เทคนิค! จัดตารางเวลาให้ลูกวัย 0 - 10 ปี สำหรับพ่อแม่ยุคใหม่ ส่งเสริมพัฒนาการลูกน้อย

ตารางแบ่งเวลาให้กับลูก สำหรับเด็กแรกเกิดจนถึง 9 ขวบ วิธีใช้เวลากับลูกให้มีคุณภาพ พ่อแม่ควรทำอย่างไร ควรจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการอย่างไรบ้าง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การแบ่งเวลาให้กับลูกตั้งแต่เล็กมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพัฒนาการสมองที่ได้รับการสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ทำให้สร้างเซลล์สมองและเชื่อมต่อเซลล์ในสมองอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังสร้างนิสัยในการใช้เวลาที่ดีให้กับเด็ก ช่วยในการเตรียมความพร้อมเมื่อเด็กเข้าสู่ระบบการศึกษา รวมถึงการป้องกันการเกิดอาการเหนื่อยล้าหรือเกินความสามารถจากการทำกิจกรรมโดยไม่มีการจำกัดเวลา

ความมั่นใจของเด็กยังสามารถเสริมสร้างได้เมื่อพวกเขาทราบว่ามีเวลาที่แน่นอนสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ และสามารถปฏิบัติตามได้ การแบ่งเวลายังช่วยเสริมสร้างการสื่อสารระหว่างผู้ปกครองกับลูก และเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเด็ก เนื่องจากการกำหนดเวลาการทำงานที่เฉพาะเจาะจงสำหรับกิจกรรมทำให้ลูกมีสมาธิและความมุ่งมั่นมากขึ้น

คุณพ่อคุณแม่ที่เพิ่งมีลูกน้อยคนแรกอาจต้องการปรับตัวในช่วงที่ตนเองกำลังทำงาน และต้องเลี้ยงลูกไปด้วย ตารางแบ่งเวลาให้กับลูก จะเป็นทางออกที่สำคัญให้กับปัญหานี้ โดยเรามีคำแนะนำให้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงเด็กอายุ 10 ปี ว่าควรแบ่งเวลาให้เหมาะสมได้อย่างไรบ้าง

 

แก้ปัญหาพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ทำอย่างไรดี

การที่พ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูกเป็นสิ่งที่มีผลต่อการเติบโตทางจิตใจและพัฒนาการของลูก แต่ยังมีวิธีการที่สามารถช่วยลดผลกระทบจากปัญหานี้

การจัดสรรเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ: พยายามหาช่วงเวลาที่สามารถที่จะใช้เวลากับลูก แม้ว่าจะเป็นเวลาสั้น ๆ ก็ตาม การเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมประจำวันของลูก เช่น การอ่านหนังสือก่อนนอน หรือการรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการมีเวลายาว ๆ ในวันหยุด

คุณภาพเวลาที่ใช้ร่วมกัน: เมื่อมีเวลาว่าง ให้ใช้เวลานั้นอย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์หรือสื่ออื่น ๆ ในขณะที่ใช้เวลากับลูก และเน้นการสื่อสารกับลูกโดยตรง

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การสนับสนุนจากญาติพี่น้อง: หากคุณมีญาติพี่น้องที่อาศัยอยู่ใกล้ชิด การขอให้พวกเขาช่วยดูแลลูกในช่วงเวลาที่คุณยุ่งก็น่าจะเป็นการดี

การใช้บริการครูพี่เลี้ยง: ให้ลูกเข้าร่วมกิจกรรมหลังเลิกเรียน หรือค่ายในช่วงวันหยุด เพื่อให้เขาได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และมีเวลาสนุกสนาน

การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง: แม้ว่าคุณจะไม่สามารถอยู่ด้วยกันทุกครั้ง การสื่อสารผ่านโทรศัพท์หรือแอปพลิเคชันที่สามารถทำให้คุณสามารถเห็นหน้ากันได้ เช่น FaceTime หรือ Zoom จะช่วยให้คุณสามารถรับรู้ถึงความเป็นอยู่ของลูกและแสดงความคิดเห็นในกิจกรรมที่เขาทำ

การแสดงความรัก: แม้ว่าคุณจะยุ่งเรื่องงาน ไม่ควรลืมแสดงความรักและความสนใจต่อลูก ผ่านการกอด, การบอกว่าคุณรักเขา, หรือการปลอบประโลมเมื่อเขารู้สึกไม่ดี

