ทายเพศลูกตามความเชื่อโบราณ สีปัสสาวะบอกเพศลูก ผิวแม่ท้องบอกเพศลูก จริงไหม?

ทายเพศลูกตามความเชื่อโบราณ จากสีปัสสาวะและผิวพรรณของแม่ แม่นจริงไหม? เฉลย ข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่แม่ท้องควรรู้
แน่นอนว่าในยุคสมัยนี้ เรามีเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวล้ำซึ่งช่วยบอกเพศลูกที่แม่นยำได้ แต่ก่อนที่โลกจะรู้จักเครื่องอัลตราซาวนด์ บรรพบุรุษของเรา โดยเฉพาะคุณย่าคุณยาย ต่างก็มีวิธี “ทายเพศลูกตามความเชื่อโบราณ” ที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นกุศโลบายที่สร้างสีสัน ความสนุก และความหวังให้กับการรอคอยสมาชิกใหม่ของบ้าน และความเชื่อที่ได้รับความนิยมและได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ การทายเพศลูกจากสีปัสสาวะ และจากผิวพรรณของคุณแม่ นั่นเองค่ะ
บทความนี้จะพาไปไขความเชื่อโบราณ พร้อมนำหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และคำอธิบายจากผู้เชี่ยวชาญมาไขทุกข้อข้องใจ เพื่อให้คุณแม่ได้ทั้งความสนุกและความรู้ที่ถูกต้องในการดูแลตัวเองและลูกน้อยในครรภ์ค่ะ
ทายเพศลูกตามความเชื่อโบราณ: สีปัสสาวะบอกเพศลูก ได้จริงไหม?
หนึ่งในวิธีที่ง่ายและลึกลับที่สุดที่คนโบราณใช้กันก็คือ การสังเกตสีปัสสาวะคนท้อง กลายเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า:
-
ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม หรือ สีเหลืองสดใสเหมือนน้ำมะนาว จะได้ “ลูกชาย”
ทำไมถึงเชื่อแบบนี้: อาจเป็นไปได้ว่าคนสมัยก่อนเชื่อมโยง “สีที่เข้ม” เข้ากับความแข็งแรง ความเข้มแข็ง ซึ่งเป็นภาพแทนของเพศชาย หรืออาจเชื่อว่าฮอร์โมนของทารกเพศชายส่งผลให้ปัสสาวะของแม่มีสีเข้มข้นขึ้น
-
ปัสสาวะสีเหลืองอ่อน หรือ สีใสๆ แทบไม่มีสี จะได้ “ลูกสาว”
ทำไมถึงเชื่อแบบนี้: ในทางกลับกัน สีที่อ่อนจางถูกเชื่อมโยงกับความอ่อนหวาน อ่อนโยน ซึ่งเป็นภาพแทนของทารกเพศหญิง
Fact Check: ไขความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์
แม้จะเป็นเรื่องเล่าที่น่าตื่นเต้น แต่ในความเป็นจริงแล้วทางการแพทย์ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่า สีของปัสสาวะไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเพศของทารกในครรภ์เลยแม้แต่น้อยค่ะ สีปัสสาวะที่เปลี่ยนแปลงไปของคุณแม่ตั้งครรภ์นั้น มีสาเหตุมาจากปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญต่อสุขภาพโดยตรง ดังนี้ค่ะ
1. ระดับน้ำในร่างกาย (Hydration) – ปัจจัยสำคัญที่สุด
สารให้สีเหลืองในปัสสาวะมีชื่อว่า “ยูโรโครม” (Urochrome) ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการสลายตัวของฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง เมื่อคุณแม่ดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ ร่างกายจะเจือจางยูโรโครม ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองอ่อนหรือใส ในทางกลับกัน หากคุณแม่ดื่มน้ำน้อย ร่างกายจะขาดน้ำ ความเข้มข้นของยูโรโครมจะสูงขึ้น ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม ดังนั้น สีปัสสาวะจึงเป็น ตัวบ่งชี้ระดับความชุ่มชื้นของร่างกาย ไม่ใช่เพศของลูกค่ะ
2. วิตามินบำรุงครรภ์ (Prenatal Vitamins)
คุณแม่ตั้งครรภ์ทุกคนต้องทานวิตามินบำรุงครรภ์ตามที่คุณหมอสั่ง ซึ่งวิตามินเหล่านี้ โดยเฉพาะ วิตามินบี 2 เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองสดใสราวกับสีนีออนได้เลยทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องปกติและไม่เป็นอันตรายค่ะ
3. อาหารและเครื่องดื่มที่รับประทาน
อาหารบางชนิดมีเม็ดสีที่เข้มข้นและสามารถถูกขับออกมาทางปัสสาวะได้ เช่น การทานบีทรูทอาจทำให้ปัสสาวะมีสีอมชมพู การทานหน่อไม้ฝรั่งหรือแก้วมังกรสีแดงก็ส่งผลต่อสีและกลิ่นของปัสสาวะได้เช่นกัน
4. สัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพ
ในบางกรณี สีปัสสาวะที่ผิดปกติอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ (UTI) ซึ่งพบได้บ่อยในคนท้อง หากปัสสาวะมีสีขุ่น มีกลิ่นฉุนรุนแรง หรือมีอาการเจ็บแสบขณะปัสสาวะ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
สรุป สีปัสสาวะบอกเพศลูกได้จริงไหม?
