ข้อเท็จจริง 8 ประการเกี่ยวกับ ภูมิแพ้และวิธีรักษา ทำได้อย่างไร?
เป็นเรื่องที่น่าเศร้า และ น่าเห็นใจเมื่อเด็กกลุ่มหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนไม่น้อย ต้องเกิดมาพร้อมกับ อาการที่เรียกว่า ภูมิแพ้ วันนี้ เราจะพามาดู และ อ่านเรื่องเกี่ยวกับ ภูมิแพ้และวิธีรักษา ว่าจะมีทางออกแบบไหนให้แม่ พ่อ ผู้ปกครอง ที่มีลูกหลาน เป็นโรคภูมิแพ้บ้าง โรคนี้รักษาได้จริงหรือ และ อาการเป็นอย่างไร มาทำความรู้จักกับ โรคภูมิแพ้กันดีกว่า
ภูมิแพ้และวิธีรักษา
1. ตัดขนสัตว์เลี้ยงให้สั้นจะไม่ทำให้เกิดภูมิแพ้?
ภูมิแพ้และ วิธีรักษา
สัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะขนปุยหรือไม่ จะขนสั้นหรือขนยาว ล้วนมีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดภูมิแพ้กับคนที่อาจเป็นภูมิแพ้ได้ทั้งนั้น เจ้าตัวร้ายในภูมิแพ้ที่เกิดจากสัตว์คือโปรตีนที่พบได้ในเส้นขนหรือน้ำลายของสัตว์เลี้ยงอย่างแมวและสุนัข
แมวมักก่อให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าสุนัขเนื่องจากแมวมักจะเลียขนตัวเองมากกว่า แพร่โปรตีนในน้ำลายไปทั่วตัว โปรตีนเหล่านี้จะกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ในเวลาไม่กี่นาทีเมื่อผู้เป็นโรคภูมิแพ้หายใจเข้าไป
อาการอาจมีทั้งระคายเคืองที่ตา จาม หอบหืด และผดผื่นที่ผิวหนัง
บทความใกล้เคียง: ทารกและสัตว์เลี้ยงอยู่ร่วมกันได้หรือไม่?
2. พวกเราปลอดภัยจากไข้ละอองฟางเพราะเราไม่ได้อยู่ใกล้กองฟางสักหน่อย?
ภูมิแพ้และวิธี รักษา
ไข้ละอองฟางเป็นคำที่ผิดความหมายทั้งหมดเลย คือ ไข้ละอองฟาง ไม่ได้เกิดจากละอองฟางและไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเป็นไข้ ไข้ละอองฟางเกิดจากภูมิแพ้เกสรดอกไม้ที่แพร่กระจายมาจากพืชตามฤดูกาลต่าง ๆ ทำให้เกิดการอุดตันในโพรงจมูก หายใจไม่ค่อยจะออก รู้สึกไม่ค่อยดี และอาจเกิดไซนัสอักเสบได้ ฤดูดอกไม้กับฤดูตัดฟางมันดันบังเอิญตรงกัน ดังนั้นละอองฟางเลยกลายเป็นผู้ต้องหาจำเป็นเพราะเหตุนี้
3. การแพ้อาหารเป็นภูมิแพ้ที่ธรรมดามากที่สุดชนิดหนึ่ง?
ภูมิแ พ้และวิธีรักษา
การแพ้อาหารเป็นปัญหาที่ยุ่งยากเนื่องจากที่จริงแล้วเป็นกลุ่มของโรครวมกัน คนเราส่วนใหญ่มีแนวคิดเรื่องการแพ้อาหารแตกต่างจากแพทย์ มีโรคหลายชนิดที่เป็นต้นเหตุของการแพ้อาหาร และมีคนมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ๆ ที่เป็นโรคแพ้อาหาร เชื่อกันว่าร้อยละ 20 ของผู้ใหญ่มีภาวะแพ้อาหารแม้ว่าตัวเลขที่แท้จริงจะมีค่าแค่เกือบร้อยละ 1 หรือ ร้อยละ 2 เท่านั้นเอง การสำรวจด้วยแบบสอบถามพบว่ามีภาวะแพ้อาหารอยู่ร้อยละ 5 ในสิงคโปร์และร้อยละ 12 ในญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามการประเมินโดยแพทย์ในการศึกษาที่อิสราเอลกลับพบว่าค่าภาวะแพ้อาหารมีอยู่เพียงร้อยละ 1.7 ดังนั้นการแพ้อาหารไม่ได้เป็นสิ่งที่ธรรมดาอะไรแบบที่คนเราคิดกันนัก
4. ถ้าอาหารชนิดหนึ่งทำให้เรามีปัญหา แสดงว่าเราแพ้อาหารชนิดนั้น?