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

การวางแผนร่วมกัน: พยายามวางแผนกิจกรรมหรือการท่องเที่ยวร่วมกันในช่วงวันหยุด หรือวันนั้น ๆ ที่คุณมีเวลา

ความคิดเห็นของพ่อแม่มีผลต่อความรู้สึกและความมั่นใจของลูก ดังนั้น การใช้เวลาที่มีกับลูกโดยให้ความสำคัญและคุณภาพจึงสำคัญมาก

 

ตารางแบ่งเวลาให้กับลูกตามช่วงวัย

ตารางแบ่งเวลาให้กับลูก อยากให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีสมวัยพ่อแม่ควรจัดกิจกรรมให้ลูกอย่างไร เราลองมาดูวิธีบริหารจัดการเวลา สำหรับเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 10 ขวบกันดีกว่าค่ะ

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

 

เด็กทารกอายุต่ำกว่า 1 ปี

ในช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็กโตขึ้นอย่างรวดเร็วทั้งทางร่างกายและสมอง ส่วนใหญ่ของเวลาจะมุ่งไปที่การนอนและการหลับ การแบ่งเวลาเล่นให้สั้น ๆ แต่บ่อย ๆ จะช่วยเสริมสร้างการสัมผัสและการพัฒนาการสติปัญญา, การฟังเพลง, การอ่านเรื่องสั้น ๆ, หรือแม้กระทั่งการพูดคุยกับเด็ก ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการพัฒนาการภาษาและการฟัง

สำหรับเด็กวัยนี้ มีผู้เชี่ยวชาญหลายท่านไม่แนะนำให้เด็กอยู่กับหน้าจอพวกโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรือโทรทัศน์ หากจำเป็นให้ลูกดูจริงๆ พ่อแม่ก็ควรอยู่กับลูกด้วยอย่าปล่อยให้ลูกดูเพียงลำพัง แต่ควรแบ่งเวลาให้ลูกทำกิจกรรมเพื่อส่งเสริมพัฒนาการของลูกด้วยอย่างน้อย 30 นาที เช่น กิจกรรมให้ลูกนอนคว่ำค่ะ หรือจะให้ลูกนั่งรถเข็น นั่งเล่นเก้าอี้ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ได้ (เวลาไม่จำกัดค่ะ) และอย่าลืมปล่อยให้น้องได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยการนอนของเด็กที่มีอายุ 0-3 เดือน จำเป็นต้องใช้เวลานอนทั้งวันประมาณ 14-17 ชั่วโมง ส่วนเด็กอายุ 4-11 เดือน จำเป็นต้องใช้เวลานอนทั้งวัน 12-16 ชั่วโมงค่ะ

 

 

เด็กวัยหัดเดิน อายุ 1-2 ปี

ในช่วงอายุนี้ เด็กเริ่มเรียนรู้การเดิน การคลาน และการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว การเล่นจึงมีความสำคัญในการช่วยพัฒนาการเคลื่อนไหวและการประสาทสัมผัส ของเล่นที่สามารถจับและดึงจะช่วยเสริมสร้างสติปัญญา และการฟังเพลงหรือการอ่านเรื่องยาวกว่าเดิมจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในด้านภาษา

กิจกรรมสำหรับเด็กวัยนี้ พ่อแม่อย่าลืมแบ่งเวลาอย่างน้อย 180 นาที ให้ลูกได้ออกกำลังกายออกแรงบ้าง เพื่อเป็นการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายของลูกน้อยเช่นเดียวกัน แล้วอาจจะเปลี่ยนมาให้ลูกนั่งรถเข็น หรือนั่งบนเก้าอี้บ้างในเวลาที่มากกว่า 1 ชั่วโมงต่อครั้ง ที่สำคัญพ่อแม่ไม่ควรให้ลูกน้อยที่มีอายุน้อยกว่า 2 ปี นั่งดูโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตนิ่งๆ อยู่ลำพัง หากอยากให้ลูกได้เล่นเพื่อเสริมพัฒนาการต้องรอให้ลูกมีอายุ 2 ขวบขึ้นไปก่อน และไม่ควรปล่อยให้เล่นนานเกิน 1 ชั่วโมงนะคะ สำหรับน้องวัยนี้ควรได้รับการนอนหลับพักผ่อนประมาณ 11-14 ชั่วโมงต่อวัน

