เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น ฝึกลูกยังไงให้มีวินัย และรอบรู้ตั้งแต่เล็กๆ
เป็นที่กันรู้ดีว่า คนญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัย การตรงต่อเวลามาก รวมถึงความซื่อสัตย์ นี่คือสิ่งที่คนไทยรับรู้มาตลอด พ่อแม่หลายคนจึงอยากให้ลูกมีนิสัยเช่นนั้น ลองมาดูวิธีการ เลี้ยงลูกแบบญี่ปุ่น ที่คนญี่ปุ่นยึดถือกันมาตลอดกันค่ะ
1. ไปโรงเรียนเอง
เด็กจะถูกฝึกให้เดินไป-กลับโรงเรียนเอง ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาทั้งที่เป็นโรงเรียนเอกชน และโรงเรียนรัฐบาล ผู้ปกครองส่วนใหญ่หากจะรับหรือส่งลูก ก็มักจะใช้ขนส่วมวลชนมากกว่าจะใช้รถส่วนตัว เนื่องจากทางญี่ปุ่นต้องการที่จะปลูกฝังเด็กมีวินัยในเรื่องการตรงต่อเวลา เพราะถ้าเพื่อนคนไทยช้าก็จะทำให้เพื่อนๆ คนอื่นรอนาน เนื่องจากเด็กๆ ในละแวกเดียวกันจะเดินทางไปโรงเรียนพร้อมๆ กัน
นอกจากนี้ยังสร้างความรับผิดชอบ เพราะเด็กที่โตกว่าจะมีหน้าที่ดูแลน้องๆ ทั้งไป และกลับ สอนให้รู้จักความสามัคคี การทำงานเป็นทีม เสริมสร้างความสัมพันธ์ของเด็กๆ ในชุมชน ทั้งนี้ ยังเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องจราจร เนื่องจากพ่อแม่ไม่ต้องไปส่งลูกที่โรงเรียน สำหรับเด็กไทยก็มีอยู่บางที่ พ่อแม่ปล่อยให้ลูกไปโรงเรียนเอง เพราะอุปสรรคด้านการเดินทางเป็นหลัก
2. รู้จักหน้าที่ของตนเอง
พ่อแม่คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะสอนให้ลูกรู้จักทำงานบ้านที่เหมาะสมกับวัย ส่วนโรงเรียนก็จะจัดเวรกันทำความสะอาดห้องเรียน และอาคารเรียนเพื่อปลูกฝังความรับผิดชอบต่อส่วนรวม วิธีการที่จะให้ลูกเริ่มต้นรับผิดชอบงานของตัวเอง มีดังนี้
- เริ่มให้ลูกทำในสิ่งที่เด็กสนใจก่อน เพราะความอยากรู้อยากเห็นของลูก จะช่วยผลักดันให้เกิดการเรียนรู้อย่างสนุกสนาน หากคุณแม่ทำงานบ้านอยู่ แล้วลูกอยากเข้ามามีส่วนร่วม คุณแม่ก็ควรให้ช่วย อย่าคิดว่าลูกเข้ามาแล้วเกะกะ ทำงานเสร็จช้า เพราะนั่นคือก้าวแรกของลูก
- ค่อยๆ ให้ลูกเริ่มทำงานทีละอย่าง โดยเลือกจากงานง่ายๆ ก่อน พร้อมกับสอนวิธีการให้ลูกด้วย และควรแบ่งงานที่ใช้เวลาไม่นานนัก ลูกจะได้ไม่เบื่อ แนะนำอีกนิด อาจใช้การแข่งขันเข้ามาร่วมด้วย ลูกจะได้รู้สึกสนุกสนานในการทำงานบ้าน เช่น แข่งกันเก็บของเล่น
- ชักชวนให้ลูกทำอย่างสม่ำเสมอ แต่อย่าบังคับลูก พ่อแม่แค่คอยพยายามย้ำเตือนให้ลูกทำหน้าที่ของตนจนกลายเป็นนิสัย ไม่เช่นนั้นลูกจะคิดว่าแม่บังคับ พอลูกไม่อยากทำก็จะถูกมองว่าขี้บ่นเอาได้
3. ค้างคืนกับโรงเรียน
ที่ญี่ปุ่น เด็กประถมชั้นปีที่ 4 ขึ้นไป ทางโรงเรียนจะจัดให้พักแรมนอกสถานที่อย่างน้อย 2 คืน รวมถึงการเดินทางไกล และการทำอาหารด้วย สำหรับประเทศไทยก็มีการจัดกิจกรรมทำนองนี้ที่บ้านเรามักจะเรียกว่าการเข้าค่ายลูกเสือ ยุวนารี หีือเนตรนารี แต่จะนอนค้างคืนหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละโรงเรียน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง
4.ซ้อมสถานการณ์จำลอง
ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องแผ่นดินไหวมาก และแผ่นดินไหวก็มักจะสร้างความเสียหายให้กับญี่ปุ่นไม่น้อย ดังนั้น โรงเรียนจึงมีการนำหลักสูตรการซ้อมสถานการณ์จำลองเมื่อเกิดแผ่นดินไหวกับเด็กนักเรียนชั้นประถมปีที่ 5 โดยให้นักเรียนนอนค้างที่โรงเรียน 1 คืน ไม่ให้อาบน้ำ และต้องกินอาหารสำเร็จรูป ขนมปัง หรืออาหารกระป๋อง เพื่อให้เด็กเรียนรู้ว่าเมื่อเกิดแผ่นดินไหวจะต้องทำอย่างไร ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี สำหรับเมืองไทยการซักซ้อมเหตุการณ์แนวนี้น้อยมาก บางโรงเรียนก็มีการให้ความรู้เรื่องการดับเพลิง หรืออื่นๆ แต่ไม่ได้ลงลึกมากนัก