คำตอบสั้น ๆ คงเป็นคำว่า “อาจจะ” แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับปัญหาที่คุณคิดว่าอาหารนำมาให้คุณ ปฏิกิริยาแพ้ที่เกิดขึ้นทันทีที่เห็นกันบ่อย ๆ เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ในเวลาไม่กี่วินาทีหรือนาที เช่น ลมพิษ ผื่นแพ้ ภูมิแพ้รุนแรง อาการเหล่านี้บางอย่างอาจรุนแรงและร้ายแรงถึงชีวิตได้ ต้องนำตัวส่งแพทย์โดยทันที หากคุณสงสัยว่ามีกลุ่มอาหารใดที่ทำให้คุณเกิดปัญหาเหล่านี้ คุณควรปรึกษาแพทย์ผู้จะช่วยแนะนำการทดสอบบางอย่างเพื่อยืนยันอาการแพ้ของคุณ
นับเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องจำว่ามีอาการทางการแพทย์อื่น ๆ ที่อาจทำให้คุณไม่สบายได้เช่นกัน ดังนั้นคุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุของปัญหาและอาการเหล่านั้น วิธีการตรวจสอบอาจมีการตรวจเลือดเพื่อตัดสินว่าคุณเป็นโรคอะไรหรือไม่ เช่น โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง โรคไทรอยด์ คุณอาจจำเป็นต้องได้รับการทดสอบการแพ้อาหารด้วย
ภูมิ แพ้และวิธีรักษา
5. อาหารธรรมชาติหรืออาหารออร์แกนิคไม่ทำให้เกิดอาการแพ้?
การเลือกกินแต่อาหารออร์แกนิคไม่ได้ช่วยยืนยันว่าคุณสามารถหลีกเลี่ยงอาการแพ้อาหารได้ อันที่จริงแล้ว อาหารที่ทำให้เกิดอาการแพ้บางชนิดเป็นอาหาร “จากธรรมชาติ” และไม่ได้รับการแปรรูปผ่านขั้นตอนอะไรทั้งสิ้น เช่น นมวัว ไข่ ถั่วลิสง ข้าวสาลี ถั่วเหลือง ปลาและหอย รวมถึงถั่วชนิดต่าง ๆ อาหารเหล่านี้รวมกันแล้วเป็นสาเหตุของอาการแพ้อาหารร้อยละ 90 อันที่จริงแล้วโปรตีนในอาหารเหล่านี้ต่างหากล่ะที่ทำให้เกิดอาการแพ้ ไม่ใช่สารเคมีที่ใช้ในการปลูกหรือเลี้ยงเลย
6. อาการแพ้เป็นเรื่องทางจิตใจ?
แม้ว่าความเครียดทำให้ภูมิแพ้เพิ่มสูงขึ้นหรือแย่ลง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับภูมิแพ้ก็ไม่ได้แปรผันตรงอะไรกันขนาดนั้น ต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมอีกมากเพื่อไขปริศนากลไกต่าง ๆ เนื่องจากมีคนอีกมากที่ไม่ได้เกิดอาการภูมิแพ้เมื่อตกอยู่ในความเครียด นักวิจัยยังคงพยายามชี้เฉพาะปัจจัยที่เกี่ยวกับกับความเครียดซึ่งอาจส่งผลกระทบกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายคนเราและทำความกระจ่างกับปัจจัยป้องกันต่าง ๆ จากนั้นพวกเราจึงจะสามารถปรับวิถีชีวิตเพื่อช่วยผู้เป็นภูมิแพ้และหวังว่าจะช่วยป้องกันเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ไม่ให้เกิดพัฒนภาวะภูมิแพ้อื่น ๆ ในอนาคต
ในขณะเดียวกัน นับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ต้องดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณให้ดี บริหารความเครียด หลีกเลี่ยงสารที่ทำให้ก่อภูมิแพ้ และสารเสพติดทุกประเภท (เช่น บุหรี่ ยาเสพติด และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป) รวมถึงพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ คุณควรพบแพทย์แต่เนิ่น ๆ เพื่อขอรับความช่วยเหลือหากคุณมีปัญหาใดปัญหาหนึ่งในนี้
7. ฉันควรเก็บยาแก้แพ้เอาไว้สำหรับเวลาที่อาการแพ้หนัก ๆ เท่านั้น?
