หญิงไทยในญี่ปุ่น สังหารลูก 2 คน เหตุกลัวสามีแย่งสิทธิ์เลี้ยงลูก

หญิงไทยในญี่ปุ่น สังหารลูก 2 คน เสียชีวิตคามือ พร้อมเข้ามอบตัวกับตำรวจกับแม่สามี เจ้าตัวสารภาพถึง สาเหตุที่ต้องฆ่าลูกในไส้ของตนนั้น เป็นเพราะตนกำลังจะถูกพรากลูก เนื่องจากปัญหาหย่าร้าง และบังคับให้กลับประเทศไทย

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 เวลาประมาณ 11:20 น. นางเอ (นามสมมุติ) ฟุรุคาวะ วัย 41 ปี ได้เดินทางมามอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่ป้อมตำรวจสถานีคิจิโจจิ ในเมืองโตเกียว กับแม่สามี โดยเมื่อมาถึงก็สารภาพกับทางเจ้าหน้าที่ว่า “ฉันได้ฆ่าลูกของฉันตาย ทั้งลูกชายและลูกสาว” โดยใช้มีดแทงเด็กทั้งคู่ในขณะที่เด็กกำลังหลับ จนเกิดพาดหัวข่าวทั่วทั้งญี่ปุ่นว่า หญิงไทยในญี่ปุ่น สังหารลูก 2 คน

เมื่อได้รับแจ้งดังกล่าว เจ้าหน้าที่จึงรุดไปยังที่เกิดเหตุโดยทันที และได้พบร่างของ เด็กชาย ฟุรุกาวะ จุนอิจิ วัย 13 ปี และเด็กหญิง ซากิ วัย 10 ปี นอนเสียชีวิตภายในห้องพัก โดยมีบาดแผลถูกแทงด้วยมีด บริเวณคอ และไหล่ จนเสียชีวิต และมีดที่ใช้สังหารนั้น ก็ถูกวางอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุทั้ง 2 เล่ม

 

ความเดิม

นางเอ อดีตเคยทำงานที่ร้านจิวเวอรี่ที่ประเทศไทย โดยเจ้าของเป็นชาวญี่ปุ่น และได้พบรักกับบุตรชายคนโตของเจ้าของร้านที่เธอทำงานอยู่ ในขณะที่ไปงานออกร้านจิวเวอรี่ที่ประเทศฮ่องกง จนกระทั่งได้ย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 2549 และได้มีพยานรักด้วยกันถึง 2 คน ซึ่ง ณ ขณะนั้น ครอบครัวของเธอนับว่าเป็นครอบครัวที่น่าอิจฉามากครอบครัวหนึ่ง

แต่หลังจากมีพยานรักได้ไม่กี่ปี ความรักก็จืดจางลง และดูเหมือนว่าครอบครัวของทางฝ่ายชายจะไม่ค่อยปลื้มกับลูกสะใภ้ชาวไทยคนนี้ซักเท่าไหร่ จนกระทั่งทางครอบครัวได้เปิดกิจการเพิ่มเติมที่จังหวัดไซตามะ จึงให้ฝ่ายชายย้ายไปอยู่ที่จังหวัดดังกล่าว เพื่อดูแลกิจการ ในขณะที่ห้ามมิให้ฝ่ายหญิงย้ายตามไป แต่ก็ยังคงอนุญาตให้ฝ่ายหญิงอยู่ที่เดิมและคอยดูแลลูกน้อยทั้งสอง และเธอก็สามารถดูแลได้เป็นอย่างดี

นางเอ ได้กล่าวอีกว่า ในขณะที่ดูแลลูกน้อยทั้งสองเพียงลำพัง ทางครอบของสามีนั้นตั้งกฎอย่างเด็ดขาดว่าไม่ยินยอมที่จะให้พาเด็กทั้งสองมายังประเทศไทย รวมทั้งการห้ามไม่ให้พูดภาษาไทยกับลูก ๆ ของเธอเอง

 