5. เรียนรู้การเอาตัวรอด
พอมาชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ประเทศญี่ปุ่นก็ได้จัดการเข้าข่ายพักแรมในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน เพื่อให้เด็กได้รู้จักเอาตัวรอดจากการจมน้ำ โดยทางโรงเรียนจะจัดกิจกรรมการว่ายน้ำไม่ต่ำกว่า 500 เมตร สำหรับโรงเรียนของไทย จะมีไม่กี่โรงเรียนที่มีสระว่ายน้ำ ทำให้เด็กต้องไปหัดทักษะว่ายน้ำเองข้างนอก ปัญหาที่จะพบเห็นทุกปีของเมืองไทยในช่วงปิดเทอมตือ การจมน้ำของเด็ก เพราะเด็กมักจะไปเล่นน้ำเพื่อคลายร้อน และเด็กหรือผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ก็ขาดความรู้เรื่องการช่วยเหลือคนจมน้ำ หรือการปฐมพยาบาลเบื้องต้นด้วย
6. เข้าร่วมกิจกรรมเข้าค่ายอยู่เสมอ
อีกหนึ่งกิจกรรมช่วงปิดเทอมที่ญี่ปุ่นจัดกันอย่างสม่ำเสมอคือ การเข้าค่ายต่างๆ ทั้งทางกีฬา ทางการเรียน และความรู้ต่างๆ เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกันในสังคม การช่วยเหลือตนเอง และการปฎิบัติตนตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาล 3 เป็นต้นไป
7. เรียนเพื่อค้นหาความสามารถพิเศษ
ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีการเรียนพิเศษกันเยอะ บางครั้งเด็กไม่ได้เรียนเพื่อต้องการเพิ่มเติมความรู้อย่างเดียว แต่เป็นการค้นหาความสามารถพิเศษเฉพาะตัวทั้ง ด้านดนตรี ศิลปะ และกีฬา ซึ่งไม่ได้เรียนกันเล่นๆ แต่เด็กๆ ต้องเข้าร่วมฝึกซ้อมอย่างจริงจังอย่างสม่ำเสมอ
8. ทุ่มการเรียนพิเศษอย่างเต็มที่
การเรียนพิเศษอย่างหนัก เพื่อให้ลูกได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย หรือโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ดังนั้น พ่อแม่มักจะเข้มงวดให้ลูกได้เรียนพิเศษเพิ่มเติมตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนเอกชนหรือรัฐบาล ซึ่งก็เหมือนกับไทย ที่พ่อแม่คิดว่าการที่ลูกได้เข้าเรียนที่ดีจะนำไปสู่การประสบความสำเร็จในอนาคต
The Asianparent Thailand เว็บไซต์ข้อมูลคุณภาพและสังคมคุณแม่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศและเอเชีย เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ แหล่งความรู้แม่และเด็ก รวมถึงแอพพลิเคชั่น The Asianparent ที่ติดตามการตั้งครรภ์ให้คุณแม่ได้ลงทะเบียนใช้งานฟรี เพื่อติดตามพัฒนาการทารกตั้งแต่ตั้งครรภ์ จนถึงติดตามหลังคลอดที่ครอบคลุมที่สุดและผู้ใช้งานสูงสุดในประเทศไทย นอกจากความรู้ยังมีไลฟ์สไตล์และสื่อมัลติมีเดียหลากหลาย ไม่ว่าสุขภาพแม่และเด็ก โภชนาการแม่และเด็ก กิจกรรมสำหรับครอบครัว
การวางแผนครอบครัวไปจนถึง การดูแลลูก การศึกษา และจิตวิทยาเด็ก The Asianparent เราพร้อมสนับสนุนพ่อแม่ทุกท่าน ให้มีความรู้และมีสุขภาพกายใจเข้มแข็ง เพื่อเสริมสร้างครอบครัวอย่างแข็งแรง
เพราะเราเชื่อว่า “พ่อแม่เข้มแข็ง ครอบครัวแข็งแรง”
ที่มา: คิดเป็น
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ:
คุณแม่แชร์ประสบการณ์ สอนลูกเข้าสังคม อย่างไรให้สำเร็จ
วิธีการอบรมลูกโดยไม่ขึ้นเสียง สอนลูกให้เป็นคนดี เติบโตอย่างเชื่อฟัง
มุมมองการเลี้ยงลูกแบบหมอ ๆ จากคุณแม่นุ่น เป็นหมอทั้งบ้าน จัดสรรเวลาให้ลูกยังไง