่ผิวหนังบริเวณท้องที่อาจส่งผลให้เป็นแผลและเกิดอันตรายต่อผิวหนังขึ้นได้
วิธีการดูแลตัวเองในระหว่างตั้งครรภ์
การติดเข็มกลัดไว้ที่บริเวณท้อง เป็นการบ่งบอกให้ผู้อื่นรับรู้และให้คุณแม่ตั้งครรภ์ได้ระมัดระวังในการทำทุกอิริยาบถของตัวเองให้มากขึ้นแล้ว นอกจากนี้เหล่าคุณแม่ตั้งครรภ์มือใหม่ยังต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการดูแลตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นการดูแลในเรื่องของสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและสภาพจิตใจที่สมบูรณ์แบบ เพื่อส่งผลให้ทารกในครรภ์ได้มีสุขภาพดีและร่างกายแข็งแรง อีกทั้งการที่คุณแม่ตั้งครรภ์ดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธีจะส่งผลให้ทารกคลอดออกมามีร่างกายแข็งแรงและสมบูรณ์
1. รับสารอาหารที่มีประโยชน์
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรรับประทานอาหารให้ครบหมู่ โดยในช่วง 1-3 เดือนแรก ควรได้รับพลังงาน 2,050 กิโลแคลอรีต่อวัน ช่วงเดือนที่ 4-6 ควรเพิ่มเป็น 350 กิโลแคลอรีต่อวัน และช่วงเดือนที่ 7-9 เพิ่มเป็น 470 กิโลแคลอรีต่อวัน โดยสารอาหารที่คุณแม่ตั้งครรภ์ควรได้รับอย่างครบถ้วน ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ใยอาหาร แคลเซียม ธาตุเหล็ก ไอโอดีน และกรดโฟลิก เพื่อสร้างพลังงานให้เพียงพอต่อทารกในครรภ์และสร้างการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แบบให้เด็กในท้อง
2. ควบคุมน้ำหนักตัวให้พอดี
นอกจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แล้ว คุณแม่ตั้งครรภ์ยังต้องควบคุมน้ำหนักของตัวเองให้อยู่ภายในเกณฑ์ที่กำหนด ไม่ควรรับประทานอาหารตามใจปากมากเกินไป เพราะเมื่อไหร่ที่มีน้ำหนักตัวสูงในขณะตั้งครรภ์ อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนได้ เช่น ความดันโลหิตสูง หรือน้ำตาลในเลือดสูง
3. การฝากครรภ์
ควรไปฝากครรภ์ทันทีที่คุณแม่รู้ตัวแล้วว่ากำลังตั้งครรภ์ เพื่อเข้ารับการตรวจสุขภาพร่างกายว่ามีความผิดปกติใดๆ หรือไม่ รวมทั้งยังเป็นการได้รับวิตามินบำรุงครรภ์และได้รับคำแนะนำที่ถูกวิธีในการดูแลครรภ์ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อคุณแม่ตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างมาก
4. ไม่สร้างความเครียดให้ตัวเอง
หากคุณแม่มีความเครียดในระหว่างตั้งครรภ์ ภายในร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อสารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์ได้โดยตรงที่อาจมีปัญหาตามมาหลังจากที่คลอดแล้วได้หลายอย่าง ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์ควรที่จะรับแต่พลังงานบวกที่ก่อให้เกิดอารมณ์ดี เพื่อให้เด็กในครรภ์มีสุขภาพแข็งแรงและมีพัฒนาการที่ดีในอนาคต
5. ออกกำลังกายให้พอดี
คุณแม่ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอในระดับปานกลาง โดยรูปแบบการออกกำลังกายที่แนะนำคือ การออกกำลังกายแบบแอโรบิกแรงกระแทกต่ำ เช่น โยคะ เดิน ว่ายน้ำ ออกกำลังกายในน้ำ (Hydrotherapy) ปั่นจักรยานแบบอยู่กับที่ หรือเต้นแอโรบิก สำหรับการออกกำลังกายที่มีแรงต้านมาก เช่น วิ่ง ยกเวท ดัมเบล ควรจะเป็นผู้ที่ออกกำลังกายประเภทนี้มาก่อนอยู่แล้ว ทั้งนี้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อการออกกำลังกายที่ถูกต้อง
การออกกำลังกายสำหรับคนตั้งครรภ์ในช่วงแรกอาจต้องเริ่มต้นอย่างค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 15 นาที/วัน ทำอย่างน้อย 3 วัน/สัปดาห์ เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งที่รู้สึกตัวได้ว่าร่างกายเริ่มปรับตัวได้แล้วสามารถเพิ่มเป็น 20-30 นาที/วัน อย่างน้อย 3-5 วัน/สัปดาห์ อยู่ในระดับเทียบเท่ากับการออกกำลังกายเพื่อสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรงในผู้ใหญ่ปกติทั่วไป
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ติดเข็มกลัดไว้บริเวณท้อง ส่วนหนึ่งเป็นการสร้างความรู้สึกสบายใจทั้งในแง่ของการทำตามความเชื่อที่คนโบราณได้เล่าต่อกันมาและอีกส่วนหนึ่งคือการสร้างสัญญาณที่บ่งบอกให้คนรอบข้างได้รับรู้และสังเกตว่ากำลังตั้งครรภ์ เพื่อเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกต่อการใช้ชีวิตในหลายๆ ด้าน อย่างไรก็ดีคุณแม่ตั้งครรภ์ควรไม่ลืมที่จะดูแลตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและสภาพจิตใจ ตั้งแต่เรื่องอาหารการกินของที่มีประโยชน์ การควบคุมน้ำหนัก ทำจิตใจให้สบายเพื่อไม่ให้เกิดความเครียด ออกกำลังกายเบาๆ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ทารกในครรภ์มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นการสร้างพัฒนาการที่ดีหลังการคลอดได้อีกด้วย
บทความที่น่าสนใจ :
อาการเริ่มแรกของคนท้อง เป็นอย่างไร มาเช็กดูกัน !
วิธีสังเกตอาการคนท้องและพัฒนาการทารกในครรภ์แต่ละไตรมาส
คนท้องออกกำลังกายได้ไหม ? ควรทำหรือไม่ในขณะตั้งครรภ์
ที่มา : medthai, maerakluke, pregskin
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!