อพาร์ตเมนต์ในกรุงโตเกียว ที่นางเออาศัยอยู่กับลูกน้อยทั้ง 2 คน

จนเมื่อเวลาผ่านไปได้ 5 ปีหลังจากแยกกันอยู่กับทางสามี ซึ่ง ณ ขณะนั้น นางเอ ได้อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 14 ปีแล้ว ทางแม่สามีจึงเริ่มเกริ่นเรื่องจะให้เธอนั้นหย่าขาดกับสามีของเธอ และให้ย้ายกลับเมืองไทยไปซะ โดยที่ให้ทิ้งลูกทั้งสองคนไว้ที่ญี่ปุ่น ไม่ให้พากลับไปโดยเด็ดขาด ในขณะที่สามีของเธอเอง ก็สนับสนุนให้ทำตามที่คุณแม่ของเขาบอก นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกถึงความโดดเดี่ยว และจนหนทาง แต่เธอเลือกที่จะอดทน และนิ่งเฉยตลอดมา

 

ชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุ

จนกระทั่งเดือนมีนาคม 2563 ทางแม่สามี ได้ยื่นคำขาดว่า ทุกอย่างจะต้องชัดเจน และจัดการให้เสร็จภายในเดือนนี้ ทั้งเรื่องการหย่า และย้ายกลับประเทศไทย และข่าวอีกทางหนึ่งได้กล่าวว่า ทางแม่สามีนั้น ได้จัดเตรียมผู้หญิงที่มีฐานะเท่าเทียมให้คบกับลูกชายของตนอยู่ก่อนแล้ว จึงได้เร่งจัดการเรื่องของฤดีพรให้จัดการเรื่องหย่าแล้วกลับไทยโดยด่วน

อีกทั้งยังเตรียมทนายเพื่อทำการฟ้องเรียกสิทธิ์ของการเลี้ยงดูบุตรเอาไว้ด้วย นี่อาจจะเป็นสิ่งที่กดดันเธอ เมื่อรู้ว่าทางบ้านสามีนั้นพร้อมที่จะแย่งสิทธิการเลี้ยงดูลูกทั้งสอง ถ้าหากจะฟ้องร้องกลับ ก็ไม่มีทางที่หญิงต่างชาติตัวคนเดียวอย่างเธอจะสามารถชนะคดีได้ เธอคิดเพียงแค่ จะเอาอะไรไปสู้กับพวกเขา แม้แต่สิทธิ์ที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นนั้น ยังริบหรี่เลย

ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบยังสถานที่เกิดเหตุ

โดยเธอยังกล่าวอีกว่า “ฉันนึกถึงชีวิตที่อยู่โดยไม่มีลูก ๆ ไม่ออกเลย” “ฉันเหมือนถูกบังคับให้ต้องฆ่า”

 

วันเกิดเหตุ

เวลา 07:30 น. ในวันที่ 23 มีนาคม 2563 ขณะที่ลูกชายคนโตของเธอกำลังนอนหลับอยู่บนที่นอน และลูกสาวของเธอนั้นกำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาภายในห้องนั่งเล่น เธอจึงได้ใช้มีดทำครัว และมีดปอกผลไม้ แทงลูกของเธอทีละคนจนตาย

“ฉันแทงพวกเขาซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง จนแน่ใจว่าเขาได้ตายแน่แล้ว ตอนที่แทงครั้งแรก พวกเขาตกใจตื่นขึ้น และร้องด้วยความเจ็บปวด และพยายามใช้มือปัดป้องกันตัวเอง ทำให้ฉันแทงพลาดไปจนไปโดนที่มือ และคอของพวกเขา”

“พอเด็กทั้งสองคนตาย ฉันก็นั่งมองพวกเขาอยู่พักใหญ่ ซึ่งไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน แต่พอรู้สึกตัวอีกที ฉันกลับรู้สึกเจ็บปวดทรมาน และไม่รู้ว่าตนเองทำลงไปได้อย่างไร และฉันก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไปดี”

“ฉันตัดสินใจออกไปซื้อดอกไม้มาให้พวกเขา แล้วนำมันมาวางไว้ที่ข้าง ๆ ศพของลูกฉันทั้งสอง แล้วจึงโทรหาครอบครัวของสามี”