ภูมิแพ้และวิธีรักษา
ยาแก้แพ้จะใช้ได้ดีที่สุดเมื่อคุณใช้ตามที่แพทย์สั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาพ่นจมูกแบบสเตียรอยด์และยาต้านฤทธิ์ฮีสตามีน ซึ่งอาจจะไม่ได้ผลเท่าไหร่นักหากคุณใช้แค่เฉพาะ “เวลาจำเป็น” ยาพ่นจมูกแบบสเตียรอยด์มักใช้ได้ผลดีที่สุดเมื่อคุณฉีดอย่างต่อเนื่องสองถึงสามสัปดาห์ และคุณอาจต้องฉีดต่อไปเป็นระยะเวลาที่มากขึ้นอีกเพื่อผลการรักษาอย่างเต็มที่ ขนาดและปริมาณการใช้ยาต้านฤทธิ์ฮีสตามีนและยาพ่นจมูกแบบสเตียรอยด์อาจค่อย ๆ ลดลงเมื่ออาการดีขึ้นอยู่ในระดับที่พอจัดการได้ ดังนั้นคุณไม่ควรใช้ยาเหล่านี้เพียงเฉพาะ “เวลาจำเป็น” แต่คุณควรปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องปริมาณการใช้ยาและความถี่ในการใช้ยา
8. ยาแก้แพ้แบบฉีดใช้ไม่ได้ผล?
การใช้ยาฉีดแก้อาการภูมิแพ้ หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า การฉีดยาเพื่อปรับภูมิคุ้มกัน เป็นวิธีการที่เป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา การฉีดยาเพื่อปรับภูมิคุ้มกันเป็นวิธีที่ใช้เพื่อลดการตอบสนองของร่างกายต่อสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ เช่น ไรฝุ่น เกสรจากต้นไม้ดอกไม้ต่าง ๆ มีหลักฐานมากเพียงพอที่สนับสนุนข้อเท็จจริงที่ว่าวิธีการนี้ได้ผล วิธีการนี้ต้องใช้การฉีดยาเป็นประจำเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเร็ว ๆ นี้เทคโนโลยีก็พัฒนาขึ้นเร็วมาก การฉีดยาเพื่อปรับภูมิคุ้มกันสามารถทำได้โดยการหยดยาใต้ลิ้นเป็นประจำโดยไม่ต้องฉีดยาอีกแล้ว วิธีการดังกล่าวเรียกว่า การหยดยาใต้ลิ้นเพื่อปรับภูมิคุ้มกัน ดังนั้นแทนที่จะเรียกว่าเป็นการใช้ยาฉีดแก้อาการภูมิแพ้ บางทีเรียกว่า การใช้ยาหยดแก้อาการภูมิแพ้ น่าจะเหมาะกว่าเสียอีกนะ
Source : kidshealth
บทความอื่นๆที่น่าสนใจ :
สังเกตอย่างไรว่าลูกเป็นภูมิแพ้ เมื่อไรที่ควรสงสัยว่าลูกเป็นโรคภูมิแพ้ มีวิธีทดสอบอย่างไร?
การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง เรื่องใกล้ตัวของครอบครัว เด็กขี้แพ้
เทคนิคเด็ด ดูแลลูกน้อยให้ห่างไกลจาก ผื่นภูมิแพ้ ที่แม่กังวลใจ
มีข้อสงสัยเรื่องการตั้งครรภ์ หรือมีคำถามเรื่องการเลี้ยงลูกหรือเปล่าคะ? ติดตามอ่านบทความ หรือสอบถามสิ่งที่คุณอยากรู้ผ่านแอปของเราได้เลย
ดาวน์โหลด theAsianparent แอปพลิเคชัน ทั้ง IOS และ Android ได้แล้ววันนี้!