ตอนนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหน รูปแบบครอบครัวในยุคสมัยปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปและมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ การอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ถือเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมไทย ครอบครัวใหญ่ที่ประกอบไปด้วยเครือญาติรวมกันในบริเวณพื้นที่เดียวกัน กลับเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ง่ายในยุคสมัยนี้ ครอบครัวมีขนาดเล็กลง การแยกมาอยู่แบบครอบครัวเล็กๆกลับเป็นเรื่องที่พบเห็นกันมากมาย รวมไปถึงการที่มีคุณพ่อ หรือคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ก็มีมากขึ้น ยิ่งยุคสมัยที่ผู้หญิงผู้ชายมีความเท่าเทียมกัน เรียกได้ว่า ผู้หญิงยิ่งเก่ง ยิ่งเป็น working women มากขึ้นเท่าไหร่ การดูแลลูกน้อย คนเดียวจึงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างไร ในอีกมุมมองนึงอาจจะเป็นผลดีกับลูกน้อย ในหลายๆมิติซะด้วยซ้ำ
My Family นี่แหละครอบครัวของฉัน จารุวรรณ โชติเทวัญ
วันนี้เรานำบทสัมภาษณ์ หญิงเก่งอีกท่านหนึ่ง “คุณน้ำผึ้ง” จารุวรรณ โชติเทวัญ ที่เก่งทั้งในเรื่องการทำธุรกิจ เรียกได้ว่าเป็นแม่ทัพใหญ่ของบริษัท แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็รับบทเป็นคุณแม่ที่อ่อนโยนให้กับ ลูกสาว เรียกได้ว่า เก่งรอบด้านเลยค่ะ เพื่อให้เข้ากับ แคมเปญที่ทาง The AsianparentThailand ได้จัดขึ้น เพื่อสัมภาษณ์ครอบครัวในรูปแบบต่างๆ โดย แคมเปญ My Family นี่แหละครอบครัวของฉัน จะรวบรวมคุณแม่ รวมถึงครอบครัวที่มีความโดดเด่นและหลากหลายมุมมองด้านความรัก พร้อมแนะนำรูปแบบแนวทางการเลี้ยงดูลูกและความรักในครอบครัวในรูปแบบต่างๆ ให้กับแม่ๆ ได้เปิดมุมมองและอาจนำการแนะนำนี้ไปปรับใช้กับลูกน้อยได้เช่นกันนะคะ
ซึ่งวันนี้ หญิงเก่งและแกร่งที่เรากำลังพูดถึง คือ “คุณน้ำผึ้ง” จารุวรรณ โชติเทวัญ ลูกสาวทายาทธุรกิจหมื่นล้านแห่งสหฟาร์ม ซึ่งเป็นธุรกิจแนวหน้าและเป็นกำลังส่งออกสำคัญของประเทศไทย มาเปิดเผยมุมมอง ในบทบาทคุณแม่ ที่อาจไม่เคยสัมภาษณ์ที่ไหน เพราะปกติ การสัมภาษณ์จะอยู่ในเนื้อหาของเรื่องธุรกิจซะเป็นส่วนใหญ่ วันนี้ถือเป็นเกียรติแก่ทาง The AsianparentThailand เป็นอย่างยิ่งค่ะ วันนี้เราจะพูดคุยกับคุณน้ำผึ้ง ในบทบาทของความเป็นแม่ ในหลายๆแง่มุม โดยเริ่มแรก มาทำความรู้จักคุณน้ำผึ้งในบทบาทที่เราคุ้นเคยกันก่อนค่ะ โดยคุณน้ำผึ้งก็ได้แนะนำตัวเองย่อๆ และพูดถึงธุรกิจที่กำลังทำในตอนนี้ ซึ่งทางเราได้ทราบมาว่า ทางคุณน้ำผึ้งได้ เปิดแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อแบรนด์ “พอลดีย์” (Pauldy)