“ช่วงเวลานั้นฉันคิดเพียงแค่ ถ้าพวกเขาอยากจะได้ลูกฉันไป งั้นก็เอาไปแต่ร่างที่ไร้วิญญาณก็แล้วกัน”

หลังจากนั้น แม่สามีของเธอจึงมาหาเธอที่อพาร์ตเมนต์ และพาเธอไปยังสถานที่ตำรวจเพื่อทำการมอบตัว ตามที่เกริ่นไว้ข้างต้น

 

ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ

และเมื่อได้เข้าไปตรวจสอบในสถานที่เกิดเหตุ ก็พบมีดทำครัว มีความยาว 17 ซม. และมีดปอกผลไม้ มีความยาว 11.5 ซม. และดอกไม้ที่เธอได้กล่าวถึง วางไว้อยู่ข้าง ๆ ลำตัวเด็ก ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้รีบเข้าไปตรวจสอบ เพื่อจะทำการช่วยชีวิต แต่ก็พบว่า ทั้งสองได้สิ้นใจไปเรียบร้อยแล้ว

ทำการขนย้ายศพออกจากสถานที่เกิดเหตุ

โดยศพของเด็กชายวัย 13 ปีได้นอนตายอยู่ในบริเวณห้องนอน กับศพของเด็กผู้หญิงวัย 10 ปี นอนตายอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ทั้งคู่นอนจมอยู่ในกองเลือดโดยมีบาดแผนจากการถูกแผงทั่วร่างกาย

 

ปัญหาที่เรามักจะมองข้ามผ่าน

หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใดที่ทำให้คุณแม่คนนี้ฆ่าลูกของตนเองได้ลงคอ แต่หากมองย้อนกลับไปถึงพื้นฐานการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น ที่นางเอ จะต้องย้ายไปอยู่อาศัยในที่ ๆ ขาดทั้งเพื่อน และญาติพี่น้อง แม้แต่ภาษาของตนเองก็ไม่สามารถสอน หรือพูดคุยกับลูกได้

สามีที่ตนรัก ก็มีทีท่าว่าจะนอกใจ อีกทั้งยังมีครอบครัวของทางสามีให้ท้าย โดยไม่ได้สนใจถึงความรู้สึกของเธอเลย ความกดดัน และการบีบคั้นอันยากที่จะอธิบาย และไม่สามารถระบายให้ใครได้ฟัง มันทำให้เธอต้องเก็บความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้นไว้เพียงลำพัง ทั้งเหงา ทั้งอ้างว้าง และหวาดกลัว ในขณะที่พึ่งทางใจสิ่งเดียวที่มีคือลูกของเธอเอง แต่เขาเหล่านั้น ก็ยังพยายามที่จะขโมยดวงใจของเธอไป

และยังมีผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศ ที่มีภาวะโดดเดี่ยวไม่แตกต่างจากนางเอ ที่ต้องเผชิญกับภาวะกดดัน บางคนกลับกล่าวว่าก็แค่กลับมาเมืองไทยมันยากเย็นตรงไหน แต่ภาวะความจำเป็นของแต่ละคนนั้นมีข้อแตกต่างกันค่ะ บางคนอยากกลับใจแทบขาด แต่ก็ไม่สามารถกลับมาได้ เฉกเช่นนางเอ ที่เธออยากกลับมาเมืองไทย แต่ด้วยหน้าที่ที่ต้องคอยดูแลลูก ๆ ของเธอ จึงทำให้เธอไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดั่งใจปรารถนา จึงส่งผลให้ความโดดเดี่ยวที่มีอยู่แล้วนั้น ทวีเพิ่มขึ้นไปอีก จนกลายเป็นชนวนที่ระเบิด จนเกิดเหตุสลดในครั้งนี้

 

ที่มา : sankei.com

บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ :

แม่ฆ่าลูก โยนลงแม่น้ำตาย เพียงเพราะว่าเธออยากจะออกไปเที่ยว

แม่ทิ้งลูกวัย 3 ขวบ ให้อดตายคาห้องพัก

ลูกวัย 17 ปี ตัดสินใจฆ่าแม่ตัวเอง ด้วยเหตุของความเหงา

บทความโดย

Arunsri Karnmana