บทความที่เกี่ยวข้อง : พัฒนาการเด็กวัย 2 ขวบถึง 2 ขวบครึ่ง และเทคนิคส่งเสริมพัฒนาการตามวัย

เด็กวัยก่อนเรียน อายุ 3-5 ปี

เด็กในช่วงนี้มีความสามารถในการเรียนรู้ที่สูงขึ้น การวาดรูป, เล่นกับเพื่อน, หรือการเรียนรู้ตัวอักษร ตัวเลข และสีจะช่วยในการพัฒนาทักษะและความสามารถต่าง ๆ การทำงานบ้านร่วมกันหรือเล่นเกมกับครอบครัวจะช่วยสร้างความสัมพันธ์และนิสัยที่ดี

Loading...
You got lucky! We have no ad to show to you!
ติดต่อโฆษณา

เช่นเดียวกับเด็กวัยหัดเดิน พ่อแม่ควรส่งเสริมให้ลูกเล่นออกกำลังกายประมาณ 180 นาที ไม่ควรให้เด็กนั่งเฉยๆ และควรจัดกิจกรรมอย่างน้อย 60 นาที ให้ลูกได้ทำกิจกรรมที่กระฉับกระเฉงมากขึ้น อาจจะเป็นการเล่นกีฬาอย่างว่ายน้ำ เล่นฟุตบอล หรือตีแบดมินตันก็ได้ค่ะ แน่นอนว่าไม่แนะนำให้ลูกเล่นโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ตนานกว่า 1 ชั่วโมงนะคะ และพ่อแม่ต้องคอยดูลูกเล่นอยู่เสมอเพื่อที่ลูกจะได้ใช้หน้าจอเพื่อการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด สำหรับการนอนที่เหมาะสมคืออยู่ประมาณ 10-13 ชั่วโมงต่อวันค่ะ

เด็กวัยเรียน อายุ 6-9 ปี

ในช่วงนี้ เด็กเริ่มมีความสนใจในกิจกรรมต่าง ๆ และมีความสามารถในการรับรู้เพิ่มขึ้น การเล่นกีฬาหรือกิจกรรมกายภาพจะช่วยในการพัฒนาทักษะด้านกายภาพ ในขณะที่การบ้านและการอ่านจะช่วยเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้

พ่อแม่ควรเน้นกิจกรรมที่ให้ลูกได้เล่นหรือมีส่วนร่วมกับเพื่อน เพราะจะทำให้เด็กได้พัฒนาทักษะการอยู่ร่วมกัน ได้เสริมสร้างจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ของเด็ก แต่ไม่ใช่เป็นกิจกรรมที่พ่อแม่ยัดเยียดให้ลูกทำกับเพื่อนนะคะ พ่อแม่ควรปล่อยให้ลูกเลือกเองว่าอยากทำกิจกรรมนี้หรือไม่ เด็กจะได้ไม่รู้สึกเครียดหรือกดดันตลอดเวลาค่ะ เพราะถ้าพ่อแม่บังคับลูกจนเกินไปจะทำให้เด็กรู้สึกเบื่อหน่าย ขาดการเป็นตัวเอง ขาดการกระตือรือร้น ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ค่ะ ซึ่งสิ่งที่พ่อแม่จะพอทำได้คือการคอยดูแลเอาใจใส่ ให้ความรักความอบอุ่น และคอยตอบสนองความต้องการของลูกอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการพูดคุยและการสอบถามความต้องการของลูกบ้างค่ะ

เด็กวัยอายุ 10 ปี ขึ้นไป

เมื่อเด็กเข้าสู่วัย 10 ปีขึ้นไป หรือที่เรียกว่า “วัยรุ่นกำลังเติบโต” พวกเขาเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านกายภาพ, อารมณ์, และสติปัญญาอย่างรวดเร็ว ในช่วงนี้ ความสนใจเฉพาะทางของเด็กเริ่มมีรูปร่างชัดเจน และการเรียนรู้เป็นเรื่องที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัย, การอ่านหรือการเขียน ที่สำคัญ คือการสนับสนุนให้พวกเขาสามารถพัฒนาทักษะและความสามารถที่ต้องการได้