แทนที่จะใช้สีปัสสาวะเพื่อทายเพศลูก ขอให้คุณแม่ใช้เป็นเครื่องมือเช็กสุขภาพของตัวเองนะคะ “สีเหลืองอ่อนเหมือนฟางข้าว” คือสีในอุดมคติที่บอกว่าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างน้ำคร่ำและการทำงานของร่างกายโดยรวมค่ะ
ทายเพศลูกตามความเชื่อโบราณ: ผิวพรรณแม่ บอกเพศลูก ได้จริงไหม?
นี่คืออีกหนึ่งความเชื่อยอดฮิตที่ส่งผลต่อความรู้สึกของคุณแม่โดยตรง เพราะมันเกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ความเชื่อนี้กล่าวไว้ว่า:
-
คุณแม่ผิวพรรณหมองคล้ำ มีสิวเห่อ มีฝ้า กระ จุดด่างดำ คอดำ รักแร้ดำ จะได้ “ลูกสาว”
ทำไมถึงเชื่อแบบนี้: เป็นความเชื่อที่น่ารักปนน่าหมั่นไส้ที่ว่า “ลูกสาวมาขโมยความสวยของคุณแม่ไป” ทำให้ผิวพรรณของแม่ทรุดโทรมลง
-
คุณแม่หน้าตาสดใส ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล จะได้ “ลูกชาย”
ทำไมถึงเชื่อแบบนี้: เมื่อไม่มีลูกสาวมาแบ่งความสวยไป คุณแม่ที่อุ้มท้องลูกชายจึงยังคงความงามไว้ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
Fact Check: “ฮอร์โมน” คือผู้บงการตัวจริง
เช่นเดียวกับเรื่องสีปัสสาวะ การเปลี่ยนแปลงของผิวพรรณก็ ไม่เกี่ยวข้องกับเพศของทารก เช่นกันค่ะ “ผู้บงการ” ที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้คือ การแปรปรวนของฮอร์โมนการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อดูแลให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าในท้องของคุณแม่จะเป็นทารกเพศใดก็ตาม
มาทำความรู้จักกับฮอร์โมนตัวหลักๆ ที่ส่งผลต่อผิวของคุณแม่กันค่ะ
1. ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และ โปรเจสเตอโรน (Progesterone)
ฮอร์โมนสองตัวนี้จะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ส่งผลกระทบต่อผิวคุณแม่
- ข้อดี : ฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นจะไปกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้มีเลือดไปหล่อเลี้ยงผิวหนังมากขึ้น และยังกระตุ้นการผลิตน้ำมันออกมาเคลือบผิว ทำให้คุณแม่บางท่านมีผิวที่ดูเปล่งปลั่ง สดใส มีเลือดฝาด
- ข้อเสีย : ในทางกลับกัน การผลิตน้ำมันที่มากเกินไปอาจนำไปสู่การอุดตันและกลายเป็น “สิวคนท้อง” ได้ นอกจากนี้ ฮอร์โมนเหล่านี้ยังไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีที่ชื่อว่า เมลาโนไซต์ (Melanocyte) ให้ทำงานหนักขึ้น
2. ฮอร์โมนกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte-Stimulating Hormone – MSH)
ฮอร์โมนตัวนี้จะเพิ่มสูงขึ้นตามฮอร์โมนตัวอื่นๆ และเป็นสาเหตุโดยตรงของภาวะผิวคล้ำขึ้นในบริเวณต่างๆ (Hyperpigmentation) ที่คุณแม่หลายคนต้องเผชิญ ได้แก่
- ฝ้า (Melasma): รอยปื้นสีน้ำตาลที่มักจะขึ้นบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก
- คอดำ รักแร้ดำ ขาหนีบคล้ำ: ผิวหนังบริเวณข้อพับต่างๆ มีสีเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- เส้นดำกลางท้อง (Linea Nigra): เส้นสีจางๆ กลางหน้าท้องจะกลายเป็นสีเข้มและเห็นชัดขึ้น
- ลานนมและหัวนมสีคล้ำ: บริเวณรอบหัวนมจะมีสีเข้มและขยายใหญ่ขึ้น
สรุป แม่ท้องผิวหมองคล้ำจะได้ลูกสาว แม่ท้องผิวพรรณเปล่งปลั่งจะได้ลูกชาย จริงไหม?
การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังเป็นเรื่องที่เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายคุณแม่ต่อฮอร์โมน ซึ่งเป็นปัจจัยทางพันธุกรรมและเฉพาะบุคคล คุณแม่บางคนอาจมีผิวสวยใสไร้สิวตลอด 9 เดือนไม่ว่าจะท้องลูกสาวหรือลูกชาย ในขณะที่บางคนอาจเจอปัญหาผิวครบชุด ดังนั้น อย่าเพิ่งน้อยใจหรือกังวลไปนะคะ อาการเหล่านี้เป็นเรื่องชั่วคราวและจะค่อยๆ ดีขึ้นหลังคลอดค่ะ
แล้วจะรู้เพศลูกได้อย่างไร? เปิดคู่มือวิธีทางการแพทย์ที่แม่นยำ
เมื่อเราทราบแล้วว่าความเชื่อโบราณนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าสนุกๆ แล้วหากคุณแม่และคุณพ่ออยากทราบเพศของลูกน้อยเพื่อเตรียมตัว เตรียมของใช้ หรือตั้งชื่อน่ารักๆ ไว้รอ ควรทำอย่างไร? ปัจจุบันมีวิธีทางการแพทย์ที่เชื่อถือได้และปลอดภัยอยู่ 2 วิธีหลักๆ ค่ะ
1. การตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasound)
นี่คือวิธีมาตรฐานที่คุ้นเคยกันดีที่สุด โดยคุณหมอจะใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ตรวจดูอวัยวะเพศของทารก
- ช่วงเวลาที่เหมาะสม: โดยทั่วไปจะเห็นเพศได้ชัดเจนที่สุดในช่วง สัปดาห์ที่ 18-22 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งมักจะเป็นช่วงเดียวกับการตรวจดูความสมบูรณ์ของอวัยวะทารก
- ความแม่นยำ: อยู่ที่ประมาณ 95-99% ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุครรภ์ ท่าทางของทารก (หากหนีบขาหรืออยู่ในท่าที่ไม่เอื้ออำนวยก็อาจมองไม่เห็น) และความชำนาญของนักรังสีเทคนิค
2. การตรวจคัดกรองโครโมโซมผิดปกติจากเลือดแม่ (NIPT – Non-Invasive Prenatal Testing)
เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เพราะสามารถทำได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
- หลักการ: เป็นการเจาะเลือดของคุณแม่เพื่อนำไปวิเคราะห์หาชิ้นส่วน DNA ของทารกที่ปะปนอยู่ในกระแสเลือดของแม่
- สิ่งที่ตรวจ: วัตถุประสงค์หลักของการตรวจ NIPT คือการตรวจคัดกรองความเสี่ยงของภาวะโครโมโซมผิดปกติที่พบบ่อย เช่น ดาวน์ซินโดรม (Trisomy 21), เอ็ดเวิร์ดซินโดรม (Trisomy 18) และพาทัวซินโดรม (Trisomy 13)
- การบอกเพศ: การตรวจนี้สามารถวิเคราะห์โครโมโซมเพศ (XX หรือ XY) ได้ด้วย จึงสามารถบอกเพศของทารกได้ และมีความแม่นยำ สูงกว่า 99%
- ช่วงเวลาที่เหมาะสม: สามารถทำได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป
ท้ายที่สุดแล้ว…ไม่ว่าผลอัลตราซาวนด์จะออกมาเป็น “ลูกสาว” หรือ “ลูกชาย” สิ่งที่สำคัญเหนือกว่าการ “ทายเพศลูกตามความเชื่อโบราณ” คือ สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ของทั้งคุณแม่และทารกในครรภ์ การใส่ใจเรื่องโภชนาการ การดื่มน้ำให้เพียงพอ การพักผ่อน และการดูแลสภาพจิตใจให้แจ่มใสค่ะ
เพราะไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชาย เขาก็คือ “โลกทั้งใบ” และ “แก้วตาดวงใจ” ที่คุณพ่อคุณแม่เฝ้ารอคอยอย่างไม่มีเงื่อนไขจริงไหมคะ
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ทายเพศลูกจากการเต้นของหัวใจ หัวใจเต้นเร็วได้ลูกสาว เต้นช้าได้ลูกชาย จริงไหม?
10 สัญญาณบอกเพศลูกในท้อง รู้ได้ไงว่าได้ลูกชายหรือลูกสาว ?!?
ทายเพศลูกตามความเชื่อ จริงไหม ท้องแหลมได้ลูกชาย ท้องกลมได้ลูกสาว