โรค Pica กินทุกอย่าง หากคุณกำลังคิดว่า เวลาลูกเผลอหยิบจับอะไรกลืนเข้าปากเป็นสิ่งผิด เราอยากให้คิดใหม่ บางทีอาจต้องดูแลเขาใกล้ชิดและใส่ใจมากขึ้น อย่างที่คุณแม่แคทเธอลีนของหนูน้อยแมดดี้ มัลลินส์ วัย 3 ขวบชาวอังกฤษ ได้เฝ้าสังเกตลูกมาตลอดเวลาจนพบว่า แมดดี้ สาวน้อยวัยแบเบาะมักชอบหยิบจับทุกอย่างเข้าปากตั้งแต่วัยเริ่มคลาน และนานวันก็อาการหนักมากขึ้น โดยสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อาหารแม้แต่น้อย
กินทุกอย่าง
แมดดี้ เริ่มมีความผิดปกตินับจากวัย 1 ขวบ ที่เธอเริ่มคว้าของชิ้นเล็กๆ อาทิ ของนุ่มๆ และเศษกระดาษเข้าปาก และยิ่งเติบโตขึ้น ก็ยิ่งเริ่มคว้าของทุกอย่างใกล้มือในบ้าน ไม่ว่า ผงซักฟอก เศษพรม น้ำมันปรุงอาหาร ก้อนหิน ปูนขาว ไม้ พลาสติก ทราย กระดาษกาว แมลง ปากกา ดินสอสี แป้งโด แกนทิชชู่ และอื่นๆ ที่ชวนนำความเครียดกังวลมาสู่แคทเธอลีนเป็นอย่างมาก “เธอไม่เหมือนเด็กที่ไหนเลยค่ะ หมอทุกคนที่รักษาเธอ บอกว่าไม่เคยเจอเด็กที่พิเศษแบบนี้มาก่อนเลย” คุณแม่กล่าว
ทุกวันนี้ คุณแม่แคทเธอลีนจะต้องเฝ้าระวังลูกสาวตลอดเวลา รวมทั้งคุณพ่อที่ต้องลาออกจากงานมาช่วยจับตาด้วย บ้านหลังนี้จึงไม่มีกิจกรรมสร้างสรรค์อย่างงานศิลปะบนกำแพงบ้าน เพราะไม่เช่นนั้น แมดดี้จะคว้าสี ปากกา และทุกสิ่งเข้าปากอย่างแน่นอน และนั่นจะเป็นอันตรายอย่างมากหากเผลอปล่อยให้มันเกิดขึ้น
ต่อมา คุณแม่ได้พบสาเหตุที่แท้จริง หลังจากทำการทดสอบและประเมินผลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พบว่า แมดดี้เป็นหนึ่งในผู้ป่วยโรคพิก้า โรคที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมตัวเองในการหยิบของเข้าปากได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้น สาวน้อยยังเป็นออทิสซึม (Autism) ที่มีพัฒนาการล่าช้าและมีความผิดปกติด้านกระบวนการของประสาทสัมผัส นั่นเป็นเหตุให้หนูน้อยชอบกระโดดโลดเต้น หมุนตัว และปีนป่ายตลอดเวลาที่มีโอกาส
ปัจจุบัน แคทเธอลีนต้องอุทิศตัวในแต่ละวัน แต่ละนาที ให้กับลูกสาวอย่างคลาดสายตาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเธอจะคว้าทุกอย่างลงคอ ทำให้เธอต้องรีบเอามือเข้าไปล้วงออก เพื่อป้องกันลูกสาวสำลักจนกว่าจะถึงเวลานอนหลับ “ใช่ค่ะ มันหนักหนามาก และลูกสาวของชั้นก็ไม่สามารถออกไปไหนได้เลย เพราะเราจะไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอบ้าง”
โรคพิก้าคืออะไร? กินทุกอย่าง
โรคนี้คือความผิดปกติด้านการกิน กล่าวคือกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร โดยทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุของโรคที่แท้จริง สามารถเกิดขึ้นได้กับหญิงและชาย หรือหญิงมีครรภ์ แต่พบมากในเด็กและมักพบว่ามีความบกพร่องทางสติปัญญาร่วมด้วย
โรคนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงต่างๆในการดำรงชีวิต ไม่ว่า ความเสี่ยงต่อการอาเจียน ท้องผูก การติดเชื้อจากการที่สิ่งของอุดตันในช่องท้อง การสำลัก และการรับสารพิษ ในบางกรณี การผ่าตัดอาจเป็นสิ่งจำเป็นในการเอาของเหล่านั้นออกจากช่องท้อง หรือเพื่อเป็นการซ่อมแซมการบาดเจ็บในเนื้อเยื่อที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นกับเด็กที่มีอายุระหว่าง 18 เดือน ถึง 2ขวบปี จะไม่ถือเป็นความผิดปกติ เนื่องจากเด็กในช่วงอายุดังกล่าวนี้ยังแยกแยะว่าสิ่งใดรับประทานได้หรือไม่ และไม่อยากแยกแยะได้ว่าสิ่งใดมิใช่อาหาร และเป็นอันตรายแต่ในบางสังคม ไม่ถือการกินบางสิ่งบางอย่างเป็นพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ เช่นชาวพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย (aborigines) ที่รับประทานดินโคลนเพื่อการเจริญพันธุ์ หรือในประเทศตุรกี ผู้หญิงสาวได้รับการสนับสนุนให้รับประทานดินโคลนเพื่อเพิ่มการเจริญพันธุ์เช่นกัน
เกณฑ์การวินิจฉัยโรคPica
๑. ต้องรับประทานสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร หรือสิ่งซึ่งไม่มีสารอาหารต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาอย่างน้อย ๑ เดือน
๒. สิ่งที่รับประทานนั้นไม่เหมาะสมกับระดับพัฒนาการของบุคคลนั้น
๓. สิ่งที่รับประทานไม่ใช่ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม
๔. ถ้าพฤติกรรมเกิดขึ้นร่วมกับความผิดปกติทางด้านจิตใจ เช่นภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ภาวะบกพร่องทางพัฒนา จิตเภท มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องได้รับการวินิจฉัยทางคลินิก
สาเหตุของโรคนี้ยังไม่ทราบเป็นที่แน่ชัด มีหลายสมมติฐานไม่ว่าสมมติฐานทางเคมี ชีวภาพ สังคมเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และพลวัตร ที่พยายามจะอธิบายพฤติการณ์ดังกล่าว ดังนี้
๑. ภาวะบกพร่องทางโภชนาการ ถึงแม้จะยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนที่หนักแน่นพอเกี่ยวกับภาวะบกพร่องทางโภชนาการกับโรคปิก้า แต่ในปัจจุบัน สมมติฐานนี้ได้รับการสนับสนุนมากขึ้นเนื่องจาการพัฒนาวิธีการที่จะอธิบายลักษณะทางกายภาพ แร่ธาตุ และเคมีของโรคปิก้า ซึ่งผู้ป่วยปิก้า ที่รับประทานดินโคลนและดินมักถูกวินิจฉัยว่ามีความสัมพันธ์กับการขาดสารอาหารหรือแร่ธาตุ โดยเฉพาะถูกเชื่อมโยงกับภาวะการขาดธาตุเหล็ก
บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง:
ลูกมีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ (Eating Disorder) หรือเปล่า?
ไม่อยากอ้วนแต่กินไม่หยุด ทำไงดี
https://psychology-easy.blogspot.com/2012/10/pica-diseases.html