ขณะเดียวกัน ความรู้สึกและอารมณ์ของเด็กวัยนี้มักจะแปรปรวน การสื่อสารกับพวกเขาในเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน, แนะนำและอภิปรายปัญหาต่าง ๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การให้ความสนใจ, การฟัง และการแสดงความเข้าใจต่อความรู้สึกของพวกเขาจะช่วยสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว

การเล่นกีฬา, กิจกรรมศิลปะ หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับความสนใจเฉพาะทาง ไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาทักษะและความสามารถของเด็ก แต่ยังเป็นแหล่งให้พวกเขาได้สร้างความสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ และชุมชน การทำงานร่วมกันเป็นทีม, การรับผิดชอบ และการพัฒนาด้านความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เขาสามารถเรียนรู้ได้จากกิจกรรมเหล่านี้

สุดท้าย การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยรุ่นและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะต้องการความรู้ในเรื่องการเป็นผู้มีภาวะผู้นำ การตัดสินใจ, การจัดการกับปัญหา, และการเรียนรู้เกี่ยวกับค่านิยมและจริยธรรม การสนับสนุนและการท้าทายในเรื่องเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการเติบโตของเด็ก

 

 

ในทางตรงข้าม หากพ่อแม่กลับปล่อยละเลยลูก ให้ลูกทำอะไรตามลำพังคนเดียว เด็กก็จะหันไปหาสิ่งที่ใกล้ตัวมากที่สุดอย่างโทรทัศน์ เกม โทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ตแทน และบางคนยังใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากกว่าอยู่ในห้องเรียนอีก จนกลายเป็นเด็กเฉื่อยชา และท้ายที่สุดเด็กก็คิดว่าเขามีโทรทัศน์ เกม โทรศัพท์มือถือเป็นเพื่อน เป็นเหมือนพี่เลี้ยงค่ะ สำหรับเวลาที่เด็กควรดูโทรทัศน์นั้นต้องไม่เกิน 30 นาที – 1 ชั่วโมงต่อวันในวันธรรมดา ส่วนเสาร์-อาทิตย์ ต้องไม่เกิน 1-2 ชั่วโมงต่อวันค่ะ และพ่อแม่ควรคอยสังเกตดูด้วยว่าลูกดูอะไรอยู่ คอยพูดคุยกับลูกถึงสิ่งที่ลูกได้ดู คอยสอดแทรกความคิดเห็นและสอนลูกในเรื่องต่างๆ ด้วยค่ะ เพราะเด็กพอโตขึ้นเวลาที่อยู่กับพ่อแม่ก็จะน้อยลง พ่อแม่จึงควรเก็บเกี่ยวช่วงที่ลูกเล็กๆ ไว้นะคะ

สำหรับเด็กในวัยเรียน การแบ่งเวลาให้กับลูกเป็นสิ่งจำเป็น เพราะจะได้เป็นการฝึกวินัยให้กับลูกไปในตัวด้วย โดยเฉพาะเด็กที่เริ่มเข้าชั้นประถม เด็กจะเริ่มมีการบ้าน มีโครงงาน มีงานกลุ่มเยอะแยะไปหมด ดังนั้นพ่อแม่อาจต้องช่วยลูกในการวางแผนด้วยค่ะ โดยมีวิธีการดังนี้

