การตั้งครรภ์เป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความหวัง และความกังวล คุณแม่ทุกคนต่างปรารถนาที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกน้อยในครรภ์ แต่ด้วยความที่ลูกน้อยยังไม่สามารถสื่อสารออกมาได้ การติดตามสุขภาพของเขาจึงอาศัยการสังเกตจากคุณแม่เป็นสำคัญ โดยเฉพาะการดิ้นของลูกน้อย ลูกดิ้นตอนกี่เดือน การดิ้นสำคัญอย่างไร นับลูกดิ้นยังไง คือสิ่งที่คุณแม่ท้องควรรู้
ลูกดิ้นตอนกี่เดือน การดิ้นของทารกในครรภ์ บอกอะไรเราได้บ้าง?
ทารกในครรภ์จะเริ่มดิ้นตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 7-8 สัปดาห์ แต่คุณแม่ส่วนใหญ่จะเริ่มรู้สึกถึงการดิ้นได้ชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 3 การดิ้นของลูกน้อยเกิดจากการพัฒนาของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และกระดูก ซึ่งเป็นพัฒนาการตามธรรมชาติ
ลักษณะการดิ้นของลูกน้อยแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป บางคนอาจดิ้นแรงและถี่ บางคนอาจดิ้นเบาและช้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น
- ช่วงเวลา ทารกในครรภ์มักจะดิ้นร่าเริงในช่วงเวลาที่คุณแม่นอนพัก หรือหลังทานอาหาร
- ปริมาณน้ำตาลในเลือด หลังจากรับประทานอาหาร ปริมาณน้ำตาลในเลือดของคุณแม่จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ลูกน้อยมีพลังงานในการดิ้นมากขึ้น
- กิจกรรมของแม่ การเคลื่อนไหวร่างกายของแม่ อาจส่งผลให้ลูกน้อยรู้สึกเหมือนถูกกล่อมจนหลับ และดิ้นน้อยลง
ลูกดิ้นรู้สึกแบบไหน?
ในช่วงไตรมาสที่ 2 (อายุครรภ์ 18 สัปดาห์ขึ้นไป) คุณแม่จะเริ่มรู้สึกถึง “การดิ้น” ของลูกน้อย ช่วงแรกๆ คุณแม่จะรู้สึกเหมือนมีอะไร กระตุกเบาๆ ในท้อง เมื่ออายุครรภ์มากขึ้น การดิ้นจะชัดเจนขึ้น รู้สึกได้ถึงการ เตะ ต่อ กลิ้ง หรือ พลิกตัว ของลูก ซึ่งถือเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่บ่งบอกถึงกิจกรรมและความเป็นอยู่ของเขา การนับลูกดิ้นจึงเปรียบเสมือนการฟัง “เสียงพูด” จากลูกน้อย ช่วยให้คุณแม่ประเมินสุขภาพเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง
นับลูกดิ้นยังไง ทำไมการนับลูกดิ้นจึงสำคัญ?
การนับลูกดิ้นเป็นวิธีง่ายๆ ในการติดตามสุขภาพทารกในครรภ์ ช่วยให้คุณแม่สามารถสังเกตความผิดปกติของการดิ้นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ โดยปกติแล้ว ทารกในครรภ์จะมีรูปแบบการดิ้นที่ค่อนข้างสม่ำเสมอ แม้ว่าจำนวนครั้งอาจจะแปรปรวนไปบ้างในแต่ละวัน
การนับลูกดิ้นอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้คุณแม่สามารถจดบันทึก เกี่ยวกับรูปแบบการดิ้นของลูกน้อยได้ หากสังเกตว่าลูกดิ้นน้อยลงผิดปกติ หรือหยุดดิ้นไปนานเกินไป อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าทารกมีภาวะขาดออกซิเจน ซึ่งเป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
เทคนิคการนับลูกดิ้น นับลูกดิ้นยังไง
การนับลูกดิ้นมี 2 วิธีหลัก ดังนี้
-
นับลูกดิ้นยังไง นับหลังทานอาหาร:
- เลือกช่วงเวลาหลังทานอาหาร 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) ที่สะดวกของคุณแม่
- ใช้เวลานับประมาณ 1 ชั่วโมงต่อมื้อ
- นอนตะแคงข้างซ้ายหรือขวา ในท่าที่สบาย วางมือบนหน้าท้อง
- รู้สึกถึงการดิ้นไหว หรือ การกระแทก ของลูกน้อย นับเป็น 1 ครั้ง
- รวมจำนวนครั้งที่รู้สึกถึงการดิ้น ทั้งสิ้น 3 ชั่วโมง