“คุณน้ำผึ้ง” – จารุวรรณ โชติเทวัญ ลูกสาวทายาทธุรกิจหมื่นล้านสหฟาร์ม
“ สวัสดีค่ะ น้ำผึ้ง นะคะ จารุวรรณโชติเทวัญเป็นคุณแม่น้องญาร่า ปัจจุบันประกอบอาชีพนักธุรกิจ ตอนนี้น้ำผึ้งก็ดูแลบริษัทในเครือสหฟาร์ม International อยู่ทั้งหมด 5 บริษัทก็หลักๆแล้วก็จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับฟาร์มมิ่งเพื่อการส่งออกและเราก็ยังมีโรงงานแปรรูปเพื่อการส่งออกด้วยเช่นกันนะคะ ก็ธุรกิจของสหฟาร์ม ทำเพื่อการส่งออกเนี่ย 100% น้ำผึ้งก็จะมีการต่อยอดขึ้นมาจากธุรกิจของครอบครัวโดยไอเดียเริ่มขึ้นเพราะอยากที่จะให้คนไทยได้ทานของที่ดี มีคุณภาพน้ำผึ้งก็เลยต่อยอดด้วยการทำฟาร์มมิ่งเกี่ยวกับ “ฟาร์มไก่อารมณ์ดี “ ภายใต้แบรนด์ “พอลดีย์” (Pauldy) เพื่อให้คนไทยและคนต่างชาติได้ลิ้มลองรสชาติวัตถุดิบชั้นดี สดสะอาดปลอดภัย แพ็คตรงจากโรงงานมาตรฐานส่งออก ส่งตรงถึงมือผู้บริโภคถึงหน้าบ้านเลย ในราคาที่จับต้องได้ค่ะ
โดยแบรนด์นี้เกิดขึ้นในช่วงของสถานการณ์ covid ที่คนไม่กล้าออกไปจับจ่ายใช้สอยนอกบ้านเลยเพิ่งจะเลยทำแบรนด์นี้ขึ้นมาขายออนไลน์ แล้วก็ทำภายใต้แพลตฟอร์มต่างๆนะคะ ก็จะสามารถซื้อได้ทางไลน์แอด แล้วก็ Facebook คะ ก็จะเป็นผลิตภัณฑ์จากฟาร์มไก่อารมณ์ดีก็คือจะมีขายพวกชิ้นส่วนไก่สดแล้วก็ไข่ สามารถเข้าใปดู แบรนด์พอดี ได้ที่ https://pauldy.com/ หรือสามารถเข้าไปเลือกซื้อสินค้าได้ที่ LINE แอดนะคะ แอดไลน์ @pauldy ค่ะ ฝากติดตามด้วยนะคะ ” คุณน้ำผึ้งกล่าวด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
บทบาทของนักธุรกิจหมื่นล้านและบทบาทของคุณแม่
เมื่อเราถามถึง บทบาทหน้าที่ ของคุณน้ำผึ้ง หรือ จารุวรรณ โชติเทวัญ ในตอนนี้ ทั้งบทบาทของนักธุรกิจหมื่นล้านและบทบาทของคุณแม่ คุณน้ำผึ้งมีอุปสรรคหรือคิดว่ามีจุดไหนที่ยากบ้างไหมคะ ซึ้งคุณน้ำผึ้งก็ตอบด้วยท่าทางมั่นใจในมาดนักธุรกิจ พร้อมเล่าว่า
“น้ำผึ้งเชื่อว่าคนเรามีหน้าที่หลายบทบาท ถ้าเราอยู่บริษัทเราก็คือแม่ทัพที่ต้องนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จเราเป็นเหมือนเจ้านาย เป็นเหมือนหัวหน้าที่ต้องดูแลลูกน้องของเรา ในขณะเดียวกันแล้วก็ยังเป็นลูกน้องที่ต้องดูแลบิ๊กบอส(คุณพ่อ)ของเรา ให้มีความสุขด้วยเช่นกันนะคะ ความโชคดีของการอยู่ในครอบครัวใหญ่ ทำให้น้ำผึ้งได้ใกล้ชิดกับคุณพ่อคุณแม่ ได้มีได้มีโอกาสที่จะต้องปรึกษาหารือกันอยู่ตลอดเวลาความใกล้ชิดสนิทสนมตรงนี้เป็นสิ่งที่ทางบ้านปลูกฝังมา ก็จะปรึกษากันตลอดไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือว่าในเรื่องของครอบครัวและในเรื่องของชีวิตนะคะ