  • ดูสมุดจดการบ้านลูก พ่อแม่ควรเช็กว่าวันนี้ลูกมีการบ้านอะไรบ้าง กำหนดส่งวันไหน งานยากหรือง่ายอย่างไร ต้องหาอุปกรณ์เพิ่มเติมหรือเปล่า ลูกจะได้มีงานส่งทันกำหนดค่ะ
  • กำหนดเวลาทำการบ้านที่แน่นอน เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีสมาธิในการทำงานไม่เหมือนกัน บางคนรีบทำการบ้านก่อน บางคนขอเล่นก่อนค่อยทำ จนสุดท้ายก็ลืมทำการบ้านไป ดังนั้น พ่อแม่ควรกำหนดเวลาทำการบ้านที่แน่นอนให้กับลูก เช่น ให้ทำการบ้านให้เสร็จก่อนแล้วค่อยเล่น หากไม่ยอมทำการบ้านหรือทำการบ้านไม่เสร็จ ก็จะถูกงดกิจกรรมที่ชอบ
  • ให้ลูกทำกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ เช่น พ่อแม่อาจจัดสรรตารางเวลาให้ลูก เช่น หลังทานอาหารเย็น ให้เวลาลูกครึ่งชั่วโมงทำกิจกรรมอะไร แล้วค่อยอาบน้ำ ก่อนเข้านอน
  • ให้ความสำคัญกับลักษณะนิสัยของเด็ก พ่อแม่จะรู้ว่าลูกแต่ละคนนิสัยเป็นอย่างไร เด็กบางคนชอบอ่านหนังสือ ชอบเล่นกีฬา ชอบเล่นเกม หรือใช้เวลาไปกับการทำกิจกรรมอื่นๆ ดังนั้น พ่อแม่อาจจะต้องคุยกับลูก กำหนดเวลาให้กับลูก ทำข้อตกลงร่วมกัน จะได้ไม่เป็นปัญหาค่ะ
  • เขียนกิจกรรมของคนในครอบครัวลงในปฏิทิน เพื่อที่ลูกจะได้ให้ทุกคนในลูกรู้จักหน้าที่ของตัวเอง อาจจะทำในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ โดยที่พ่อแม่และลูกช่วยกันทำ เช่น เวลาเล่นเกม ทำการบ้าน อ่านหนังสือ ทำความสะอาดบ้าน เก็บผ้า เป็นต้น

 

พื้นฐานสำหรับเด็กคืออะไร ทำไมต้องให้เด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง

การให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตทางจิตใจและปัญญาของเด็ก สามารถขยายความเข้าใจได้ดังนี้:

1 กระบวนการทำความเข้าใจ: เมื่อเด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง, พวกเขาจะเริ่มสำรวจและคิดค้นด้วยตนเอง ซึ่งทำให้พวกเขาเข้าใจในกระบวนการและหลักการของสิ่งที่พวกเขากำลังทำ ไม่ใช่เพียงแค่จำแนกและตอบตามคำสั่งจากผู้ใหญ่เท่านั้น

2 ความมั่นใจ: การได้ทดลอง, ผิดพลาด, และประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง สามารถสร้างความมั่นใจและทำให้เด็กรู้สึกว่าพวกเขาสามารถพัฒนาและปรับปรุงตนเอง

3 ประสบการณ์การเรียนรู้: เด็กไม่เพียงแค่รับความรู้ที่ได้มา, แต่ยังได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ผ่านการสัมผัส, การรับรู้, และการคิดค้น

4 ทักษะการแก้ปัญหา: การเรียนรู้ด้วยตัวเองช่วยเสริมสร้างทักษะในการแก้ปัญหา ทำให้เด็กสามารถมองหาแนวทางและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง

5 การยอมรับความไม่สมบูรณ์: การเรียนรู้ทำให้เด็กเห็นความไม่สมบูรณ์และความผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ทำให้พวกเขาเรียนรู้ว่าความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องผิด  แต่ต้องยอมรับและเรียนรู้จากความผิดพลาด

6 ความสนใจและความสงสัย: การเรียนรู้ด้วยตัวเองเปิดโอกาสให้เด็กได้ทดลองและสำรวจตามความสนใจ ทำให้พวกเขาเกิดความสงสัยและต้องการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาตนเอง

7 ความรับผิดชอบ: เมื่อเด็กเรียนรู้ด้วยตัวเอง พวกเขาจะเรียนรู้ถึงความรับผิดชอบในการเรียนรู้ และรับผิดชอบในการตัดสินใจที่มีผลต่อตนเอง

การให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตัวเองไม่เพียงแต่เป็นการสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตทางจิตใจและปัญญาของเด็กเท่านั้น แต่ยังช่วยในการขยายขอบเขตความเข้าใจและประสบการณ์การเรียนรู้ของเขาด้วย การเรียนรู้ด้วยตัวเองทำให้เด็กได้สำรวจและคิดค้นด้วยตนเอง ซึ่งจะนำไปสู่ความเข้าใจในกระบวนการและหลักการที่เขากำลังศึกษา พวกเขาจะไม่แค่รับความรู้แบบถูกบังคับ แต่ยังได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายผ่านการสัมผัส, การรับรู้, และการคิดค้น