- (ตัวอย่าง: หลังทานอาหารเช้ารู้สึก 5 ครั้ง หลังอาหารกลางวันรู้สึก 4 ครั้ง หลังอาหารเย็นรู้สึก 7 ครั้ง รวมเป็น 16 ครั้ง)
-
นับลูกดิ้นยังไง นับในช่วงเวลา 4 ชั่วโมง:
- เลือกช่วงเวลาที่ลูกน้อยดิ้นร่าเริง เช่น ช่วงเช้าตรู่ หรือ หลังทานอาหารเย็น
- ใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการนับ
- ปฏิบัติเหมือนข้อ 1
เคล็ดลับการนับลูกดิ้นให้แม่นยำ
- เตรียมพร้อม หาสถานที่เงียบสงบ ปราศจากสิ่งรบกวน เตรียมกระดาษ ปากกา เพื่อบันทึกข้อมูลการนับลูกดิ้น
- ดื่มน้ำ การดื่มน้ำเปล่าก่อนการนับลูกดิ้น อาจช่วยให้ลูกน้อยมีพลังงานในการดิ้นมากขึ้น
- จับเวลา ตั้งนาฬิกาปลุก เพื่อให้แน่ใจว่าใช้เวลาในการนับ 1 ชั่วโมงต่อครั้ง หรือ 4 ชั่วโมงตามวิธีที่เลือก
- สังเกตการดิ้น ลูกดิ้นอาจรู้สึกได้หลายรูปแบบ เช่น กระตุก ดัน หรือ ตีลังกา ทุกๆ การรู้สึกถึงการดิ้น นับเป็น 1 ครั้ง
- เคลื่อนไหวเบาๆ หากลูกน้อยดิ้นน้อย ลองกระตุ้นเบาๆ โดยการดื่มน้ำเย็น หรือ เขย่าตัวเบาๆ
- บันทึกข้อมูล หลังจากการนับ ให้บันทึกวัน เวลา จำนวนครั้งที่รู้สึกถึงการดิ้น รวมถึง รูปแบบการดิ้น เพื่อติดตามความสม่ำเสมอ
ข้อควรระวัง:
- ไม่ควรนับลูกดิ้นหลังทานอาหารอิ่มใหม่ๆ เพราะอาจส่งผลต่อการรับรู้การดิ้นของลูกน้อย
- ควรเลือกท่าที่สบาย ไม่เครียด และ ผ่อนคลาย เพื่อให้ลูกน้อยมีพื้นที่ในการขยับเขยื้อน
- ควรปรึกษาแพทย์ หากมีข้อสงสัย หรือ กังวลเกี่ยวกับการนับลูกดิ้น
ลูกดิ้นแบบไหนอันตราย เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?
แม้ว่าการนับลูกดิ้นจะเป็นวิธีการเบื้องต้น แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง กรณีต่อไปนี้ คุณแม่ควรไปพบแพทย์ทันที
- ลูกน้อยดิ้นน้อยกว่า 10 ครั้ง ใน 12 ชั่วโมง
- ลูกน้อยหยุดดิ้นไปนานเกิน 2 ชั่วโมง
- รูปแบบการดิ้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน เช่น จากดิ้นแรง กลายเป็นดิ้นเบา หรือ ดิ้นช้าลง
- คุณแม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีเลือดออกช่องคลอด ปวดท้องน้อย หรือ เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์
การติดตามสุขภาพทารกในครรภ์ นอกเหนือจากการนับลูกดิ้น
การนับลูกดิ้นเป็นเพียงวิธีการเสริม ควบคู่ไปกับการฝากครรภ์ และ การตรวจสุขภาพตามนัดกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยแพทย์อาจใช้วิธีการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound) เพื่อดูพัฒนาการของทารก ปริมาณน้ำคร่ำ และ ตำแหน่งทารก
- การตรวจ Non-stress test (NST) เพื่อประเมินการเต้นของหัวใจทารก ขณะที่เขาอยู่ในครรภ์มารดา
- การตรวจ CTG (Cardiotocography) เพื่อติดตามการเต้นของหัวใจทารก ควบคู่กับการดิ้นของทารก
การติดตามสุขภาพทารกในครรภ์อย่างสม่ำเสมอ ทั้งการนับลูกดิ้น การฝากครรภ์ และ การตรวจสุขภาพตามนัด จะช่วยให้คุณแม่มีความมั่นใจ และ เตรียมพร้อมที่จะต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัวได้อย่างปลอดภัย
ที่มา : โรงพยาบาลพญาไท
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
กระตุ้นให้ลูกดิ้น กระตุ้นลูกน้อยในครรภ์ ให้ขยับตัวดุ๊กดิ๊ก ทำอย่างไรได้บ้าง
ลูกดิ้นมาก แข็งแรงจริงเหรอ ลูกดิ้นบ่อยมาก ผิดปกติไหม ทำไมแม่ต้องนับลูกดิ้น
7 เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการดิ้นของทารกในครรภ์