แต่พอกลับมาบ้านเราก็ต้องทำหน้าที่บทบาทของความเป็นแม่ ก็ต้องดูแลลูก ทำยังไงให้ลูกมีความสุข ด้วยความที่ว่าน้ำผึ้งอาจมีลูกสาวคนเดียว “น้องญาร่า” เราก็ต้องดูแลเขาเป็นเพื่อนกับเขาคอยเล่นกับเขา เพราะฉะนั้นในกิจกรรมหลายๆอย่าง มันก็จะเป็นกิจกรรมที่จะทำร่วมกันสนุกด้วยการเช่น ขี่จักรยาน เล่น Surf Skate หรือว่าไปเที่ยวต่างจังหวัดอย่างนี้ค่ะ”
โดยเมื่อทางทีมงานถามถึงปัญหาจากที่ทำงานส่งผลกระทบกับการเลี้ยงลูกบ้างหรือไม่ คุณน้ำผึ้งก็ตอบด้วยท่าทางสบายๆ โดยกล่าวว่า “ ส่วนตัวแล้ว น้ำผึ้งเป็นคนที่คิดว่า “ตัดได้” พอสมควรค่ะ เมื่อทำงานที่บริษัทก็จะซีเรียสมากกับการทำงาน แต่พอเรากลับมาบ้านปุ๊บ มันเหมือนสวิซไปเลยค่ะ เราก็ต้องรู้แล้วว่าอันนี้คือเวลาครอบครัวนะ คือเวลาส่วนตัวแล้ว ก็จะให้เวลากับลูกทานข้าวเย็นกับลูกหรือไปทานข้าวเย็นกับคุณแม่ที่บ้าน
เพราะว่าเราอยู่กันเป็น big compound นะคะก็คือในรั้วบ้านเดียวกัน เป็นครอบครัวใหญ่ ในบ้านเนี่ยก็จะมีบ้านคุณแม่ บ้านน้ำผึ้ง บ้านพี่ๆอยู่ด้วยกันในรูปแบบนี้ค่ะ เพราะฉะนั้น ด้วยความที่ว่าเป็นครอบครัวใหญ่ เราก็จะอยู่กันหลายคนก็จะอบอุ่น แต่ว่าในครอบครัวใหญ่ ก็แยกมาเป็นรังเล็กๆของน้ำผึ้งกับลูกสองคนค่ะ”
ช่วงเวลาการตัดสินใจเลี้ยงลูกคนเดียว
ทางทีมงานอยากทราบถึงช่วงเวลาของการตัดสินใจที่จะเลี้ยงลูกคนเดียวของคุณน้ำผึ้ง ในช่วงเวลานั้นมีความกังวลใจหรือไม่ เพราะมันคงเป็นเรื่องปกติที่ผู้เป็นแม่ จะต้องกังวลและคิดมากไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวแต่สิ่งสำคัญคือความรู้สึกของลูกน้อย โดยทางคุณน้ำผึ้งก็ได้ตอบว่า
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ช่วงเวลานั้นทุกคนมีความกังวลหมด กังวลทุกอย่าง กังวลว่า เราจะอยู่ยังไง เราจะดำเนินชีวิตยังไง เราจะเลี้ยงลูกยังไง แล้วเราจะทำยังไง คนอื่นจะคิดถึงเรายังไง มันเป็นความคิดไปหมดเลยว่าเราจะทำยังไง แต่สุดท้ายเราก็ต้องมาดูที่ปัจจุบัน ว่าปัจจุบันณตอนนั้นเนี่ย เรามีความรู้สึกยังไง เรามีความสุขไหม ถ้าเราไม่มีความสุข เราก็ควรที่จะต้องทำตัวเองให้มีความสุข เพราะน้ำผึ้งเชื่อว่า การที่เราจะเลี้ยงลูกได้ดีเราจะต้องมีความสุขจากภายใน ความสุขของเราในจะต้องส่งทอดไปให้ลูก เพราะเพื่อที่ว่าลูกก็จะได้มีความสุขอย่างนี้ค่ะ”
ซึ่งทางทีมงานขอยกให้คำตอบของคุณน้ำผึ้ง เป็นคำตอบที่ประทับใจมากๆเลยทีเดียว เพราะพื้นฐานความสุขของลูก ย่อมเกิดจากความสุขของคุณแม่ที่ส่งผ่านไปให้ลูก เพราะจริงๆแล้วลูกมักจะมองตัวอย่าง รวมไปถึงเลียนแบบพฤติกรรม อารมณ์ ความรู้สึกของคุณแม่อยู่เสมอ ซึ่งคุณแม่หลายๆท่านอาจมองข้ามตรงนี้ไป อาจเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่คุรแม่ไม่ควรมองข้ามค่ะ