ความมั่นใจเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ที่เด็กจะได้รับ พวกเขาจะสามารถทดลอง, ผิดพลาด, และประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง การที่ได้เผชิญหน้ากับความไม่สมบูรณ์และความผิดพลาดก็เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ การเรียนรู้ด้วยตัวเองยังช่วยสร้างความสนใจและความสงสัย ซึ่งทำให้เด็กมีโอกาสที่จะสำรวจและศึกษาในสิ่งที่พวกเขาสนใจ นอกจากนี้ การเรียนรู้ด้วยตัวเองยังส่งเสริมความรับผิดชอบในการเรียนรู้ ซึ่งจะทำให้เด็กเรียนรู้ว่าพวกเขาเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนาตนเอง ดังนั้น, การให้เด็กมีโอกาสในการเรียนรู้ด้วยตัวเองนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างพื้นฐานการเรียนรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับการเติบโตในอนาคต

ถ้าพูดเรื่องพื้นที่การเรียนรู้สำหรับเด็ก ต้องนี่เลยค่ะ M Card Junior Club คลับที่ให้เด็กเรียนรู้และเปิดโลกกว้าง

 

M Card Junior Club คืออะไร

คือ ศูนย์รวมของสิทธิประโยชน์ กิจกรรม และข่าวสารดีๆ สำหรับลูกน้อย ที่มุ่งเน้นเรื่องของการเสริมสร้างพัฒนาการ ทักษะการเรียนรู้ของเด็กให้เติบโตได้อย่างฉับไว

โดยใน M Card Junior Club เป็นส่วนหนึ่งของ M Card Application ที่เน้นสำหรับครอบครัวที่มีลูก หรือเด็กในความดูแลโดยเฉพาะ มอบสิทธิพิเศษมากมาย ให้ลูกน้อยได้เรียนรู้ได้ทำกิจกรรมหลากหลาย ให้พร้อมจะเติบโตมีพัฒนาการอย่างมีความสุข

เด็กๆ จะได้รับสิทธิพิเศษจากแบรนด์ที่ร่วมรายการกว่า 40 แบรนด์ทั้งภายในและภายนอกห้างฯ และได้รับสิทธิ์เข้าร่วม Exclusive Workshop ทำอาหาร ขนม และศิลปะ รวมถึงได้เข้าร่วมกิจกรรมดี ๆ และรับของขวัญตามเทศกาลต่าง ๆ

 

สุดยอดอัฉริยะรุ่นเยาวน์ ที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถและศักยภาพ น้องธีร์ “หนูน้อยอัจริยะเปียโน”, น้องปอร์เช่ “ยอดนักกีฬารุ่นเยาว์”, น้องเพลง “จิตอาสาตัวน้อย” มาเล่าเรื่อง ทำไมถึงชอบใช้เวลากับครอบครัว

ชมคลิปสัมภาษณ์น้องๆ ได้ที่เลยค่ะ : https://www.facebook.com/mcardforall/videos/354755640339249/

 

โดยสามารถสมัครสมาชิกได้ที่ M Card Application ได้ง่ายๆ ดังนี้

พิเศษ สมัครสมาชิก ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2566 – 31 มกราคม 2567 รับสิทธิประโยชน์ที่จะได้จาก M Card Junior Club รวมมูลค่าสูงสุดมากกว่า 55,000 บาท

 

 

 

คุณพ่อคุณแม่คงได้แนวทางการแบ่งเวลาให้ลูกตามที่เราแนะนำไปแล้ว อย่าลืมการปรับตัวหรือแก้ไขให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อให้มีความเหมาะสมตามรูปแบบของแต่ละครอบครัวด้วยนะคะ

 

 

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ลดการเล่นโทรศัพท์ แบ่งเวลาเล่นโทรศัพท์ มาเล่นกับลูก ลดการใช้มือถือต้องทำทั้งครอบครัว

ลูกชอบแย่งของเล่นกัน เล่นด้วยกันได้ไม่นานก็ทะเลาะกันตลอด ควรทำอย่างไรดี

ลูกอายุเท่าไหร่ให้เล่นมือถือ-แท็บเล็ตได้ ทำอย่างไรไม่ให้ลูกติดจอ

 

ที่มา:  clinicdekAustralian Government Department of Health and Aged Care,3

บทความโดย

Khunsiri