วิธีรับมือกับความรู้สึกของตัวเองและรับมือกับการดูแลลูกอย่างไร
โดยทางเราก็ขอถามคำถามลึกลงไปอีกขั้น ว่าคุณน้ำผึ้งมีวิธีรับมือกับความรู้สึกของเรา และรับมือกับการดูแลลูกในรูปแบบไหนบ้าง เพื่อที่จะเป็นแนวทางให้คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหลายๆท่านได้ค่ะ โดยคุณน้ำผึ้งก็เล่าถึงความคิดของตัวเอง ว่าในช่วงเวลานั้นคุณน้ำผึ้งมีวิธีการจัดการตัวเองและเตรียมพร้อมกับการเลี้ยงลูกอย่างไร ดังนี้ค่ะ
“น้ำผึ้งเชื่อว่า ในช่วงชีวิตคนเรามันก็มีขึ้นมีลง มันไม่มีอะไรที่สวยหรู Perfect เพราะฉะนั้นเนี่ยมันขึ้นอยู่กับว่ามุมมองของเรา เราจะเลือกมองในมุมมองไหน ตัวน้ำผึ้งเอง เลือกที่จะมองในแง่มุมที่บวก เก็บแต่สิ่งที่ดีๆเอาไว้ ส่วนอะไรที่มันไม่ดี เราก็คิดเสมอว่ามันเป็นบทเรียนให้เราได้เรียนรู้ ให้เราได้ลองใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหา ถ้าเราผ่านพ้นไป มันก็จะเป็นวิชาของเรา ที่ทำให้เราเข้มแข็งนะคะ ส่วนเรื่องการเลี้ยงลูก คือช่วงเวลาที่มีปัญหาตอนนั้น น้ำผึ้งก็ไม่เคยเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าทำยังไงนะ
น้ำผึ้งจึงตัดสินใจไปเรียนจิตวิทยาเด็ก เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงพัฒนาการของเด็กเพื่อให้เราได้รู้ว่า การที่ลูกเจริญเติบโตมันจะเป็นแบบนี้ แบบนี้ แล้วมันก็จะทำให้เรารู้ว่า เราจะต้องเลี้ยงเขายังไง พัฒนาการเขาเป็นแบบไหน ในบางสิ่งบางอย่างที่เขาทำ เราจะได้ไม่รู้สึกโกรธเขา เราก็จะได้รับรู้ว่า การที่ลูกกระทำบางอย่างมันจะสะท้อนมาจากอารมณ์ของเราที่เราส่งไปยังลูก มันเหมือนกับว่ามันจะทำให้เรารู้ทันตัวเองว่าเราควรพูดหรือแสดงอารมณ์แบบไหนกับลูก
การกระทำของลูกสะท้อนจากอารมณ์ของแม่
ทุกอย่างที่ลูกกระทำออกมา มันมักจะมาจากพ่อและแม่เสมอ ขอยกตัวอย่างนะคะ ยกตัวอย่างเช่น ตอนนั้น น้ำผึ้งขับรถไปเอ็มโพเรียม รถยางแตกตั้งแต่ขาไปแล้วแหละ แต่เราก็ไม่รู้ เราก็รู้แต่ว่าได้ยินเสียงผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่ายางแตก แต่ตอนขับจากเอ็มโพเรียมกลับบ้านค่ะ ช่วงกลางคืนด้วย ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน มีมอเตอร์ไซค์ขับมาใกล้ เราก็ตกใจมากเลยไม่รู้ว่าเขาหวังจะมาทำร้ายรึเปล่า ด้วยความที่กลางคืนด้วย แต่พี่คนขับรถมอเตอร์ไซค์มาเคาะกระจกและชี้ไปที่ยางรถ แล้วเขาบอกว่าย่างแตก พอน้ำผึ้งได้ยินน้ำผึ้งก็ร้องตะโกนตกใจว่ายางแตก! จังหวะนั้นลูกสาว น้องญาร่าก็ร้องให้ขึ้นมาทันที และร้องตะโกนว่า มามี๊ ญาร่าไม่อยากตาย จังหวะนั้นเรารู้ได้เลยว่าเนี่ย สิ่งที่เราเรียนมาคือ อารมณ์ที่เราส่งไปให้ลูกอ่ะ มันกระทบกับลูกโดยตรง เราก็เลยรีบตั้งสติขึ้นมาทันที เราก็บอกว่า ลูกไม่เป็นไรนะ ยางแตกเดี๋ยวเราแวะเข้าปั๊ม แวะเข้าที่เปลี่ยนยางมันก็จบ สักพักนึงลูกก็จะใจเย็นลง
พอเราได้ไปเรียนแล้วเราก็ได้ดูว่าสิ่งที่ลูกทำกลับมา มันคือจากอารมณ์ที่เราส่งไปให้ลูกเป็นในลักษณะนี้ค่ะ แล้วก็ครูเค้าก็จะบอกเสมอว่า เราก็จะต้องพูดดีๆกับลูก น้ำผึ้งก็จะบอกกับลูกตลอดเลยคือ สมัยก่อนนั้นก็จะเอาลูกเข้านอนเองนั่นก็จะเล่านิทานให้เขาฟังต่างๆ แล้วน้ำผึ้งก็จะบอกว่า เนี่ยตอนที่มามี๊ท้อง ญาร่าเป็นเหมือนคนที่อยู่บนสวรรค์แล้วก็มองลงมาที่ผู้หญิงคนนี้บอกว่า เนี่ยอยากจะมาเกิดกับผู้หญิงคนนี้จังเลย อยากทำให้เขามีความสุข แล้วญาร่าก็มาเกิดเห็นไหมเนี่ย มามี๊มีความสุขทุกวันเลยที่มามี้มีญาร่า เขาก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนนางฟ้าบนสวรรค์แล้วมาทำให้เรามีความสุขค่ะ”
ทางทีมงานให้เล่าถึงลูกสาวสุดที่รัก น้องญาร่า โดยคุณน้ำผึ้งก็เล่าด้วยสีหน้าอมยิ้มตลอด “ น้องญาร่าเป็นคนน่ารักค่ะ คือทุกๆวันตอนเช้า เขาจะมากอดเราคื อเขาก็จะตื่นไปเรียนก่อน แล้วก็จะมากอดเรา แล้วก็มาหอมเรา แล้วบอกว่าญาร่ารักมามี้นะ ญาร่าไปเรียนแล้วนะ Take Careนะคะ อันนี้คือสิ่งที่เรารู้สึกอบอุ่นทุกครั้งเลยที่เขาทำ”
วิธีการสื่อสารกับลูกและพูดคุยกับลูก
ซึ่งทางทีมงานก็สัมภาษณ์คุณน้ำผึ้งต่อและขอถามในเรื่อง วิธีการบอกลูกยังไงเมื่อพ่อแม่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ตรงนี้ทางคุณน้ำผึ้งได้บอกกับทางลูกสาวในรูปแบบไหน ซึ่งทางคุณน้ำผึ้งก็เล่าด้วยสีหน้ากังวลเล็กน้อย
“เราแคร์ความรู้สึกลูกมาก เพราะฉะนั้นตอนนั้น เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องที่ sensitive แล้วพี่ก็จะไม่ได้บอกน้องตรงๆแต่ก็จะบอกกับลูกว่า แม่ต้องกลับมาอยู่ที่บ้านนะ ต้องมาดูแลคุณยาย คุณยายเขาแก่แล้ว ลูกก็ถามว่า อ้าวแล้วทำไมปะป๊าไม่มาด้วย เราก็จะตอบไปว่าปะป๊าเขาก็เป็นลูกคนเดียว เขาก็ต้องดูแลคุณปู่คุณย่า แล้วปะป๊าก็ยังต้องไปทำงานต่างจังหวัด เราก็จะใช้การบอกประมานนี้
แล้วก็ให้เขาเรียนรู้ไปว่าเนี่ยมันคือตอนนี้ เราอยู่บ้านนี้นะ เราต้องดูแลคุณยายอะไร อย่างเงี้ยค่ะ แล้วน้ำผึ้งก็จะเล่าจากประสบการณ์ของเราให้ลูกฟัง เกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างของแต่ละครอบครัว ก็เล่าว่า เพราะว่าครอบครัวพวกเราก็เป็นครอบครัวใหญ่ใช่ไหมคะ มันก็จะมีแบบพี่น้องเยอะ ให้เขาดูว่าว่าครอบครัวแต่ละครอบครัวมันไม่เหมือนกัน บางครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ บางครอบครัวอาจจะมีแค่พ่อแม่ลูก หรือบางครอบครัว ก็จะมีแค่นี้ค่ะ”
ช่วงเวลาที่ลูกดื้อพร้อมวิธีรับมือ
เมื่อถามมาถึงตรงนี้ทางทีมงานก็ถามถึงช่วงเวลาที่ลูกดื้อ น้องญาร่ามีช่วงเวลานั้นบ้างไหม และคุณน้ำผึ้งรับมือยังไงบ้าง ซึ่งคุณน้ำผึ้งก็ได้ใช้วิธีการที่คิดว่าเป็นการสอนลูกไปในตัวโดย เป็นในเชิงกิจกรรมและทำให้ลูกได้คิดวิเคราะห์เอง โดยคุณน้ำผึ้งเล่าว่า
“มันจะมีอยู่ช่วงอายุหนึ่ง ที่เขาก็จะดื้อมาก เขาก็จะไม่ฟังแม่ ไม่ทำการบ้าน แล้วก็มีอารมณ์งอนพ่อเขาอะไรอย่างนี้ค่ะ ตอนนั้นเนี่ยอย่างตัว ในส่วนของเรื่องการบ้านก็พยายามสอนลูกแล้ว แต่ลูกก็จะไม่ยอมทำเลย บวกกับตัวน้ำผึ้งเองก็ไม่สามารถสอนลูกได้ทุกวิชา ตอนนั้นก็เลยหาทางออกด้วยการจ้างคุณครูมาสอนการบ้านลูกแทน เพื่อที่ว่าตัวเราเองก็จะได้ลดความกดดันตรงนี้ ส่วนตัวลูกเองเขาก็จะได้ไม่รู้สึกเครียดกับการที่แม่ไปสอนการบ้าน ส่วนในเรื่องความดื้อหรือความที่เขาแบบอาจจะมีความงอนคุณพ่อเขา
น้ำผึ้งก็ใช้ธรรมะเข้ามาช่วยค่ะ โดยการนิมนต์พระมาเทศนาเป็นพระเด็กเลยนะ พระเด็กโดยเฉพาะมาเทศนาธรรมให้ โดยมีลูกของน้ำผึ้งแล้วก็ลูกๆ เพื่อนด้วย ก็คือเหมือนกับไม่อยากให้พระเขาท่านมาเทสให้ลูกเราคนเดียว ก็เลยจัดเป็นกรุ๊ปเด็ก คล้ายๆกิจกรรมกลุ่ม โดยพระเทศนาเกี่ยวกับความเป็นลูกความกตัญญู บุญคุณของพ่อแม่ หลังจากนั้น แค่ฟังเทศน์ไม่กี่ครั้งเองนะคะ 2-3 ครั้งเอง พฤติกรรมที่เขามีต่อเรากับที่เขามีต่อคนอื่นก็เปลี่ยนไป จากที่ดื้อไม่เชื่อฟัง ก็กลับมาเชื่อฟังมากขึ้นกว่าเดิมเยอะมากเลยค่ะ”
“สติ” และ “ความคิด” ในการที่จะดำเนินชีวิตทุกย่างก้าว
เมื่อการสัมภาษณ์ดำเนินมาถึงช่วงสุดท้ายก็อยากจะให้ทางคุณน้ำผึ้งฝากอะไรถึงคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือคุณแม่ที่กำลังจะตัดสินใจเลี้ยงลูกคนเดียว โดยคุณน้ำผึ้งได้ฝากไว้ว่า
“อยากจะบอกคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกท่านนะคะ ว่าคนเราทุกคนมีสิทธิ์เลือก เราก็เพียงแต่เลือก ว่าเราอยากจะไปในทิศทางไหน เราต้องตั้งเป้าชีวิตในรูปแบบไหน ซึ่งตรงนี้คุณพ่อของน้ำผึ้ง เขาจะสอนตลอดเวลา คือที่บ้านสุขาวดีเนี่ยเรามีเราจะมีพระพุทธรูป มือขวาชี้ฟ้า มือซ้ายชี้ดิน เพื่อแสดงให้เห็นถึง มีขึ้นก็ต้องมีลง มีเกิดก็ต้องมีดับ มีทุกข์ก็ต้องมีสุข มีรักก็ต้องมีเลิก ถ้าทุกอย่างเป็นเรื่องปกติ ก็ไม่มีเหตุใดเลยที่จะต้องเสียใจกับมัน เพราะฉะนั้นเนี่ยให้เรามองทุกอย่างเป็นธรรมชาติไป แล้วเดี๋ยวมันก็จะผ่านไปเอง เพียงแต่ว่าเราต้องใช้ “สติ” และ “ความคิด” ในการที่จะดำเนินชีวิตทุกย่างก้าวเท่านั้นเองค่ะ” ทางทีมงานต้องขอปรบมือรัวๆให้กับข้อคิดตรงนี้ โดยที่สามารถนำแนวคิดนี้ไปใช้ไม่ใช่แค่เรื่องชีวิตคู่แต่ยังสามารถไปใช้ในเรื่องอื่นๆได้เช่นกัน
ความในใจจากของคุณแม่ต่อลูกสาว น้องญาร่า
ก่อนจะจบบทสัมภาษณ์ในวันนี้ สุดท้ายทีมงานอยากให้คุณน้ำผึ้ง บอกความในใจหรือสิ่งที่อยากบอกกับลูกสาว น้องญาร่า บ้างคะ ซึ้งคุณน้ำผึ้งก็ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แลยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกล่าวว่า
“ ก็คือจริงๆทุกสิ่งทุกอย่าง น้ำผึ้งก็บอกกับญาร่าตลอดนะ น้ำผึ้งจะบอกญาร่าเสมอว่า ญาร่าเนี่ยเป็นเหมือนของขวัญที่พระเจ้าประทานพรมาให้มามี้ เป็นสมบัติล้ำค่าของมามี๊ มามี๊เนี่ยรักญาร่ามาก ไม่ว่าญาร่า จะเป็นเด็กดื้อหรือเด็กดี มามี้ก็รัก เพราะฉะนั้นเนี่ย มามี้ก็อยากที่จะให้ญาร่าดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข มีสติ คิดให้รอบคอบ ใช้หลักศีล 5 ที่มามี้สอนเสมอในการดำรงชีวิต อะไรที่คิดว่าเราไม่รู้ว่าเราควรทำหรือไม่ควรทำ ให้ระลึกถึงศีล 5 ตรงนี้เอาไว้ แล้วเราก็จะผ่านพ้นไป มามี้ก็จะอยู่กับญาร่า แล้วก็เป็นกำลังใจให้ตลอดทุกย่างก้าวค่ะ”
และก่อนจะจากกัน คุณน้ำผึ้งก็ได้ให้เกียรติเข้ามาร่วมกล้อง และให้โอกาสพวกเราได้เก็บภาพแม่ลูกอันแสนน่ารักและแสนอบอุ่นเอาไว้ก่อนจะจาก บรรยากาศการสัมภาษณ์เต็มไปด้วย รอยยิ้ม และความอบอุ่นตลอดทั้งวัน พวกเราทางทีมงานได้รับรู้ถึงความรู้สึกอบอุ่นภายในครอบครัว ซึ่งการที่มีครอบครัวที่มีคุณแม่เป็นคนดูแลลูกสาวอย่างใกล้ชิด นั้นกลับเป็นเรื่องที่อิ่มเอมหัวใจมาก ได้เห็นถึงความรักความอบอุ่น และความเป็นธรรมชาติอย่างที่คุณผึ้งได้กล่าวว่า เมื่อทุกอย่างมีขึ้นมีลง มีทุกข์และมีสุขเป็นของธรรมดา มองให้มันเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อจิตใจเราเอ่อล้นด้วยความสุข ความสุขก็จะส่งต่อมายังคนอื่น และโดยเฉพาะ ลูกผู้เป็นที่รักของเรา ทาง theAsianperent Thailandรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากและก็รู้สึกประทับใจกับการสัมภาษณ์คุณผึ้ง และคิดว่าบทสัมภาษณ์นี้จะเป็นประโยชน์และได้ข้อคิดมากมายสำหรับคุณแม่ที่น่ารักทั้งหลายแน่นอนค่ะ
ช่องทางติดตามข่าวสารเพิ่มเติมแบรนด์ Pauldy : https://pauldy.com/
บทความที่เกี่ยวข้อง :
เปิดบทสัมภาษณ์จาก ครอบครัวสีรุ้ง คุณเจี๊ยบ มัจฉา และ น้องหงส์ ศิริวรรณ
สอนลูกยังไงให้เข้าใจ ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ไม่จำเป็นต้องมีแค่พ่อ แม่ และลูก
10 ครอบครัว LGBTQ คนดัง อบอวลด้วยความรักของเจ้าตัวน้อย